ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 4 กันยายน 2557
เมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Daniel Russel อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก
กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่ San Francisco
ในหัวข้อ “ASEAN and America : Partners for the Future” ผมดูแล้วเห็นว่าเป็นสุนทรพจน์สำคัญ เป็นการประกาศยุทธศาสตร์สหรัฐต่ออาเซียนล่าสุด
คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้ จึงจะสรุปวิเคราะห์สุนทรพจน์ดังกล่าว ดังนี้
ภาพรวม
สหรัฐเป็นมหาอำนาจและประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ดังนั้น ประธานาธิบดี Obama จึงให้ความสำคัญต่อการกำหนดยุทธศาสตร์ในระยะยาวต่อภูมิภาค
โดยได้เล็งเห็นว่า ศูนย์กลางของภูมิภาคอยู่ที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยเฉพาะอยู่ที่กลุ่มประเทศอาเซียน
สหรัฐได้ดำเนินยุทธศาสตร์ในระดับทวิภาคีและพหุภาคี
ในระดับทวิภาคี สหรัฐมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับทั้ง 10 ประเทศ
สำหรับในระดับพหุภาคี
สหรัฐมุ่งเป้าไปที่อาเซียน ซึ่งขณะนี้กำลังมีบูรณาการไปเป็นประชาคมอาเซียน
ซึ่งจะมีประชากรถึง 620 ล้านคน และมี GDP รวมกันกว่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับอาเซียนนั้น
กระชับแน่นแฟ้นขึ้นมาก ในปี 2005 ได้มีการลงนามในข้อตกลง TIFA หรือ Trade and Investment Framework
Agreement หลังจากนั้น ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจก็แน่นแฟ้นขึ้นมาก
ปีที่แล้ว การค้าระหว่างสหรัฐกับอาเซียน มีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านเหรียญ
อาเซียนจึงเป็นคู่ค้าและตลาดส่งออก อันดับ 4 ของสหรัฐ
สำหรับความสัมพันธ์ทางด้านการเมืองความมั่นคง
ตั้งแต่สหรัฐให้การรับรอง Treaty of Amity and Cooperation ความสัมพันธ์กระชับแน่นแฟ้นขึ้นมาก ประธานาธิบดี Obama ได้ตัดสินใจเข้าร่วมการประชุม East Asia Summit หรือ
EAS ซึ่งถือเป็นมิติสำคัญของยุทธศาสตร์ rebalance ของสหรัฐต่อเอเชีย
ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา
รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ และผู้บัญชาการกองทัพเรือ ได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมกับรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนที่ฮาวาย
ถือเป็นครั้งแรก ที่ได้มีการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐกับรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน
East Asia
Summit
เวทีอาเซียนที่สหรัฐให้ความสำคัญมากที่สุดในขณะนี้คือ
เวที East Asia Summit หรือ EAS สหรัฐเน้นว่า
การเสริมสร้างสถาบันภูมิภาคให้เข้มแข็ง ถือเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวของสหรัฐ
โดยสถาบันที่เข้มแข็ง จะมีพลังสำคัญที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า peer pressure
สหรัฐสนับสนุนการที่อาเซียนจัดตั้ง
EAS เพราะจะทำให้ประเทศในภูมิภาคใกล้ชิดกันมากขึ้น EAS เป็นเวทีที่จะอุดช่องโหว่ของภูมิภาค
