วิกฤตทิเบต
ตีพิมพ์ใน: สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์
ตั้งแต่ช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ได้เกิดเหตุความวุ่นวายขึ้นในทิเบต และขณะนี้ประชาคมโลกก็กำลังจับตามองวิกฤตครั้งนี้ว่าจะเป็นอย่างไร คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ ผมจะได้วิเคราะห์ถึงวิกฤตการณ์ในทิเบต โดยจะกล่าวถึงประวัติความเป็นมา มาตรการของรัฐบาลจีน ปฏิกริยาจากประชาคมโลก และแนวโน้มในอนาคต
ประวัติความเป็นมา
ทิเบตเคยเป็นอาณาจักรเก่าแก่ที่ย้อนกลับไปได้นับเป็นพันปี แต่ในหลายยุคหลายสมัย จีนพยายามที่จะขยายอิทธิพล และยึดครองทิเบตหลายครั้ง จนมาสำเร็จในปี 1951 จีนได้ส่งทหารเข้ายึดครองทิเบต และผนวกทิเบตเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจีนอย่างถาวร
อย่างไรก็ตาม ชาวทิเบตก็ไม่ยินยอมที่จะอยู่ภายใต้การปกครองของจีน และได้มีการต่อต้านตลอดเวลาเกือบ 60 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 1959 ได้มีการเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่ แต่จีนก็ได้ใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง และมีผู้เสียชีวิตหลายหมื่นคน ผู้นำจิตวิญญาณของทิเบตคือ ดาไลลามะ ได้ลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ที่อินเดีย และตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นตั้งแต่นั้นมา
สำหรับจีน ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้ใช้นโยบาย “กลืนชาติ” โดยได้ส่งทหารและคนจีนเข้าไปในทิเบตเป็นจำนวนมาก โดยขณะนี้ มีทหารจีนอยู่ในทิเบตประมาณ 250,000 คน และมีคนจีนที่อพยพเข้าไปอยู่ในทิเบตถึง 7,500,000 คน กลายเป็นคนจีนมีจำนวนมากกว่าคนทิเบตซึ่งมีเพียง 6 ล้านคน ชาวทิเบตจึงกลายเป็นพลเมืองชั้นสอง กลายเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศของตนเอง และรัฐบาลจีนได้ใช้นโยบายกลืนชาติโดยบังคับให้เรียนภาษาจีน รวมทั้งในเรื่องการศึกษา ศาสนา ปัจจุบันฐานะของคนจีนในทิเบตดีกว่าชาวทิเบตเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ตลอดเวลาที่ผ่านมา ประชาคมโลกได้ให้ความสนใจในปัญหาทิเบต โดยเฉพาะเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน และมีผู้ที่เห็นใจต่อการเรียกร้องการปกครองตนเองของชาวทิเบต แต่ในที่สุดแล้วก็ยอมรับอธิปไตยของจีนต่อทิเบต และไม่มีประเทศไหนที่จะกล้ารับรองรัฐบาลพลัดถิ่นของดาไลลามะ
ในปี 2005 รัฐบาลจีนได้พยายามมีนโยบายประนีประนอมมากขึ้น โดยนาย Wen Jiabao นายกรัฐมนตรีจีน ได้เสนอที่จะเจรจากับดาไลลามะ แต่การเจรจาก็ไม่คืบหน้า ดาไลลามะเองในตอนหลังก็มีจุดยืนอ่อนลง โดยยอมรับอธิปไตยของจีนและไม่เรียกร้องเอกราช แต่สิ่งที่เรียกร้องคือ การปกครองตนเอง
