วิกฤต Eurozone (ตอนที่ 4)
ตีพิมพ์ใน ไทยโพสต์ ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน 2554
คอลัมน์กระบวนทรรศน์ตอนที่ผ่านมา ผมได้วิเคราะห์เกี่ยวกับวิกฤต Eurozone ไปแล้ว 3 ตอน ในวันนี้ จะมาวิเคราะห์ต่อ ซึ่งจะเป็นตอนที่ 4 โดยในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว คือ วันพุธที่ 26 ตุลาคม ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมสุดยอด Eurozone ที่กรุงบรัสเซล ประเทศเบลเยียม และผลการประชุม ได้มีมาตรการต่างๆออกมา ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ ของการกอบกู้วิกฤต Eurozone ผมจึงอยากจะสรุป และวิเคราะห์ผลการประชุมสุดยอด Eurozone ในครั้งนี้ ดังนี้
ผลการประชุมสุดยอด Eurozone
การประชุมสุดยอดของสมาชิก 17 ประเทศที่ใช้เงินยูโร หรือที่เราเรียกว่า Eurozone นั้น ครั้งล่าสุดประชุมกันเมื่อวันพุธที่ 26 ตุลาคม ที่ผ่านมา ในภาพรวม หลังจากการประชุมที่ยืดเยื้อ ผู้นำ Eurozone ก็ตกลงกันได้ และประกาศออกมาว่า จะมีมาตรการที่สมบูรณ์เบ็ดเสร็จ หรือ comprehensive package เพื่อที่จะกอบกู้วิกฤต Eurozone ให้ได้ โดยมีมาตรการที่ตกลงกันได้ 3 เรื่อง ดังนี้
เรื่องแรก เป็นเรื่องของการกอบกู้วิกฤตหนี้ของกรีซ โดยได้มีการเจรจาระหว่างผู้นำ Eurozone กับธนาคารต่างๆที่เป็นเจ้าหนี้ของกรีซ เพื่อยกเลิกหนี้ให้กับกรีซ ซึ่งเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม ได้มีข้อตกลงว่า จะยกเลิกหนี้ หรือที่เรียกว่ามาตรการ hair-cut 20% แต่ในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ระหว่างการเจรจา ในตอนแรก ธนาคารต่างๆจะยอมยกเลิกหนี้ให้กับกรีซเพียง 40% แต่ผู้นำฝรั่งเศสกับเยอรมนี คือ Sarkozy และ Merkel ได้เจรจาต่อรองเรื่องนี้กับธนาคารต่างๆ จนถึงกลางดึกของวันพุธที่ 26 ตุลาคม จึงสามารถบรรลุข้อตกลงที่จะยกเลิกหนี้ให้กับกรีซ 50% ได้ ซึ่งมาตรการ hair-cut ดังกล่าว จะปรับลดหนี้ของกรีซให้เหลือประมาณ 120% ของ GDP ภายในปี 2012
ส่วนเรื่องที่ 2 เป็นเรื่องของการเพิ่มเงินในกองทุนกอบกู้วิกฤตหนี้ Eurozone ซึ่งมีชื่อว่า European Financial Stability Facility (EFSF) ปัจจุบัน กองทุนนี้มีเงินอยู่ 140,000 ล้านยูโร ก่อนหน้าการประชุม มีข้อเสนอจะเพิ่มเงินเข้าไปในกองทุนนี้ ให้เพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านล้านยูโร แต่ผลการประชุมก็ออกมาว่า จะมีการเพิ่มเงินเข้าไปในกองทุนเพียง 1 ล้านล้านยูโร
วิธีการในการเพิ่มเงินใน EFSF มีอยู่ 2 วิธี วิธีแรก คือ การให้หลักประกันสำหรับพันธบัตรของประเทศที่มีหนี้ ซึ่งจะทำให้พันธบัตรเหล่านี้ มีแรงดึงดูดมากขึ้นสำหรับนักลงทุน และจะทำให้รัฐบาลของประเทศที่มีหนี้สิน มีค่าใช้จ่ายน้อยลงในการกู้ยืมเงิน
ส่วนวิธีที่ 2 คือ การจัดตั้งกองทุนลงทุนพิเศษขึ้น โดยจะมีการระดมทุนทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งรวมถึงจาก IMF และประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะจีน โดยมีความคาดหวังว่า การเพิ่มเงินให้กับ EFSF จะเป็นรูปเป็นร่างได้ ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
