Follow prapat1909 on Twitter

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

สหรัฐฯ - จีน – อาเซียน

สหรัฐฯ -  จีน – อาเซียน

ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 16 พฤษภาคม 2556

                คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้ จะวิเคราะห์บทบาทของมหาอำนาจ และยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจ สหรัฐฯ และจีน ต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือาเซียน รวมทั้งเสนอยุทธศาสตร์อาเซียนต่อมหาอำนาจทั้งสองด้วย ดังนี้

                สหรัฐฯ กับยุทธศาสตร์ hub and spokes

                ก่อนอื่น เรามาดูสหรัฐฯก่อน ดูว่าสหรัฐทำอะไรอยู่ จะกระทบต่ออาเซียนอย่างไร และอาเซียนควรจะดำเนินยุทธศาสตร์อย่างไรต่อสหรัฐฯ
                ในอดีต ตั้งแต่สมัยสงครามเย็น สหรัฐฯ มีบทบาทอย่างมากในภูมิภาคนี้ สหรัฐฯ ได้ใช้ยุทธศาสตร์ hub and spokes ในด้านการเมือง ความมั่นคง โดยสหรัฐฯ เป็น hub หรือดุมล้อ ส่วนประเทศพันธมิตรต่างๆ เป็น spokes หรือซี่ล้อของสหรัฐฯ หากเปรียบระเบียบโลก เป็นปีรามิด สหรัฐฯ ก็อยู่บนยอดของปีระมิดแต่เพียงผู้เดียวมานานแล้ว เป็นเจ้าครองโลก เจ้าครองภูมิภาคมาโดยตลอด โดยเฉพาะทางด้านการทหาร ไม่มีประเทศใดที่จะกล้ามาแข่งกับสหรัฐฯ หรือเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ
                สหรัฐฯ มีพันธมิตรทางทหารทั่วโลก และมีบทบาททางทหารทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออก สหรัฐฯ มีพันธมิตรหลักๆ คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไทย ฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย
               
                การผงาดขึ้นมาของจีน
                ระบบ hub and spokes ดังกล่าวข้างต้น เป็นระบบที่ครอบงำภูมิภาคเอเชียตะวันออกมาโดยตลอด แต่อย่างไรก็ตาม หลังสงครามเย็นสิ้นสุดลง ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญยิ่งในภูมิภาค คือ การที่จีนได้เริ่มผงาดขึ้นมา
                การผงาดขึ้นมาของจีน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่ส่งผลกระทบต่อภูมิภาคเป็นอย่างมาก ขนาดเศรษฐกิจจีนกำลังใหญ่ขึ้นมา จนในที่สุด จีนจะเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก
                การที่จีนผงาดขึ้นมาเร็วมากทางเศรษฐกิจ กำลังส่งผลกระทบอย่างมาก ทั้งทางด้านภูมิเศรษฐศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ เริ่มมีการมอง โดยเฉพาะจากนักวิชาการตะวันตกและสหรัฐฯ รวมทั้งจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มองว่า จีนจะขยายอิทธิพลออกไปเรื่อยๆ ซึ่งภูมิภาคสำคัญที่อเมริกาห่วงว่าจีนจะขยายอิทธิพลเข้าครอบงำ คือ คาบสมุทรเกาหลี และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้               
                ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา จีนรุกคืบเข้าหาอาเซียนเป็นอย่างมาก จีนเจรจา FTA กับอาเซียนมาตั้งแต่ปี 2001 เป็น Strategic Partner ของอาเซียน ลงนามรับรอง TAC ของอาเซียนก่อนใครเพื่อน แถลงจุดยื่นเรื่อง SEANWFZ หรือ เขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในอาเซียน ก่อนใครเพื่อน นี่คือสิ่งที่จีนทำมาโดยตลอด รวมทั้งลงนามข้อตกลงด้านการลงทุนกับอาเซียน และตั้งกองทุนช่วยเหลืออาเซียน วงเงิน 2 หมื่นล้านเหรียญ  
               