สถานการณ์การต่อต้านจีนของชาวทิเบต ในที่สุดก็มาถึงจุดระเบิด โดยเมื่อวันที่10 มีนาคมที่ผ่านมาได้มีการเดินขบวนฉลองครบรอบวันที่ชาวทิเบตลุกฮือขึ้นต่อต้านจีนในปี 1959 และในที่สุด การเดินขบวนก็บานปลาย โดยรัฐบาลจีนได้ใช้กำลังเข้าปราบปรามผู้เดินขบวนเมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา จีนอ้างว่ามีคนตายประมาณ 10 กว่าคน แต่ทางฝ่ายดาไลลามะอ้างว่า มีคนตายมากกว่านั้นอาจจะถึง 100 คน
สถานการณ์ล่าสุด ถึงแม้ในกรุงลาซาเหตุการณ์จะสงบลง แต่การประท้วงต่อต้านได้ขยายวงออกไปสู่มณฑลอื่นๆ ของจีนที่มีชาวทิเบตอาศัยอยู่ ได้แก่ มณฑล กานซู เสฉวน และชิงไห่
มาตรการของรัฐบาลจีน
วิกฤตทิเบต ถือว่าเป็นวิกฤตที่รุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปี และเกิดขึ้นในจังหวะที่จีนจะจัดกีฬาโอลิมปิค ถือเป็นฝันร้ายของรัฐบาลจีน จีนจึงประสบกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คือ จีนไม่ต้องการให้มีการนองเลือดในช่วงเวลาก่อนกีฬาโอลิมปิค แต่ขณะเดียวกัน การใช้ไม้อ่อนอาจจะทำให้รัฐบาลจีนถูกมองว่าอ่อนแอ และอาจนำไปสู่การลุกฮือต่อต้านมากขึ้น
การจัดโอลิมปิคในเดือนสิงหาคมนี้ จีนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะใช้กีฬาโอลิมปิคเป็นโอกาสทองของจีนที่จะประกาศศักดาความยิ่งใหญ่และความรุ่งเรืองของจีนต่อสายตาชาวโลก ไม่ใช่กลายเป็นเรื่องการนองเลือดในทิเบต ประเด็นนี้เองที่นับว่าเป็นจุดอ่อนที่รัฐบาลจีนไม่กล้าที่จะทำอะไรเพราะกลัวกระทบต่อกีฬาโอลิมปิค จึงทำให้จีนในขณะนี้จึงกลายเป็นเป้านิ่งที่ถูกโจมตีอย่างหนักในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในจีน ท่าทีของจีนต่อความขัดแย้งในแคว้นดาฟู ท่าทีของจีนต่อปัญหาพม่า ปัญหาซินเจียง ปัญหาไต้หวัน และการโจมตีว่าจีนสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการทั่วโลก ทั้งนี้เพราะหวังผลในเรื่องน้ำมันและพลังงาน
ในอดีตหากไม่มีโอลิมปิค เป็นที่คาดว่า จีนคงใช้กำลังเข้าปราบปรามชาวทิเบตอย่างราบคาบ แต่ในขณะนี้จีนคงไม่กล้าทำเช่นนั้น
ในอดีต จีนพยายามใช้ทั้งไม้อ่อน และไม้แข็งกับปัญหาทิเบต โดยได้พยายามเข้าไปพัฒนาเศรษฐกิจของทิเบต โดยสร้างเส้นทางรถไฟสายใหม่ แต่สิ่งเหล่านี้กลับถูกมองโดยชาวทิเบตว่า เพื่อผลประโยชน์ของชาวจีนที่อพยพเข้าไปในทิเบต และเป็นแผนการกลืนชาติโดยการทำลายวัฒนธรรมทิเบต ซึ่งดาไลลามะเรียกว่า เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม (cultural genocide)
ปฏิกิริยาจากประชาคมโลก
หลังจากเกิดเหตุความวุ่นวายในทิเบต ชาวทิเบตที่อาศัยอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ได้ออกมาเดินขบวนประท้วง โดยเป้าคือสถานทูตจีนในหลายๆประเทศ เช่น ที่ลอนดอน นิวเดลี กาฐมาณฑุ ออสเตรเลีย ชิคาโก และที่ตึกสำนักงานใหญ่ของ UN ที่นิวยอร์ค
