ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 6 มีนาคม 2557
เมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ผมได้รับเชิญจาก Japan Institute for Social and
Economic Affairs ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยของ Keidanren องค์กรธุรกิจที่สำคัญที่สุดของญี่ปุ่น
โดยได้มีโอกาสพบปะหารือกับหลายภาคส่วนของญี่ปุ่น ทั้งนักวิชาการ นักการเมือง
และนักธุรกิจ ได้ข้อมูลที่น่าสนใจหลายเรื่อง
ซึ่งอยากจะมาสรุปวิเคราะห์ในคอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้ ดังนี้
เศรษฐกิจญี่ปุ่น
ผมได้ฟังการบรรยายจากนักวิชาการ
นักการเมือง และนักธุรกิจของญี่ปุ่นหลายคน ต่างมองไปในทิศทางเดียวกันว่า ญี่ปุ่นกำลังประสบกับภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจและสังคมครั้งใหญ่
ในอดีตทศวรรษ 1960 -1970 ญี่ปุ่นเคยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก แต่ในช่วง
20 ปี ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นก็ประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ขณะนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นถดถอย
คือปัญหาที่ทุกคนคาดไม่ถึง นั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของญี่ปุ่น
มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆว่า สัดส่วนของผู้สูงอายุต่อจำนวนประชากรทั้งหมด
กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ภาวะเช่นนี้ภาษาอังกฤษเรียกว่า aging society หรือภาวะสังคมผู้สูงอายุ
ซึ่งขณะนี้กลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ โดยที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศรัฐสวัสดิการ
รัฐบาลให้สวัสดิการกับประชาชนเต็มที่ รวมถึงระบบประกันสุขภาพ
รัฐบาลต้องจ่ายงบประมาณเป็นจำนวนมหาศาลในระบบประกันสุขภาพผู้สูงอายุ
ทำให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณ ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่มีหนี้สาธารณะมากที่สุดในโลก
คือ 230 % ของ GDP ญี่ปุ่น และภาระค่าใช้จ่ายตรงนี้ ก็จะหนักขึ้นเรื่อยๆในอนาคต เพราะในอีก 10
ปีข้างหน้า ประชากรส่วนใหญ่ซึ่งตอนนี้อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 65 ปี ก็จะกลายเป็นอายุเฉลี่ย
75 ปี ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ก็จะเพิ่มขึ้นอีกมาก
ในช่วงที่ผ่านมา
รัฐบาลได้พยายามหาหนทางที่จะแก้ปัญหาดังกล่าว แต่ก็ล้มเหลวหมด ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปเศรษฐกิจ
ความพยายามการเพิ่มอัตราประชากร ญี่ปุ่นมีอัตราการเพิ่มของประชากรต่ำที่สุดในโลก
คือ 1.29 % ตามหลักแล้ว อัตราการเพิ่มประชากรไม่ควรน้อยกว่า
2 % ของไทยก็น่าห่วง เพราะอัตราการเพิ่มของ ประชากรไทยอยู่ที่ 1.8 % ไทยเองในอนาคตก็จะประสบปัญหาเช่นเดียวกับญี่ปุ่น
คือประชากรส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ ดังนั้น ไทยน่าจะต้องศึกษาปัญหาเรื่องโครงสร้างประชากรให้ดี
และเตรียมมาตรการรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