                ยุทธศาสตร์การปิดล้อมจีนของสหรัฐฯ
                ดังนั้นประเด็นนี้จึงเป็นประเด็นที่สำคัญที่อเมริกาต้องจับตามอง และเริ่มปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ต่อการผงาดขึ้นมาของจีน อเมริกาได้เริ่มดำเนินยุทธศาสตร์เพื่อสกัดกั้นการผงาดขึ้นมาของจีน และเพื่อปิดล้อมจีนอย่างหลวมๆ เป้าหมายสำคัญที่สุดของอเมริกาทั้งในระดับโลกและในระดับภูมิภาค คือ การครองความเป็นจ้าว คือทำอย่างไรให้อเมริกาเป็นอันดับ 1 ให้ได้ยาวนานที่สุด
                การผงาดของจีน อเมริกามองว่า เป็นการท้าทายต่อการครองความเป็นจ้าว ท้าทายต่อการเป็นอันดับ1 ของอเมริกา ดังนั้น อเมริกาจึงต้องมีนโยบาย เพื่อที่จะชะลอและรับมือต่อความท้าทายดังกล่าว ซึ่งก็คือยุทธศาสตร์ที่อเมริกาเริ่มจะขยับขยาย ที่จะกระชับความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ทั้งญี่ปุ่น ทั้งเกาหลี และประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งกระชับความสัมพันธ์กับอินเดีย ออสเตรเลีย และประเทศต่างๆ ในเอเชียใต้และเอเชียกลางด้วย
                ในอดีต สหรัฐฯ ช้ามาก สหรัฐฯ คงน่าจะรู้ตัวว่า ต้องรีบเดินเครื่องเพื่อแข่งกับจีนในการเอาใจอาเซียน เพราะฉะนั้น ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในสมัยรัฐบาล Obama  สหรัฐฯ เริ่มปรับนโยบายใหม่ทั้งหมด จากที่เคยเฉื่อย ตอนนี้ก็รุกหนัก ประชุมสุดยอดกับอาเซียนครั้งแรกในปี 2009 รับรอง TAC ส่งทูตมาประจำที่อาเซียน เข้าร่วมประชุม ADMM + 8 เปลี่ยนท่าทีเรื่อง SEANWFZ  เปลี่ยนนโยบายต่อพม่าใหม่หมด รวมทั้งริเริ่ม US - Lower Mekong Initiative ซึ่งก็เป็นเกมใหม่ของสหรัฐฯ ต่อภูมิภาคอาเซียน เป็นเกมนโยบายในเชิงรุก ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ เล่นเกมเพื่อจะไล่จีนให้ทัน แต่ตอนนี้ สหรัฐฯ เล่นเกมเพื่อจะแซงจีน และเล่นนโยบายเชิงรุกและจีนเป็นฝ่ายตั้งรับ สหรัฐฯ เริ่มรุกในปี 2010 ด้วยการเปิดประเด็นเรื่องทะเลจีนใต้ จีนก็เสียคนเพราะจีนออกมาแข็งกร้าว ออกมาโกรธ ทำให้สโลแกนที่บอกว่าจีนจะผงาดขึ้นมาอย่างสันติเสียไป สหรัฐฯ แหย่จีนเรื่องซ้อมในทะเลเหลือง ประชุมสุดยอดกับอาเซียน เข้าร่วม East Asia Summit ซึ่งก็กำลังเป็นเกมที่อเมริกาดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
               