สำหรับดาไลลามะ ได้ออกมาขอให้ยุติความรุนแรง และขอให้รัฐบาลจีนเจรจากับชาวทิเบต นอกจากนี้ ยังขอให้องค์การระหว่างประเทศและ UN เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยประกาศว่าการกระทำของจีนถือเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม
สำหรับทางตะวันตกก็ได้มีปฏิกริยา โดยทาง EU ได้มีแถลงการณ์ขอให้รัฐบาลจีนยุติความรุนแรง แต่ EU ก็ไม่กล้าไปไกลถึงขั้นคว่ำบาตรกีฬาโอลิมปิค
สำหรับประเทศที่ดูจะวุ่นวายมากที่สุด คือสหรัฐฯ ซึ่งยุทธศาสตร์ใหญ่ของสหรัฐฯ คือยุทธศาสตร์การปิดล้อมจีน ดังนั้น การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาภายในของจีน ถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การปิดล้อมและการสกัดกั้นอิทธิพลของจีน โดยสหรัฐฯเน้นการเข้าไปยุ่งกับกรณีไต้หวันละ ทิเบต เป็นพิเศษ
โดยเมื่อเกิดเหตุการณ์วันที่ 14 มีนาฯ โฆษกทำเนียบขาวได้ออกมาขอให้จีนเคารพในวัฒนธรรมของทิเบต และเสียใจที่เกิดความรุนแรง และตอกย้ำนโยบายของบุชที่ขอให้รัฐบาลจีนเจรจาหารือกับดาไลลามะ
นอกจากนั้น ทูตสหรัฐฯประจำจีน ได้พบปะกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายจีน และได้ตอกย้ำจุดยืนของสหรัฐฯที่ไม่ต้องการเห็นจีนใช้กำลัง
สำหรับประธานาธิบดีบุช ขณะนี้ยังไม่ได้ออกมากล่าวอะไร อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว บุชได้พบปะกับดาไลลามะ โดยได้เชิญดาไลลามะมารับรางวัลเกียรติยศสูงสุดของสภาคองเกรส โดยบุชได้กล่าวยกย่องดาไลลามะ และเรียกร้องให้รัฐบาลจีนเปิดการเจรจากับดาไลลามะ
ท่าทีล่าสุดของสหรัฐฯคือ การที่ Condoleezza Rice รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ออกมากล่าวขอให้จีนยุติการใช้ความรุนแรง และรู้สึกเสียใจที่การเดินขบวนอย่างสันตินำไปสู่การสูญเสียชีวิต Rice ยังเสนอให้จีนให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน และให้รัฐบาลจีนปลดปล่อยชาวทิเบตที่ถูกคุมขัง
แนวโน้ม
เราคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า วิกฤตทิเบตจะพัฒนาไปอย่างไร แต่ผมดูแล้ว รัฐบาลจีนคงจะไม่กล้าใช้ความรุนแรงมากไปกว่านี้ เพราะกลัวผลกระทบต่อกีฬาโอลิมปิค ดังนั้น จึงมีแนวโน้มที่รัฐบาลจีนจะจำยอมที่จะประนีประนอมกับดาไลลามะมากขึ้น และอาจนำไปสู่การเจรจาเพื่อให้ชาวทิเบตมีอำนาจในการปกครองตนเองมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากกีฬาโอลิมปิคผ่านไปแล้ว คือ หลังจากเดือนสิงหาคม จีนอาจปรับนโยบายใหม่และอาจหันกลับมาใช้ไม้แข็งในการปราบปรามชาวทิเบตอย่างรุนแรง กระแสกดดันจากภายนอกก็คงจะทำอะไรจีนไม่ได้ เพราะจีนเป็นประเทศใหญ่ ซึ่งไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของจีน UN ก็คงไม่สามารถจะมีบทบาทอะไรได้ ทั้งนี้เพราะ จีนเป็นสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งคงจะ veto ข้อเสนอของตะวันตกที่จะให้ UN เข้ามามีบทบาทในปัญหานี้อย่างแน่นอน