Follow prapat1909 on Twitter

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การต่างประเทศของไทยปี 2015 (ตอนที่1)

              คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้ ผมจะวิเคราะห์การต่างประเทศของไทยในอนาคต ซึ่งสำหรับตอนที่ 1 นี้ จะวิเคราะห์ความสัมพันธ์ไทยกับมหาอำนาจ โดยเฉพาะไทยกับสหรัฐ ส่วนตอนต่อๆไป จะวิเคราะห์บทบาทของไทยในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ยุทธศาสตร์ของไทยต่ออาเซียน และความสัมพันธ์ไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
               ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ
               ความสัมพันธ์ไทยกับมหาอำนาจ เรื่องสำคัญในปีนี้คือ ความสัมพันธ์ไทยกับสหรัฐ
               เราไม่ควรมองเฉพาะช่วงสั้นๆ เราควรจะมองในภาพใหญ่ เพราะฉะนั้น จะแบ่งได้ 2 ช่วง
               ช่วงแรกคือ การแก้ปัญหาในระยะสั้น โดยเน้นการกลับไปมีปฏิสัมพันธ์กับมหาอำนาจตะวันตก ตอนนี้เรามีปัญหากับมหาอำนาจตะวันตก  ส่วนมหาอำนาจในเอเชีย ไม่มีปัญหากับเรา คือ ญี่ปุ่น จีน อินเดีย จะมีปัญหาแต่เฉพาะกับอเมริกาและยุโรป ที่พยายามที่จะชูธงประชาธิปไตย ซึ่งไทยต้องพยายามอธิบายให้ประเทศตะวันตกเข้าใจ
               สำหรับสหรัฐ ตอนนี้เฉยๆ กับเรา ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์อะไรมากมายกับเรา โดยนโยบายของสหรัฐอเมริกาคือ ไทยจะต้องมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก่อน เขาถึงจะมาคุยกับเรา เราก็จะต้องเดินหน้าต่อพยายามประคับประคอง อย่างที่รัฐบาลทำตอนนี้มาถูกทางแล้ว คือ เราพยายามไปมีปฏิสัมพันธ์ ไปร่วมประชุม อย่างการประชุม ASEAN หรือ APEC นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ไปเจอประธานาธิบดีโอบามา หรือไปประชุม ASEM ที่ยุโรป ก็ได้ไปเจอผู้นำยุโรป
               นี่น่าจะเป็นมาตรการในระยะสั้นในช่วงนี้ แต่ว่าไทยจะไม่อยู่อย่างนี้ไปตลอดกาล โจทย์ใหญ่สำคัญของไทย น่าจะเป็นโจทย์ในระยะยาวมากกว่าว่า เราจะมีนโยบายอย่างไรต่อมหาอำนาจต่างๆ ที่พยายามแข่งขันกัน ในการมีอิทธิพลในภูมิภาค
               อย่างไรก็ตาม หลังรัฐประหารปีที่แล้ว สหรัฐได้ลดระดับความสัมพันธ์กับไทย และตัดความช่วยเหลือบางเรื่อง อาทิ ความช่วยเหลือทางทหาร การดำเนินมาตรการกดดันไทยดังกล่าวของสหรัฐ เป็นการผลักให้ไทยไปสนิทกับจีนมากขึ้น
               ความสัมพันธ์ไทยกับจีน มีความใกล้ชิดกันมานาน และมีแนวโน้มว่า ไทยจะใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น เพราะว่าจีนกำลังจะผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจในระดับโลกและระดับภูมิภาค คือมีแนวโน้มว่า เราจะไปใกล้ชิดจีนอยู่แล้ว แต่สถานการณ์ในตอนนี้บีบให้เราเข้าไปใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น ที่ผ่านมา จีนเองก็อ่านเกมออก ทูตจีนน่าจะเป็นทูตคนแรกที่เข้าพบหัวหน้า คสช. จีนรีบมาตีสนิทกับเรา เห็นใจเรา เข้าใจประเทศไทยว่า เราอยู่ในช่วงใด ดังนั้น สถานการณ์ในขณะนี้ จึงทำให้ไทยเข้าไปใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น ซึ่งถ้าไม่มีรัฐประหาร ไทยก็มีแนวโน้มว่า จะเข้าไปใกล้ชิดกับจีนอยู่แล้ว