ส่วนเรื่องที่ 3 ที่ที่ประชุมสุดยอด Eurozone ตกลงกันได้ จากการประชุมครั้งนี้ คือ มาตรการที่จะให้ธนาคารในยุโรปเพิ่มทุนประมาณ 1 แสนล้านยูโร ภายในเดือนมิถุนายน 2012 ทั้งนี้ เพื่อที่จะช่วยป้องกันการสูญเสียที่จะเกิดขึ้น จากการผิดนัดชำระหนี้ และป้องกันไม่ให้วิกฤตลุกลามเข้าสู่อิตาลีและสเปน
บทวิเคราะห์
• ภาพรวม : ผมมองว่า การประชุมสุดยอด Eurozone ในครั้งนี้ ในภาพรวม ถือว่า
ประสบความสำเร็จ และถือเป็นความคืบหน้าครั้งสำคัญในการกอบกู้วิกฤต อย่างไรก็ตาม หากวิเคราะห์ดูอย่างละเอียดแล้ว จะเห็นว่า ผลการประชุมยังไม่สามารถให้หลักประกันได้ว่า จะสามารถกอบกู้วิกฤตได้อย่างยั่งยืนหรือไม่ ที่ขาดหายไป คือ รายละเอียดต่างๆ โดยผลการประชุมจะเน้นในเรื่องของหลักการ แต่ยังขาดรายละเอียดและมาตรการต่างๆอยู่อีกมาก
• เมื่อวิเคราะห์ในรายละเอียด จะเห็นได้ว่า ยังไม่มีความแน่นอนว่า แต่ละมาตรการ จะ
สามารถแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่ เริ่มตั้งแต่เรื่องของการกอบกู้วิกฤตหนี้ของกรีซ ก็ยังมีความไม่แน่นอนว่า ในที่สุดแล้ว ธนาคารต่างๆ จะยอมรับที่จะยกเลิกหนี้ให้กับกรีซ 50% ได้จริงหรือไม่ นอกจากนั้น ข้อตกลงการยกเลิกหนี้ให้กับกรีซ ก็มีการใช้หลักการความ “สมัครใจ” เป็นหลัก ดังนั้น จึงไม่มีความแน่นอนว่า ธนาคารต่างๆจะ “สมัครใจ” หรือไม่ ในการยกเลิกหนี้ให้กับกรีซ
• สำหรับเรื่องกองทุน EFSF นั้น ยังมีปัญหาน่าคิดว่า เงินที่เพิ่มเข้าไป 1 ล้านล้านยูโรนั้น จะ
เพียงพอหรือไม่ หากวิกฤตลุกลามบานปลายเข้าสู่อิตาลีและสเปน ซึ่งเยอรมนีและธนาคารกลางยุโรปไม่ยอมเพิ่มเงินเข้าไปในกองทุนนี้ คือ การเพิ่มเข้าไปเป็น 2 ล้านล้านยูโร ซึ่งที่ตกลงกันได้จากการประชุมสุดยอด Eurozone ครั้งนี้ จะเพิ่มเพียง 1 ล้านล้านยูโรเท่านั้น จึงไม่น่าจะเพียงพอ
ที่น่าเป็นห่วง คือ หากวิกฤตลุกลามบานปลายเข้าสู่อิตาลี ก็เป็นที่น่าสงสัยว่า EFSF จะมีเงิน
พอที่จะช่วยกอบกู้วิกฤตหนี้อิตาลีได้หรือไม่ อิตาลีนั้น เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของ Eurozone ขณะนี้ อิตาลีมีหนี้อยู่สูงถึง 2.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ดังนั้น หากอิตาลี ประสบปัญหาผิดนัดชำระหนี้ หรือล้มละลาย ก็จะส่งผลกระทบอย่างมหาศาล และอาจนำไปสู่วิกฤตการณ์การเงินโลกครั้งใหม่
• นอกจากนี้ วิกฤต Eurozone ครั้งนี้ ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของสหภาพยุโรป ที่
ยังไม่มีการบูรณาการอย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะบูรณาการทางการเงินและการบูรณาการทางการเมือง การประชุมสุดยอดในครั้งนี้ ยังไม่สามารถตกลงกันได้ ในเรื่องของการปฏิรูปโครงสร้าง และในเรื่องของการบูรณาการทางการเงิน ดังนั้น รากเหง้าของปัญหาก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข มาตรการต่างๆที่ตกลงกันได้ในการประชุมสุดยอด Eurozone ในครั้งนี้ ก็เป็นเพียงมาตรการในการแก้ไขปัญหาในระยะสั้นเท่านั้น แต่มาตรการแก้ไขปัญหาระยะยาว ก็ยังไม่มี
กล่าวโดยสรุป แม้ว่า การประชุมสุดยอด Eurozone เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ที่ผ่านมา จะถือได้ว่า
ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่มีความแน่นอนว่า มาตรการเหล่านี้ จะสามารถกอบกู้วิกฤต Eurozone ได้อย่างยั่งยืนได้หรือไม่ และ worst-case scenario ก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้น โดยวิกฤตอาจลุกลามบานปลาย เข้าสู่สเปน อิตาลี และฝรั่งเศส และอาจนำไปสู่วิกฤตการเงินโลกครั้งใหญ่ได้ด้วย
วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
การประชุมสุดยอด Eurozone
การประชุมสุดยอด Eurozone
ตีพิมพ์ใน สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ฉบับวันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม – วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน 2554
เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีการประชุมสุดยอด Eurozone เพื่อกำหนดมาตรการกอบกู้วิกฤตหนี้ของยุโรป คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ จะสรุป วิเคราะห์การประชุมดังกล่าว ดังนี้
ภูมิหลัง
วิกฤตหนี้ของยุโรป หรือที่เรียกว่า วิกฤต Eurozone นั้น หัวใจอยู่ที่กรีซ ซึ่งประสบปัญหาหนี้ครั้งใหญ่ โดยสถานการณ์ของกรีซทรุดหนักลงเรื่อยๆ จึงทำให้หลายฝ่ายมองว่า กรีซกำลังจะเข้าสู่ภาวะผิดนัดชำระหนี้ และล้มละลายในที่สุด
ในตอนแรก ก็มีกรีซ ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส ที่ประสบปัญหา แต่ต่อมาสถานการณ์ได้ลุกลามบานปลายเข้าสู่อิตาลีและสเปน และอาจลามไปถึงฝรั่งเศสด้วย โดยโอกาสของการแพร่ระบาดของวิกฤตหนี้กรีซไปสู่ประเทศอื่นๆ มีอยู่สูง โดยหากกรีซล้มละลาย ตลาดการเงินจะเกิดการตื่นตระหนก และอาจจะทำให้โปรตุเกส และไอร์แลนด์ ล้มละลายตามกรีซไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การล้มละลายของกรีซอาจจะส่งผลกระทบเป็น domino effect ต่ออิตาลี สเปน และฝรั่งเศสด้วย และอาจนำไปสู่วิกฤตธนาคารครั้งใหญ่ของยุโรป และในที่สุด อาจจะเกิดวิกฤตการเงินโลกครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 70 ปีได้
การประชุมสุดยอด Eurozone
ที่ผ่านมา กลไกที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการกอบกู้วิกฤต Eurozone คือ EU IMF และ G20 โดย EU มีบทบาทสำคัญที่สุด เพราะเป็นเรื่องในบ้านของตัวเอง แต่ EU นั้น มีสมาชิก 27 ประเทศ แต่มีเพียง 17 ประเทศที่ใช้เงินยูโร เราจึงเรียกกลุ่ม 17 ประเทศที่ใช้เงินยูโรนี้ว่า Eurozone ในอดีต ไม่เคยมีการประชุมสุดยอด Eurozone โดยจะเป็นการประชุมสุดยอดของ EU แต่หลังจากเกิดวิกฤตหนี้ของยุโรปในครั้งนี้ จึงมีการจัดประชุมสุดยอดของสมาชิก Eurozone 17 ประเทศขึ้น โดยการประชุมสุดยอดครั้งล่าสุด มีขึ้นเมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมานี้เอง
ก่อนหน้าการประชุมสุดยอด Eurozone มีการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของกลุ่ม Eurozone 17 ประเทศ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยประเด็นสำคัญของการประชุม มีอยู่ 3 เรื่อง
เรื่องแรก คือ มาตรการในการกอบกู้วิกฤตหนี้ของกรีซ ประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างมาก คือ มาตรการที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า hair cut ประเด็น คือ การจะยอมยกเลิกหนี้ให้กับกรีซจะมีสัดส่วนเท่าใด
สำหรับเรื่องที่ 2 คือ การถกเถียงกันในเรื่องของจำนวนเงิน ที่จะใส่เข้าไปในกองทุนสำหรับการกอบกู้วิกฤต Eurozone ซึ่งมีชื่อว่า European Financial Stability Facility หรือ EFSF