เพราะในอดีต จะมีเอเปคเป็นเวทีความร่วมมือทางเศรษฐกิจของภูมิภาค
แต่ยังไม่มีเวทีหารือด้านความมั่นคง โดยเฉพาะในระดับผู้นำประเทศ หรือในระดับสุดยอด
ในปี
1997 ได้มีการจัดประชุมสุดยอดอาเซียน + 3 ต่อมาได้ขยายเป็นอาเซียน + 6 ในกรอบ EAS และล่าสุดได้เพิ่มสมาชิกใหม่คือ สหรัฐและรัสเซีย ทำให้ EAS ขยายไปเป็นอาเซียน
+ 8 การขยายจำนวนสมาชิกของ EAS
แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของอาเซียน ที่จะเป็นศูนย์กลาง หรือ hub ที่เชื่อมต่อประเทศต่างๆ ในภูมิภาค
สหรัฐเชื่อว่า
EAS จะสามารถพัฒนาไปเป็นเวทีสำคัญในการจัดการปัญหาในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
แต่ EAS ยังเป็นเวทีใหม่ และสมาชิกกำลังพยายามพัฒนา EAS ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับสหรัฐนั้น
การตัดสินใจเข้าร่วม EAS เพราะสหรัฐเป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
สหรัฐต้องการที่จะอยู่ในโต๊ะการหารือ เพื่อพัฒนาสถาบันดังกล่าวในอนาคต
สำหรับประเด็นความร่วมมือที่สหรัฐให้ความสำคัญเป็นพิเศษใน
EAS คือ ความร่วมมือในการจัดการ กับภัยพิบัติ ทั้งนี้เพราะ
70 % ของภัยพิบัติในโลกอยู่ในภูมิภาคนี้
ซึ่งสร้างความเสียหายปีละเกือบ 7 หมื่นล้านเหรียญ ดังนั้น สหรัฐจึงสนับสนุน EAS
Declaration on Rapid Disaster Response และกำลังช่วยพัฒนา ASEAN’s
Center for Humanitarian Assistance and Disaster Relief
ปัญหาทะเลจีนใต้
อีกเรื่องที่สหรัฐให้ความสำคัญอย่างยิ่งคือ
ปัญหาความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ สหรัฐไม่ใช่คู่กรณีพิพาทในปัญหาดังกล่าว
สหรัฐจึงมีจุดยืนที่เป็นกลาง ไม่เข้าข้างใคร อย่างไรก็ตาม
เสถียรภาพในทะเลจีนใต้มีความสำคัญต่อสหรัฐ เพราะกว่า 50 % ของการขนส่งทางทะเล
โดยเฉพาะการขนส่งน้ำมัน ต้องผ่านทะเลจีนใต้ ดังนั้นผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐ คือ
เสรีภาพในการเดินเรือ หลักกฎหมายระหว่างประเทศ
และการแก้ไขความขัดแย้งอย่างสันติวิธี
สหรัฐโจมตีจีนว่า
ปีนี้ ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้เพิ่มมากขึ้น เพราะพฤติกรรมที่ก้าวร้าวของจีน
ซึ่งได้ก่อให้เกิดความกังวลใจเป็นอย่างมาก ต่อการอ้างกรรมสิทธิ์ของจีน และการที่จีนจะยอมรับกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่
เมื่อเร็วๆนี้ การที่จีนส่งแท่นขุดเจาะน้ำมันเข้าไปในบริเวณหมู่เกาะ Paracel ซึ่งเวียดนามได้ อ้างกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะดังกล่าว ทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง
ขณะเดียวกัน ประเทศคู่กรณีต่างพยายามสร้างเสริมกำลังทางทหารเข้าไปในบริเวณที่มีความขัดแย้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเคลื่อนไหวของจีนในเรื่องนี้ นับว่าน่าเป็นห่วงมาก
สหรัฐพยายามที่จะช่วยลดความตึงเครียด
และช่วยให้มีการแก้ไขความขัดแย้งอย่างสันติวิธี สหรัฐได้ร่วมมือกับอาเซียนในการจัดทำ
Code of Conduct นอกจากนี้ สหรัฐสนับสนุนให้มีการสร้าง peer