               ตอนนี้สหรัฐจึงตกอยู่ในสภาวะ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ภาษาอังกฤษเรียกว่า dilemma ไม่รู้จะเอาอย่างไรดี ใจหนึ่งก็อยากจะมาตีสนิทกับไทย มาตีสนิทกับอาเซียน เพื่อที่จะแข่งกับจีน แต่อีกใจหนึ่งสหรัฐก็มีกติกาและหลักการว่าจะต้องส่งเสริมประชาธิปไตย จะต้องตอบโต้การทำรัฐประหาร อเมริกาจึงตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ ซึ่งผมคิดว่า สหรัฐคงรู้ดีว่า จะบีบไทยมากไม่ได้ และเห็นชัดว่า ในระยะหลังๆ อเมริกาเริ่มพยายามจะกลับมาฟื้นฟูความสัมพันธ์กับไทย
               ไทยเป็นตัวแสดงที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราเป็นพันธมิตรกับอเมริกามายาวนานตั้งแต่สมัยสงครามเย็น เพราะไทยมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่เราอยู่ตรงกลางของภูมิภาค เหมือนเราเป็นศูนย์กลางหรือเป็นประตูสู่อาเซียน เราเล่นบทบาทนี้มาตลอด เราเป็นตัวแสดงหลักและมีบทบาทนำ พูดง่ายๆ ว่าไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกว่า ทำไมประเทศไทยถึงมีสถานทูตมาตั้งอยู่มากมาย และทำไมสถานทูตสหรัฐฯในไทยจึงเป็นสถานทูตที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งในโลก และทำไมสถานทูตญี่ปุ่นในไทยจึงเป็นสถานทูตที่มีเจ้าหน้าที่มากที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย เราเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค มหาอำนาจจึงมองข้ามเราไปไม่ได้
               และด้วยบริบทดังกล่าวข้างต้น ผมจึงคาดเดาในตอนแรกว่า การเยือนไทยของนายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว น่าจะมีเป้าหมายหลักเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย – สหรัฐ และเพื่อกลับมาแข่งกับอิทธิพลของจีนที่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยสหรัฐน่าจะมีท่าทีที่อ่อนลง และน่าจะเปลี่ยนจุดยืนมาสนับสนุนการปฏิรูปประเทศไทยของรัฐบาลชุดนี้
               อย่างไรก็ตาม ก็เป็นการคาดเดาที่ผิดเพราะในระหว่างการเยือนไทย นายรัสเซล กลับกล่าวสุนทรพจน์โจมตีรัฐบาลหลายเรื่อง เช่นเรื่องการใช้กฎอัยการศึก และความล่าช้าในการเดินหน้าสู่ประชาธิปไตย ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้ ในจุดยืนของสหรัฐเช่นนั้น แต่ที่ผมคิดว่า เป็นการล้ำเส้น คือการกล่าวโจมตีกระบวนการถอดถอนว่า ไม่โปร่งใสและมีเหตุผลทางการเมืองแอบแฝง นอกจากนั้น การพบปะกับยิ่งลักษณ์ ก็ก่อให้เกิดปฏิกิริยาในเชิงลบจากหลายฝ่ายต่อการเยือนไทยของนายรัสเซลในครั้งนี้ ซึ่งผมมองว่า หากจุดมุ่งหมายหลักของการเยือนไทยคือ การปรับปรุงความสัมพันธ์ ก็ถือว่า ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ถือเป็นการเดินเกมที่ผิดพลาดอีกครั้งของสหรัฐ ผลของการเยือนไทยในครั้งนี้ ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐกลับย่ำแย่มากขึ้น และยิ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ไทย ต้องเข้าหาจีนเร็วขึ้น และเข้มข้นมากขึ้น
               ดังนั้น แนวโน้มความสัมพันธ์ไทยกับสหรัฐในอนาคต จะดำเนินไปในทิศทางใด
               ผมคิดว่า ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐในอนาคต ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