อย่าให้เป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนญี่ปุ่น
การลงทุนของญี่ปุ่นในอาเซียนและไทย
อีกเรื่องที่เป็นข้อมูลสำคัญที่ได้จากการไปญี่ปุ่นในครั้งนี้คือ
Keidanren ได้จัดให้ผมไปเยือนสำนักงานใหญ่ของบริษัทญี่ปุ่นที่ลงทุนในอาเซียน
โดยเฉพาะทางด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งไทยเป็นฐานใหญ่ที่สุดในอาเซียน ผมได้มีโอกาสพบปะกับผู้บริหารระดับสูงของโตโยต้าที่สำนักงานใหญ่ที่เมืองนาโกย่า
และได้พบปะกับผู้บริหารของบริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ได้แก่ Denzo Epson และ Mitsui ได้รับฟังคำบรรยายเกี่ยวกับการลงทุนในอาเซียนของบริษัทเหล่านี้
ซึ่งเห็นภาพชัดว่า อาเซียนเป็นฐานใหญ่ของการลงทุนของญี่ปุ่นโดยเฉพาะไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่สำคัญที่สุดของญี่ปุ่นในอาเซียน
ปีที่แล้วมีการผลิตรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้ากว่า 1 ล้านคันในอาเซียน นอกจากนี้ อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนของญี่ปุ่นได้ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักของญี่ปุ่นด้วย
อย่างไรก็ตาม นักธุรกิจญี่ปุ่นรู้สึกเป็นกังวลไม่น้อยเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทย
และเริ่มไม่เชื่อมั่นในการลงทุนในไทย จึงทำให้ญี่ปุ่นจำเป็นต้องคิดแผนสำรอง ก่อนหน้านี้
อุตสาหกรรมญี่ปุ่นในไทยได้เสียหายหนักมาแล้วจากกรณีน้ำท่วมใหญ่ ในปี 2554 และก็มาเจอความวุ่นวายทางการเมืองที่ยืดเยื้ออีก
ยุทธศาสตร์การลงทุนของญี่ปุ่นในอาเซียน ในอดีต ใช้ไทยเป็นฐานใหญ่เพียงฐานเดียว
แต่ในอนาคต แผนสำรองของญี่ปุ่นที่ผมได้ยินมาคือ แผนที่ญี่ปุ่นเรียกว่า Thailand+1
และ Thailand+2 คือญี่ปุ่นกำลังมีแผนจะย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปในประเทศอาเซียนอื่นเพื่อลดความเสี่ยง
โดยเฉพาะที่อินโดนีเซียและเวียดนาม ดังนั้น หากสถานการณ์ในเมืองไทยไม่คลีคลายโดยเร็ว
ก็อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนของญี่ปุ่นในไทยอย่างมากในอนาคต
นอกจากนี้
นักธุรกิจญี่ปุ่นก็กำลังจับตามองการเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ซึ่งตามทฤษฎีแล้ว AEC จะทำให้อาเซียนเป็นตลาดเดียวและฐานการผลิตเดียว
แต่ในความเป็นจริง AEC ยังไม่ใช่ตลาดเดียวและฐานการผลิตเดียว ญี่ปุ่นก็คงจะรู้ถึงข้อจำกัดตรงนี้ ดังนั้นญี่ปุ่นก็ยังไม่มียุทธศาสตร์ต่ออาเซียนทั้งกลุ่ม
แต่เป็นยุทธศาสตร์ย่อยต่อแต่ละประเทศอาเซียนเสียมากกว่า
นักธุรกิจญี่ปุ่นยังได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาและอุปสรรคของการลงทุนของญี่ปุ่นในอาเซียน
ซึ่งมีหลายเรื่อง อาทิ ปัญหาคุณภาพของแรงงาน ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน
ปัญหากฎหมายที่ไม่เอื้อต่อการทำธุรกิจ ปัญหาคอรัปชั่น ปัญหาความไม่สงบทางการเมือง
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย น่าจะต้องรีบแก้ไขโดยเร็ว
เพื่อที่จะทำให้ไทยยังคงเป็นที่ที่น่าลงทุนสำหรับญี่ปุ่น
โดยผลสำรวจล่าสุดของนักลงทุนญี่ปุ่น ระบุว่าอินโดนีเซียตอนนี้กลายเป็นประเทศที่น่าลงทุนที่สุดไปแล้ว