pressure เพื่อกดดันจีน
ในปฏิญญาปี 2002 จีนและอาเซียนได้ตกลงกันว่า
จะหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่จะทำให้ความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม
ยังไม่มีคำจำกัดความชัดเจนว่า อะไรคือกิจกรรมดังกล่าว สหรัฐจึงสนับสนุนให้ทุกฝ่ายหารือกันเพื่อให้มีคำจำกัดความที่ชัดเจน
สหรัฐเรียกร้องให้ทุกฝ่าย ยุติกิจกรรมทุกอย่างที่จะก่อให้เกิดปัญหา ซึ่งในระยะยาว สหรัฐหวังว่า
สถาบันที่เข้มแข็งจะสามารถกดดันสมาชิก หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธีได้
บทวิเคราะห์
สุนทรพจน์ที่ผมได้สรุปข้างต้น เป็นการฉายภาพให้เห็นยุทธศาสตร์สหรัฐต่ออาเซียนที่เป็นทางการล่าสุด
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงทางการเมืองระหว่างประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ประกาศอาจจะไม่ใช่ยุทธศาสตร์ที่แท้จริง
และยุทธศาสตร์ที่แท้จริงก็มักจะไม่ประกาศ ดังนั้น จึงมี hidden agenda หรือวาระซ้อนเร้นมีอยู่มากมายในการเมืองระหว่างประเทศ
สำหรับ hidden agenda ของสหรัฐที่ไม่ประกาศต่อภูมิภาค มีหลายเรื่อง
ที่เป็นยุทธศาสตร์หลักคือ ยุทธศาสตร์การครองความเป็นเจ้า การปิดล้อมจีน การป้องกันไม่ให้ประเทศในภูมิภาครวมกลุ่มกันโดยไม่มีสหรัฐ
และยุทธศาสตร์การปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
ดังนั้น
ยุทธศาสตร์สหรัฐต่ออาเซียนก็จะเป็นไปเพื่อบรรลุยุทธศาสตร์ใหญ่ข้างต้น คือ การครองความเป็นเจ้า
ตีสนิทกับอาเซียนเพื่อสกัดกั้นอิทธิพลของจีน การเข้าร่วม EAS เพื่อป้องกันไม่ให้เอเชียรวมกลุ่มกัน โดยไม่มีสหรัฐ
การที่สหรัฐให้ความสำคัญกับ EAS เป็นพิเศษนั้น เพราะสหรัฐต้องการที่จะเข้าครอบงำ EAS และผลักดันให้เป็นเวทีหารือด้านความมั่นคงในภูมิภาค ก่อนหน้านี้ สหรัฐได้เข้าครอบงำเอเปค ซึ่งเป็นเวทีหารือทางเศรษฐกิจไปเรียบร้อยแล้ว
อีกเรื่องที่สำคัญมากสำหรับยุทธศาสตร์สหรัฐต่อภูมิภาคคือ
ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ซึ่งหลังจากสหรัฐจุดประเด็นในเรื่องนี้ มาตั้งแต่ปี 2010 ขัดแย้งก็ลุกลามบานปลายขึ้นเรื่อยๆ
โดยมีสหรัฐอยู่เบื้องหลัง ยุแหย่ให้คู่กรณีขัดแย้งกันหนักขึ้น
การจุดประเด็นเรื่องทะเลจีนใต้
สหรัฐจะได้ประโยชน์ 5 ประการ
ประการแรก
ทำให้อาเซียนทะเลาะกับจีนหนักขึ้น ซึ่งสหรัฐจะได้ประโยชน์ เพราะประเทศอาเซียนจะใกล้ชิดสหรัฐมากขึ้น
เพื่อหวังเอาสหรัฐไปถ่วงดุลจีน
ประการที่สอง
การที่สหรัฐเข้ามายุ่งเรื่องนี้ทำให้จีนโกรธ และก้าวร้าวมากขึ้น ซึ่งเข้าทางสหรัฐ
ประเทศเพื่อนบ้านหวาดระแวงจีนมากขึ้น ก็จะมาใกล้ชิดสหรัฐมากขึ้น
ซึ่งจะทำให้ยุทธศาสตร์การปิดล้อมจีนประสบความสำเร็จ
ประการที่สาม ปัญหาทะเลจีนใต้ทำให้ประเทศอาเซียนแตกแยกกัน
อาเซียนอ่อนแอลง ก็เข้าทางสหรัฐที่ไม่ต้องการให้ประเทศในเอเชียรวมกลุ่มกันโดยไม่มีสหรัฐ
ประการที่สี่
ปัญหาทะเลจีนใต้จะเป็นข้ออ้างอย่างดี ในการที่สหรัฐจะเพิ่มบทบาททางทหารในภูมิภาค
ซึ่งจะนำไปสู่
ประการที่ห้า
นั่นคือ เป้าหมายสูงสุดของสหรัฐ ในการครองความเป็นเจ้าในภูมิภาคเอเชียนั่นเอง