                การผงาดขึ้นมาของอาเซียน
                นั่นก็คือ การผงาดขึ้นมาของจีน ที่ทำให้ระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคเปลี่ยนไป
                อย่างไรก็ตาม ยังมีการผงาดขึ้นมาอีกอันหนึ่ง ซึ่งเรามักจะมองข้ามไป นั่นก็คือ การผงาดขึ้นมาของอาเซียนนั่นเอง
                การผงาดขึ้นมาของอาเซียน กำลังจะทำให้อาเซียนกลายเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค เป็นสถาบันหลักของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาค เราจะเห็นได้ว่า ขณะนี้มหาอำนาจไม่ว่าจะเป็น สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และมหาอำนาจอื่นๆ จะต้องเดินทางมาประชุมสุดยอดกับอาเซียนทุกปี เพราะฉะนั้น การผงาดขึ้นมาของอาเซียน กำลังจะทำให้อาเซียนเป็นตัวแสดงสำคัญอีกตัวหนึ่ง ที่สหรัฐฯ จะต้องเอามาพิจารณาในการกำหนดยุทธศาสตร์ต่อภูมิภาค
                ยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ต่อภูมิภาค คือ ยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯ ต้องการจะเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค ในขณะที่อาเซียนก็ประกาศว่า จะเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค คือเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ซึ่งแน่นอนว่า สหรัฐฯ ก็จะไม่ยอม เพราะสหรัฐฯ ก็อยากเป็นศูนย์กลางของระบบความสัมพันธ์ในภูมิภาค ไม่ใช่อาเซียน เพราะฉะนั้น กำลังมีแนวโน้มที่จะเกิดการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ กับอาเซียนเพื่อเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค
                อาเซียน ซึ่งแต่ก่อนก็ไม่ค่อยมีความสำคัญ แต่พอเริ่มสามัคคี เริ่มมีบทบาท เริ่มมีความสำคัญมากขึ้น สหรัฐฯ จึงต้องเริ่มมาตีสนิทกับอาเซียนเพื่อแข่งกับจีน ด้วยการประชุมสุดยอดกับอาเซียน เข้ามาเป็นสมาชิก East Asia Summit และเข้ามาเป็นสมาชิก ADMM +8
                กล่าวโดยสรุป ระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในขณะนี้ เป็นระบบที่เราเรียกว่าระบบลูกผสม ซึ่งผมอยากใช้คำว่า uni-multilateral system คือยังเป็นระบบหนึ่งขั้วอยู่ โดยมีอเมริกาเป็นอภิมหาอำนาจหนึ่งเดียว แต่ในขณะเดียวกัน การผงาดขึ้นมาของจีน ก็กำลังจะทำให้เป็นระบบหลายขั้ว และอาเซียนก็กำลังผงาดขึ้นมา ซึ่งจะทำให้ระบบมีลักษณะเป็นพหุภาคีนิยมด้วย คล้ายๆ กับมี 2-3 ระบบ เหลื่อมทับซ้อนกันอยู่ เป็นระบบลูกผสม แต่ที่สำคัญ คือ กำลังมี 2 แกนเกิดขึ้นในภูมิภาค คือ แกนที่มีอาเซียนเป็นศูนย์กลาง และแกนที่มีอเมริกาเป็นศูนย์กลาง

                ยุทธศาสตร์อาเซียนต่อสหรัฐฯ และจีน
                มาถึงตรงนี้ คำถามสำคัญ คือ อาเซียนควรจะทำอย่างไร ควรจะมียุทธศาสตร์อย่างไรต่อมหาอำนาจโดยเฉพาะต่อสหรัฐฯ และจีน
                ในสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไปแบบนี้ ผมคิดว่า ยุทธศาสตร์ของอาเซียนต่อสหรัฐฯ และจีน คือ bandwagoning กับ balancing  คือการเข้าพวกหรือ engagement หรือการปฏิสัมพันธ์กับมหาอำนาจ ในขณะเดียวกัน เราก็
จะต้องเล่นเกมถ่วงดุลอำนาจด้วย เราไม่ต้องการให้สหรัฐฯ ครอบงำภูมิภาค เราไม่ต้องการให้จีนครอบงำภูมิภาค ดังนั้น เราต้องเล่นเกมถ่วงดุลอำนาจ ดึงจีนมาถ่วงดุลสหรัฐฯ ดึงสหรัฐฯ มาถ่วงดุลจีน
                สิ่งหนึ่งที่อาเซียนต้องระวังมาก คือ เราจะต้องไม่เลือกข้าง และเราจะต้องไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เราต้องเลือกข้าง
                อาเซียนจะต้องดึงสหรัฐฯ มาช่วยเราสร้างประชาคมอาเซียนให้สำเร็จ ต้องดึงจีนมาช่วยสร้างประชาคมอาเซียน แต่สิ่งที่เราจะต้องหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง คือ อย่าให้สหรัฐฯ และจีน มาทำให้ประชาคมอาเซียนแตกแยก ตัวอย่างที่ได้เกิดขึ้นแล้ว คือ เรื่องทะเลจีนใต้ ที่อเมริกาถือหางฟิลิปปินส์ ถือหางเวียดนาม ทำให้เวียดนามกับฟิลิปปินส์กล้าที่จะเผชิญหน้ากับจีน และกลับมาทะเลาะกับกัมพูชาในเรื่องทะเลจีนใต้ ในที่สุด อาเซียนก็แตก แถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเมื่อปีที่แล้ว ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่อาเซียนที่ต้องสร้างเอกภาพให้เกิดขึ้นและอย่าให้มหาอำนาจมาใช้ยุทธศาสตร์แบ่งแยกและปกครอง
                อีกเรื่องหนึ่ง ที่อาเซียนจะต้องระวังอย่างยิ่ง คือ เรื่องของ TPP ซึ่งเป็นเครื่องมือของสหรัฐฯ ที่อันตราย เราต้องคิดให้รอบคอบ เพราะในตอนนี้ มีประเทศสมาชิกอาเซียน 4 ประเทศที่เข้าร่วม TPP ไปแล้ว แต่อีก 6 ประเทศที่ยังไม่เข้าร่วม อาเซียนก็ถูกทำให้แตกแยกอีกด้วย TPP อาเซียนไม่มีเอกภาพ นี่คือจุดอ่อนของเรา อาเซียนถูกแบ่งแยกและปกครองมาโดยตลอด มหาอำนาจรู้จุดอ่อนของอาเซียนดี สหรัฐฯ ใช้ยุทธศาสตร์แบ่งแยกและปกครองอาเซียนมาโดยตลอด จีนก็กำลังจะใช้ยุทธศาสตร์แบ่งแยกและปกครองอาเซียนเช่นเดียวกัน

                 ดังนั้น ในกรอบอาเซียน +1 เราจะต้องเล่นเกม พยายามที่จะทำให้เกิดดุลยภาพแห่งอำนาจ คือ ดึงสหรัฐฯ เข้ามา ในขณะเดียวกันก็ดึงจีนเข้ามาด้วย และใช้ทั้ง bandwagoning ทั้ง engagement ทั้ง balancing แต่ประเด็นสำคัญก็คืออาเซียนจะต้องเป็นผู้คุมเกม ไม่ใช่เป็นผู้เล่นตามเกมมหาอำนาจอยู่ในขณะนี้

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

ยุทธศาสตร์การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ตอนที่ 2)

ยุทธศาสตร์การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ตอนที่ 2)


ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 13 มิถุนายน 2556

ในคอลัมน์กระบวนทรรศน์ เรื่องยุทธศาสตร์การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ตอนที่ 1 ผมได้เขียนไปแล้วเกี่ยวกับ ยุทธศาสตร์การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของไทย คอลัมน์ในวันนี้ จะเป็นตอนที่ 2 โดยจะวิเคราะห์ถึงยุทธศาสตร์การเข้าสู่ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียนของไทย
แนวคิดเรื่องการจัดตั้งประชาคมอาเซียนเกิดขึ้นในการประชุมสุดยอดอาเซียนที่บาหลี ในปี 2003 โดยได้มีการจัดทำ Bali Concord 2 ซึ่งตกลงกันว่า จะจัดตั้งประชาคมอาเซียนขึ้นภายในปี 2020 (แต่ต่อมาร่นมาเป็นปี 2015) ประชาคมอาเซียนจะมี 3 ประชาคมย่อย ได้แก่ ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community: APSC) ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community: ASCC)
สำหรับประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ซึ่งผมจะเรียกสั้นๆ ว่า APSC นั้น ได้มีการจัดทำ Blueprint หรือ แผนงานการจัดตั้งประชาคม โดยได้แบ่งเรื่องหลักๆ คือ การพัฒนาทางการเมือง กลไกป้องกันและแก้ไขความขัดแย้ง การจัดการกับประเด็นปัญหาความมั่นคงในรูปแบบใหม่ รวมทั้งการทำให้ APSC เป็นแกนกลางของระบบความมั่นคงในภูมิภาค
 โจทย์สำคัญของไทย คือ เราจะมียุทธศาสตร์ในการเข้าสู่ APSC อย่างไร คำตอบของผมคือ เราจะต้องทำการบ้าน และการบ้านสำคัญของไทย คือ การทำ SWOT Analysis วิเคราะห์ผลกระทบของ APSC ต่อไทย ทั้งในเชิงบวกและในเชิงลบ และวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็งของไทย หลังจากนั้น เราก็กำหนดยุทธศาสตร์ในการเข้าสู่ APSC ว่า เราจะรุกตรงไหน รับตรงไหน ยุทธศาสตร์ APSC ของไทย น่าจะมีรูปร่างหน้าตาคร่าวๆ ดังนี้
1.              การพัฒนาทางการเมือง
เรื่องแรกที่ APSC Blueprint ให้ความสำคัญคือ การส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน และการติดต่อในระดับประชาชนต่อประชาชน อย่างไรก็ตาม อาเซียนยังมีปัญหามาก เกี่ยวกับพัฒนาการประชาธิปไตย หลายประเทศสมาชิกยังเป็นเผด็จการ และแม้จะมีการจัดตั้งกลไกด้านสิทธิมนุษยชนอาเซียน แต่กลไกดังกล่าว ที่เราเรียกย่อว่า AICHR ก็ไม่มีประสิทธิภาพและขาดเขี้ยวเล็บ
·       SWOT Analysis
สำหรับการวิเคราะห์ผลกระทบของ APSC ต่อไทยในเรื่องนี้ คือ ความร่วมมือในกรอบอาเซียนในประเด็นด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนจะเพิ่มมากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน  ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนก็อาจจะเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการเคลื่อนย้ายบุคคลที่มีความเสรีมากขึ้น ทำให้มีการย้ายถิ่นฐานและปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน การค้ามนุษย์ การกดขี่แรงงานต่างด้าว จึงอาจเพิ่มมากขึ้น

·       ยุทธศาสตร์
ดังนั้นยุทธศาสตร์ของไทยต่อ APSC ในเรื่องนี้ คือ การที่ไทยควรจะมีบทบาทนำในการส่งเสริม ความร่วมมือด้านการพัฒนาทางการเมือง โดยเฉพาะการส่งเสริมประชาธิปไตย ส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนในกรอบอาเซียน
อย่างไรก็ตาม ไทยก็จะต้องมีแผนรองรับ ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่อาจจะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการจัดตั้ง APSC    
2.              กลไกป้องกันและแก้ไขความขัดแย้ง
APSC Blueprint ตั้งเป้าหมายจะสร้างกลไกป้องกันความขัดแย้ง  โดยจะมีมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน หรือ CBM การจัดประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน การจดทะเบียนการซื้อขายอาวุธในอาเซียน และการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า
อย่างไรก็ตาม การพัฒนามาตรการเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจเสร็จไม่ทันปี 2015 การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนก็ยังมีความร่วมมือที่เบาบางมาก ดังนั้น หากอาเซียนยังไม่มีความร่วมมือทางทหารอย่างเข้มข้น การพัฒนาไปสู่ APSC อย่างแท้จริง คงจะไม่เกิดขึ้น
อีกเรื่อง ที่ Blueprint กล่าวถึง คือ การพัฒนากลไกแก้ไขความขัดแย้ง ซึ่งมีการระบุถึงกลไกต่างๆ ที่จะแก้ไขความขัดแย้งอย่างสันติวิธี อย่างไรก็ตาม มีกลไกหนึ่งที่สหประชาชาติใช้อย่างได้ผลคือ กองกำลังรักษาสันติภาพ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้มีการถกเถียงกันในประเด็นที่ว่า ควรมีการจัดตั้งกองกำลังรักษาสันติภาพของอาเซียนหรือไม่ แต่ขณะนี้อาเซียนยังไม่สามารถตกลงกันในเรื่องนี้ได้
·       SWOT Analysis
การวิเคราะห์ผลกระทบของ APSC ในเรื่องนี้ต่อไทย คือ ในอนาคต อาเซียนน่าจะมีกลไกป้องกันและแก้ไขความขัดแย้งขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่แน่นอนว่า กลไกดังกล่าวจะมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน ดังนั้น ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศสมาชิกก็ยังจะไม่หมดไปง่ายๆ  ประเทศสมาชิกยังคงมีความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน กรณีพิพาทเรื่องพรมแดน น่าจะยังคงเป็นปัญหาอยู่ต่อไป ยุทธศาสตร์ทางทหารของประเทศสมาชิกอาเซียน ยังคงตั้งอยู่บนพื้นฐานว่า ประเทศเพื่อนบ้านอาจจะเป็นศัตรู ซึ่งหากอาเซียนแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ การจัดตั้ง APSC อย่างแท้จริง คงจะไม่เกิดขึ้น ซึ่งไทยก็คงจะเสียประโยชน์ ผลประโยชน์แห่งชาติ งไทยในระยะยาว คือ การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อบ้าน ยุติความขัดแย้ง และร่วมมือกันในการสร้างเอกภาพของอาเซียนให้เกิดขึ้น
·  ยุทธศาสตร์
ดังนั้น ยุทธศาสตร์หลักของไทยต่อ APSC ในเรื่องนี้ คือ ไทยจะต้องมีบทบาทนำในการส่งเสริมกลไกป้องกันและแก้ไขความขัดแย้งของอาเซียนให้มีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ไทยควรผลักดันให้มีการจัดตั้งกองกำลังรักษาสันติภาพของอาเซียนขึ้น เพราะนอกจากจะเป็นกลไกในการจัดการความขัดแย้งในอาเซียนแล้ว ยังจะทำให้อาเซียนมีความเป็นเอกภาพมากขึ้น ซึ่งรวมถึงการส่งกองกำลังของอาเซียนเข้าร่วมกับกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติด้วย
3.              ประเด็นความมั่นคงในรูปแบบใหม่
จุดประสงค์หลักของ APSC ในเรื่องนี้คือ การตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงทีโดยสอดคล้องกับหลักการความมั่นคงที่ครอบคลุมทุกมิติ จากภัยคุกคามในทุกรูปแบบ ซึ่งรวมถึงภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ ได้แก่ อาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด และอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ ปัญหาภัยพิบัติ ก็อาจถือได้ว่า เป็นภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ได้ด้วย
·       SWOT Analysis
                            สำหรับการวิเคราะห์ผลกระทบของ APSC ในประเด็นความมั่นคงในรูปแบบใหม่ต่อไทยนั้น ผลกระทบในเชิงบวก คือ น่าจะเกิดความร่วมมือในการจัดการกับปัญหาเหล่านี้ในกรอบอาเซียนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อไทย
                             อย่างไรก็ตาม ผลกระทบในเชิงลบ คือ ไทยอาจจะต้องเผชิญกับปัญหาความมั่นคงในรูปแบบใหม่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ ปัญหายาเสพติดข้ามชาติ และอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ ปัญหาจากกลุ่มก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ แสวงประโยชน์จากการเปิดและเคลื่อนย้ายเสรีทางเศรษฐกิจ จะทำให้การป้องกันและปราบปรามมีความยุ่งยากและสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
·       ยุทธศาสตร์
ดังนั้น ยุทธศาสตร์ของไทยต่อ APSC ในประเด็นนี้ คือ ไทยควรมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือในการจัดการกับปัญหาเหล่านี้ ร่วมกับประเทศอาเซียนอื่นๆ ในกรอบความร่วมมือของอาเซียน
สำหรับ ในประเทศไทยเอง ไทยก็ควรมีแผนรองรับปัญหาความมั่นคงรูปแบบใหม่ ที่อาจจะมีปัญหาเพิ่มมากขึ้น จากการจัดตั้ง APSC
สำหรับในเรื่องของภัยพิบัติ ไทยก็ควรมีแผนการจัดการภัยพิบัติสอดคล้องกับแผนการจัดการภัยพิบัติในกรอบอาเซียน และควรมีบทบาทในเชิงรุกในการส่งเสริมให้กลไกจัดการภัยพิบัติของอาเซียน มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
4.              ASEAN Centrality
เป้าหมายอีกประการของ APSC คือ การที่จะทำให้ประชาคมอาเซียนเป็นศูนย์กลางหรือเป็นแกนกลางของระบบความมั่นคงในภูมิภาค ซึ่งในประเด็นนี้ อาเซียนก็จะต้องดำเนินการในหลายกรอบ ทั้งในกรอบของอาเซียน+1 กับมหาอำนาจ อาเซียน+3 กรอบ East Asia Summit หรือ EAS กรอบ ADMM+8 (การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับ 8 ประเทศคู่เจรจา) และกรอบการประชุม ASEAN Regional Forum หรือ ARF ด้วย
·       SWOT Analysis
การวิเคราะห์ผลกระทบของการทำให้ APSC เป็นแกนกลางของระบบความมั่นคงในภูมิภาค คือ จะส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อผลประโยชน์ของไทยเป็นอย่างมาก เพราะจะเป็นการเพิ่มอำนาจการต่อรอให้กับอาเซียนและไทย โดยเฉพาะกับมหาอำนจต่างๆ อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญของการผลักดัน APSC ให้เป็นแกนกลางคือ ความแตกแยกและความม่เป็นเอกภาพของอาเซียน
·       ยุทธศาสตร์
ดังนั้น ยุทธศาสตร์ของไทยในเรื่องนี้จึงชัดเจน ที่ไทยจะต้องมีบทบาทนำ ในการส่งเสริมให้ APSC เป็นแกนกลางของรบบความมั่นคงในภูมิภาค
ไทยจะต้องมียุทธศาสตร์ในเชิงสร้างสรค์ ที่จะสามารถแก้ไขจุดอ่อนที่สุดของอาเซียน  คือ ความแตกแยกและการไร้เอกภาพ ซึ่งมาตรการระยะยาวในเรื่องนี้ ก็อาจจะต้องไปเชื่อมกับการเสริมสร้างอัต-ลักษณ์อาเซียน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
นอกจากนี้ ไทยควรมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการที่จะกำหนดบทบาทที่เหมาะสมกับสถานภาพของประเทศ ในแต่ละกรอบความร่วมมือกับมหาอำนาจ คือ ไทยควรมียุทธศาสตร์ที่เหมาะสมทั้งในกรอบ                อาเซียน+1, อาเซียน+3, EAS, ADMM+8 และ ARF ด้วย