โดยไทยตกไปอยู่อันดับ 4 แล้ว
ความสัมพันธ์ญี่ปุ่น-จีน
อีกเรื่องที่น่าสนใจในการไปญี่ปุ่นครั้งนี้คือเรื่องความขัดแย้งระหว่างญี่ปุ่นกับจีน
ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักการเมือง นักธุรกิจ ต่างก็มองตรงกัน ในการมองจีนว่าเป็นลบมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยญี่ปุ่นมีนโยบายที่จะแข่งกับจีนและสกัดกั้นการขยายอิทธิพลของจีนมากขึ้นเรื่อยๆ
ผมได้มีโอกาสพบปะหารือกับ
สส.ของญี่ปุ่นหลายคน ซึ่งนักการเมืองญี่ปุ่นมองจีนเป็นลบ และมองว่ายุทธศาสตร์ต่อจีนที่จำเป็นของญี่ปุ่นในขณะนี้คือ
ยุทธศาสตร์การปิดล้อมจีน นอกจากนั้น นักการเมืองญี่ปุ่นยังมองว่า จีนจะครอบงำกรอบความร่วมมือต่างๆในภูมิภาค
โดยเฉพาะกรอบ อาเซียน+3
ญี่ปุ่นจึงจำเป็นต้องเข้าร่วม TPP ซึ่งมีสหรัฐเป็นโต้โผ
เพื่อโดดเดี่ยวจีนและปิดล้อมจีนทางเศรษฐกิจ
สำหรับนักวิชาการญี่ปุ่นก็พูดประสานเสียงเป็นเสียงเดียวกับนักการเมืองญี่ปุ่น
โดยเน้นในเรื่องของการเข้าร่วม TPP ของญี่ปุ่น โดยพยายามหว่านล้อมให้อาเซียนเห็นถึงผลดีของ TPP โดยเฉพาะสำหรับประเทศอาเซียนที่ยังไม่เข้าร่วม ซึ่งร่วมถึงไทยด้วย
ขณะนี้มีประเทศอาเซียน 4 ประเทศเข้าร่วม ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน
และเวียดนาม ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดาย ที่อาเซียนเราแตกแยกกันในเรื่องนี้ โดยได้สะท้อนออกมาในการไปญี่ปุ่นครั้งนี้ด้วย
นักวิชาการจากสิงคโปร์ที่ไปด้วยกัน ก็พูดเชียร์ TPP เต็มที่ ทำให้เห็นชัดว่า สิงคโปร์ให้ ความสำคัญต่อสหรัฐมากกว่าอาเซียน
เพราะอาเซียนไม่เคยมีท่าทีอย่างเป็นทางการที่สนับสนุน TPP ท่าทีของอาเซียนคือ อาเซียนสนับสนุนการจัดทำ FTA ในกรอบอาเซียน + 6 ที่มีชื่อย่อ RCEP
สำหรับนักธุรกิจญี่ปุ่นก็มองจีนเป็นลบเช่นเดียวกัน
แม้ว่าในอดีต ญี่ปุ่นได้เข้าไปลงทุนในจีนมหาศาล แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ญี่ปุ่นกับจีนเริ่มขัดแย้งกันหนักขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นมีการเดินขบวนประท้วงและใช้ความรุนแรงกับธุรกิจญี่ปุ่นในจีน
ทำให้นักลงทุนญี่ปุ่นที่ผมได้พบปะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ญี่ปุ่นมีแผนสำรองที่จะย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังอาเซียน
หากสถานการณ์เลวร้ายลงไปกว่านี้ และเริ่มมีแนวโน้มแล้วว่า การลงทุนของญี่ปุ่นในจีนลดลงไปมากในช่วงปีที่ผ่านมา
ประเด็นนี้ก็อาจจะเป็นอานิสงส์ของอาเซียนและไทย
ที่อาจจะมีการย้ายฐานการผลิตของบริษัทญี่ปุ่นจากจีนมาไทยมากขึ้นในอนาคต
กล่าวโดยสรุป
การไปญี่ปุ่นในครั้งนี้ของผม ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์หลายเรื่อง บทเรียนของวิกฤติเศรษฐกิจญี่ปุ่น
น่าจะทำให้ไทยตื่นตัวต่อปัญหาโครงสร้างประชากรมากขึ้น เช่นเดียวกับสถานการณ์การลงทุนของญี่ปุ่นในไทย
ซึ่งไทยก็มีการบ้านหลายเรื่องที่จะต้องรีบแก้ และสุดท้าย เรื่องความขัดแย้งระหว่างจีนกับญี่ปุ่นเราก็คงจะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่า
ไทยจะได้จะเสียอย่างไรต่อสถานการณ์ดังกล่าวในอนาคต