               ปัจจัยแรก คือปัจจัยภายในของไทย ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงภายในของไทยว่า เราจะเดินหน้ากันไปอย่างไร แต่ถ้าตาม roadmap ก็จะมีกระบวนการของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และจะมีการเลือกตั้ง หากเป็นไปตามนี้ จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูดีขึ้น มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น อเมริกาจะกลับมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับไทยอีกครั้ง
               ปัจจัยที่สอง คือปัจจัยที่เกี่ยวกับบทบาทของจีน ขึ้นอยู่กับว่า จีนจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต โดยไทยมีแนวโน้มที่จะใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น
               ปัจจัยที่สาม  คือปัจจัยภายในอเมริกา แม้ว่าอเมริกาจะมียุทธศาสตร์ rebalancing พยายามที่จะเข้ามามีบทบาทในภูมิภาค แต่ว่าขณะนี้ การเมืองภายในอเมริกา อยู่ในช่วงของการ “แผ่ว” ของรัฐบาลโอบามาในช่วง 2 ปีสุดท้าย พรรคเดโมแครตตอนนี้สูญเสียที่นั่งข้างมากในสภาคองเกรส ดังนั้น การดำเนินนโยบายของโอบามาจะมีข้อจำกัดมากขึ้นเรื่อยๆ ยุทธศาสตร์ rebalancing หรือ pivot ที่จะกลับมามีบทบาทโดดเด่นในภูมิภาค จะทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ช่วง 2 ปีนี้ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ในปี 2016 ช่วงนี้ จะเป็นช่วงที่ไม่มีอะไรโดดเด่น หวือหวา หรือเปลี่ยนนโยบายครั้งใหญ่ แต่จะเป็นลักษณะของการประคองไปเรื่อยๆ ในแง่ของบทบาทอเมริกาในภูมิภาค ดังนั้น เราจะดูอีกทีคืออีก 2 ปีข้างหน้า ใครจะมา ถ้าเป็นเดโมแครตมา จะเป็นแบบนี้ต่อไป แต่ถ้าเป็นรีพับลิกันชนะการเลือกตั้งคราวหน้า ซึ่งมีแนวโน้มสูง การเมืองอเมริกาจะเปลี่ยนขั้ว ถ้าเป็นรีพับลิกันอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่อเอเชียครั้งใหญ่
               และปัจจัยที่สี่ คือการเสื่อมถอยของอำนาจอเมริกา เป็นปัจจัยระดับมหภาค อำนาจของอเมริกากำลังลดลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลต่ออำนาจทางทหารและด้านอื่นๆ ด้วย ในระยะยาว จะไม่มี the rise of US แล้ว จะมีแต่ the rise of Asia, the rise of China และ the rise of ASEAN
               ดังนั้นแนวโน้มในระยะยาว จะยากขึ้นเรื่อยๆที่สหรัฐจะประคับประคองสถานะในการเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกต่อไป  โดยสหรัฐอาจจะประคองไปได้อีกหลายสิบปี แต่สหรัฐจะไม่สามารถ dictate หรือกำหนดทิศทาง หรือบีบให้ประเทศอื่นทำอย่างที่สหรัฐต้องการได้ง่ายๆ
                การเสื่อมถอยของอเมริกา จะส่งผลกระทบต่อบทบาทของอเมริกาในภูมิภาคในอนาคต และจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทยกับสหรัฐด้วย ซึ่งหมายความว่า ในระยะยาว แม้ว่าตอนนี้ไทยจะบอกว่า เราจะไม่เลือกข้าง ไทยจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐและจีน เราจะยืนอยู่ตรงกลาง แต่ว่าถ้าดูจากแนวโน้มต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ในระยะยาว ไทยจะเข้าไปใกล้ชิดกับจีนมากขึ้นเรื่อยๆ และจะออกห่างจากอเมริกามากขึ้นเรื่อยๆ  

โปรดติดตามอ่าน “การต่างประเทศของไทยปี 2015 (ตอนที่ 2)”  ในคอลัมน์กระบวนทัศน์ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 19  กุมภาพันธ์ 2558

ไม่มีความคิดเห็น: