ผลการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 21 ที่กรุงพนมเปญ
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
ฉบับวันที่ 29 พฤศจิกายน 2555
คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้ จะสรุปวิเคราะห์ผลการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งล่าสุด
คือครั้งที่ 21 ที่กรุงพนมเปญ ระหว่างวันที่ 18- 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ดังนี้
ปฏิญญาสิทธิมนุษยชนของอาเซียน
เรื่องสำคัญของการประชุมในครั้งนี้
คือการลงนามในปฏิญญาสิทธิมนุษยชนของอาเซียน(ASEAN
Human Rights Declaration : AHRD) ซึ่งหากมองหยาบๆ อาจจะดูว่า เป็นความคืบหน้าของอาเซียนในด้านสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ตาม หากดูอย่างละเอียด จะเห็นปัญหา เพราะปฏิญญาสิทธิมนุษยชนของอาเซียนกลับไม่ได้มาตรฐานตามที่ปฏิญญาสากลสิทธิมนุษยชนของ UN ได้กำหนดไว้ตั้งแต่ปี
1948 โดยมีหลายมาตราใน AHRD ที่ดูอ่อนกว่าปฏิญญาสากลของ UN
โดยเฉพาะมีการใช้คำว่า cultural relativism ซึ่งเท่ากับเป็นการบอกว่า สิทธิที่ปรากฏอยู่ในปฏิญญาสากลจะไม่สามารถใช้ได้กับทุกที่ กฎหมายภายในของประเทศจะสำคัญกว่าสิทธิมนุษยชนสากล
นอกจากนี้การกำหนดสิทธิต่างๆใน AHRD ก็ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
ผมมองว่าเป็นการล้มเหลวของอาเซียนอีกครั้งหนึ่งในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน
โดยการทำปฏิญญาสากลอาเซียนก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเพระเรามีปฏิญญาสากลของ UN
อยู่แล้ว การทำปฏิญญาแบบนี้ออกมาเท่ากับเป็นการถอยหลังลงคลอง
อาเซียนยังมีปัญหาเกี่ยวกับการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนอยู่มาก
นี่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เพราะประเทศสมาชิกหลายประเทศก็ยังเป็นเผด็จการ
จึงทำให้ความร่วมมืออาเซียนในด้านนี้ไม่พัฒนาเท่าที่ควร
ปัญหาทะเลจีนใต้
การประชุมสุดยอดครั้งนี้
ประเด็นสำคัญที่อยู่ในใจของอาเซียนคือ
การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมสำคัญหลังจากความล้มเหลวของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเมื่อเดือน
กรกฎาคม ที่ไม่สามารถจัดทำแถลงการณ์ร่วมได้ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 45
ปีของอาเซียน ที่ไม่สามารถจัดทำเอกสารดังกล่าวได้
และต้นเหตุที่ทำให้อาเซียนแตกแยกและขัดแย้งกันอย่างรุนแรงคือ ความเห็นที่ขัดแย้งกันในปัญหาทะเลจีนใต้
การประชุมสุดยอดครั้งนี้ จึงมีความสำคัญในการประสานรอยร้าว และสร้างเอกภาพของอาเซียนให้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งผลการประชุมก็ถือได้ว่า ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง
ในการประสานรอยร้าว ถึงแม้จะมีข่าวออกมาถึงความขัดแย้งระหว่างกัมพูชากับฟิลิปปินส์ก็ตาม
แต่โดยภาพรวม ถือว่าประสบความสำเร็จ โดยอาเซียนสามารถตกลงที่จะมีท่าทีร่วมกันในประเด็นปัญหาทะเลจีนใต้ได้
โดยได้มีการจัดทำแถลงการณ์ร่วมผลการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน เกี่ยวกับปัญหาทะเลจีนใต้
ประเด็นสำคัญคือ ทั้งสองฝ่ายตอกย้ำความสำคัญของปฏิญญาทะเลจีนใต้ปี 2002 ซึ่งมีชื่อภาษาอังกฤษว่า
Declaration on the Conduct of Parties
in the South China Sea หรือเรียกย่อว่า DOCโดยจีนได้ยอมรับจุดยืนของอาเซียน
6 ประการด้วยกันคือ
1.
เดินหน้าในการแปลง
DOC ไปสู่การปฏิบัติ
2.
เดินหน้าในโครงการความร่วมมือร่วมกัน
3.
ร่วมมือในการส่งเสริมความมั่นคงทางทะเล
ซึ่งรวมถึงเสรีภาพในการเดินเรือ
4.
กระตุ้นให้ทุกฝ่ายแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติวิธีด้วยการเจรจา
5.
ทุกฝ่ายจะต้องยุติการกระทำใดๆที่จะทำให้ความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น
6.
เดินหน้าในการปรึกษาหารือ
เพื่อนำไปสู่การจัดทำ code of conduct
ผมมองว่า
การประชุมสุดยอดอาเซียน-จีนในครั้งนี้ ประสบความสำเร็จ
โดยเฉพาะเรื่องปัญหาความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ทั้งนี้เพราะทั้งสองฝ่ายไม่อยากให้ความขัดแย้งลุกลามบานปลาย
แต่ความขัดแย้งก็ยังครุกรุ่นและยังล่อแหลมอยู่ โดยตัวแปรสำคัญคือ สหรัฐฯ
ซึ่งต้องการใช้ประเด็นความขัดแย้งนี้ในการเพิ่มบทบาททางทหารของตน และต้องการยุแหย่ให้จีนกับอาเซียนทะเลาะกัน
RCEP
สำหรับประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจนั้น
เรื่องใหญ่คือ การบูรณาการ FTA ต่างๆ ที่อาเซียนมีอยู่ ทั้งในกรอบ อาเซียน+1
อาเซียน +3 และอาเซียน +6 โดยได้มีการศึกษาถึงรูปแบบ FTA ทั้งหมด
ซึ่งเรียกว่า ASEAN++FTA และได้มีการเสนอรูปแบบที่เหมาะสม
ซึ่งต่อมาได้มีการให้ชื่อว่า Regional
Comprehensive Economic Partnership หรือ RCEP
ในการประชุมสุดยอดครั้งนี้
ได้มีการประชุมระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา 6 ประเทศที่มี FTA กับอาเซียน
ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเรีย และนิวซีแลนด์ และได้มีจัดทำปฏิญญาร่วม ในการเริ่มการเจรจา RCEP โดยการเจรจา RCEP
จะตั้งอยู่บนหลักการเหล่านี้
1.
RCEP จะเป็น
FTA ที่มีคุณภาพสูงกว่า FTA อาเซียน+1 ในปัจจุบัน
2.
RCEP จะมีความยืดหยุ่นสูงโดยจะมีหลักการให้การปฏิบัติที่เป็นพิเศษและแตกต่าง
ให้กับประเทศสมาชิกอาเซียนที่มีระดับการพัฒนาต่ำ
3.
FTA อาเซียน+1 ทั้งในแบบทวิภาคีและพหุภาคี จะยังมีอยู่ต่อไป
และข้อตกลง RCEP จะไม่ขัดแย้ง กับ FTA เดิมที่อาเซียนมีอยู่
4.
ประเทศคู่เจรจาของอาเซียนที่ไม่เข้าร่วม
RCEP ในตอนเริ่มต้น ก็สามารถเข้าร่วมเจรจาในภายหลังได้
นอกจากนี้ RCEP ยังเปิดกว้าง พร้อมที่จะให้ประเทศอื่นๆสามารถเข้ามาร่วมใน RCEP ในภายหลังได้ด้วย
เกี่ยวกับเรื่อง
RCEP นี้ ผมมองว่า เป็นความพยายามของอาเซียน ที่จะบูรณาการ FTA ที่มีอยู่
ทั้งในกรอบ อาเซียน+1 อาเซียน+3 และอาเซียน +6 และวาระซ้อนเร้นของอาเซียนคือ
การเอา RCEP มาแข่งกับ TPP ของสหรัฐฯ
ซึ่งต้องจับตาดูกันต่อว่า RCEP กับ TPP ใครจะไปได้ไกลกว่ากัน
แต่คงเป็นไปได้ยาก
ที่สหรัฐ จะมาเข้าร่วมกับ RCEP เพราะสหรัฐก็พยายามผลักดัน
TPP เต็มที่ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ สมาชิกอาเซียนกำลังถูกดึงไปเข้าร่วม
TPP มากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุด ก็เป็นไทย ที่ประกาศเข้าร่วม TPP ซึ่ง เป็นประเทศสมาชิกอาเซียนประเทศที่
5 ที่เข้าร่วม TPP
ผมไม่แน่ใจว่า
จะเป็นจุดอ่อนหรือจุดแข็งของ RCEP ที่อาเซียนได้คิดค้นรูปแบบการเจรจาแบบใหม่ เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นสูง
การเจรจาในแต่ละสาขาจึงมีลักษณะคู่ขนาน อาทิ การเจรจาเปิดเสรีการค้าสินค้า
กับการเจรจาการค้าภาคบริการ จะคู่ขนานกัน และประเทศที่เข้าร่วมในแต่ละสาขา
ก็อาจมีไม่เท่ากัน โดยในด้านการค้าสินค้า อาจมี 12 ประเทศ การค้าภาคบริการ อาจมี
16 ประเทศ ผมเป็นห่วงว่า จะสับสนวุ่นวายและเลอะเทอะกันใหญ่
EAS และอาเซียน+3
เรื่องสำคัญอีกเรื่อง
สำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงพนมเปญในครั้งนี้ คือ การที่การประชุม EAS กำลังโดดเด่นขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่การประชุมอาเซียน+3 ก็แผ่วลงไปเรื่อยๆ
โดยจะเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความคืบหน้าในกรอบ
EAS ซึ่งได้มีการจัดประชุมในระดับรัฐมนตรี EAS
ในกรอบต่างๆดังนี้
·
การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ
EAS ครั้งที่ 2
·
การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจ EAS ครั้งแรก
·
การประชุมรัฐมนตรีคลัง
EAS ครั้งที่ 2
·
การประชุมรัฐมนตรีพลังงาน
EAS ครั้งที่ 6
·
การประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม
EAS ครั้งที่ 3
·
การประชุมรัฐมนตรีศึกษาธิการ
EAS ครั้งที่ 1
นอกจากนี้การประชุมสุดยอด
EAS ในครั้งนี้ได้จัดทำ Declaration
on EAS Development Initiative ด้วย
ส่วนการประชุมสุดยอด
อาเซียน+3 ดูไม่โดนเด่น เรื่องสำคัญ คือเรื่อง การประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียน+3
ที่เพิ่มวงเงิน CMIM จาก 120,000 ล้านเหรียญเป็น 240,000 ล้านเหรียญ เรื่องการทำข้อตกลง ASEAN +3
Emergency
Rice Reserve และได้มีการประชุมรัฐมนตรีศึกษาธิการอาเซียน+3 ครั้งแรก
รวมทั้งได้มีการออกแถลงการณ์เรื่อง ASEAN +3 Partnership
on Connectivity
แต่โดยภาพรวมแล้ว เห็นได้ชัดว่า
EAS ได้กลายเป็นกลไกที่โดดเด่นกว่า อาเซียน+3 ไปแล้ว
ปัจจัยสำคัญคือ การเข้าร่วมเป็นสมาชิก EAS
ของสหรัฐ ในอดีต อาเซียนให้ความสำคัญกับอาเซียน+3
โดยเคยตั้งเป้าว่า จะให้พัฒนาไปเป็นประชาคมเอเชียตะวันออก แต่ก็ได้รับการต่อต้านจากสหรัฐ
ซึ่งมองว่าอาเซียน+3 กีดกันตน พัฒนาการของอาเซียน +3 จึงช้าลง ในขณะทีที่ EAS โดดเด่นขึ้นมาเรื่อยๆโดยเฉพาะด้วยการผลักดันจากสหรัฐนั่นเอง