ส่วนเรื่องที่ 3 เป็นเรื่องของการถกเถียงกันในการเพิ่มเงินช่วยเหลือธนาคารใหญ่ๆของยุโรป ในการเพิ่มทุน เพื่อรองรับต่อผลกระทบจากการล้มละลายของกรีซ
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมรัฐมนตรีคลัง Eurozone ก็ตกลงกันได้ที่จะจ่ายเงินกู้งวด 2 ให้แก่กรีซ แต่สำหรับเรื่องอื่นๆก็ยังตกลงกันไม่ได้
ต่อมาในการประชุมสุดยอด Eurozone ในวันที่ 23 ตุลาคม ผลการประชุมก็ออกมาในทำนองเดียวกับผลการประชุมระดับรัฐมนตรี โดยในตอนเช้าของวันที่ 23 มีการประชุมสุดยอด EU 27 ประเทศก่อน และหลังจากนั้นในตอนบ่าย เป็นการประชุมของ 17 ประเทศสมาชิก Eurozone อย่างไรก็ตาม ผลการประชุม ก็ยังตกลงกันไม่ได้ในเรื่องหลักๆ ดังนั้น จึงได้มีแผนที่จะประชุมสุดยอด Eurozone อีกครั้งหนึ่ง ในวันพุธที่ 26 ตุลาคม เพื่อที่จะบรรลุข้อตกลงให้ได้ โดยประธานาธิบดีฝรั่งเศส Nicholas Sarkozy และผู้นำเยอรมนี Angela Merkel ได้กล่าวว่า ในวันที่ 23 ตุลาคม ได้มีการหารือถึงยุทธศาสตร์ต่างๆ และในวันที่ 26 ตุลาคม ก็จะบรรลุข้อตกลงสำหรับมาตรการกอบกู้วิกฤต เหตุผลประการหนึ่งที่ต้องมีการประชุมสุดยอด 2 วัน ก็เพราะทางเยอรมนี หลังจากการหารือกันในวันที่ 23 ตุลาคม จะต้องนำเรื่องมาตรการต่างๆไปขออนุมัติจากรัฐสภาเยอรมนี และหลังจากนั้น รัฐบาลเยอรมันจึงจะสามารถเจรจาบรรลุข้อตกลงในที่ประชุมสุดยอด Eurozone ในวันที่ 26 ตุลาคมได้
อย่างไรก็ตาม การประชุมสุดยอด Eurozone ในวันที่ 23 ตุลาคม ยังตกลงกันไม่ได้หลายเรื่อง
เรื่องแรก คือ มาตรการกอบกู้วิกฤตหนี้ของกรีซ ซึ่งถึงแม้จะมีการปล่อยเงินกู้งวด 2 ไปแล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอ และเรื่องที่ขัดแย้งกัน คือ มาตรการ hair cut ซึ่งในเดือนกรกฎาคม ธนาคารต่างๆได้ตกลงกันอย่างไม่เป็นทางการว่า จะยกเลิกหนี้ให้กับกรีซประมาณ 20% อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ในปัจจุบัน จึงทำให้มีข้อเสนอที่จะต้องเพิ่มสัดส่วนการยกเลิกหนี้ให้กับกรีซถึง 60% ซึ่งก็ยังเป็นที่ถกเถียงกัน และยังไม่สามารถตกลงกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนี ซึ่งมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันหลายเรื่อง
ส่วนเรื่องที่ 2 ที่ตกลงกันไม่ได้ คือ จำนวนเงินที่จะนำไปใส่ในกองทุน EFSF ซึ่งปัจจุบันมีเงินอยู่ 440,000 ล้านยูโร โดยได้มีข้อเสนอที่จะให้เพิ่มกองทุนนี้เป็น 2 ล้านล้านยูโร ซึ่งก็เป็นอีกประเด็นที่ฝรั่งเศสและเยอรมนีมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกัน
ส่วนเรื่องที่ 3 ที่ตกลงกันไม่ได้ คือ วงเงินที่จะปล่อยกู้ให้กับธนาคารใหญ่ๆของยุโรป เพื่อแก้ไขปัญหาสภาพคล่อง อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มจากการประชุมสุดยอด Eurozone เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมว่า อาจจะตกลงกันได้ว่า วงเงินจะอยู่ประมาณ 100,000 ล้านยูโร แต่ก็ยังมีเครื่องหมายคำถามว่า เงินจำนวน 100,000 ล้านยูโรจะเพียงพอหรือไม่ ที่จะรองรับผลกระทบจากวิกฤตหนี้ของกรีซต่อธนาคารต่างๆในยุโรป ซึ่งมีบางคนมองว่า อาจจะต้องใช้เงินถึง 400,000 ล้านยูโร ถึงจะเพียงพอ
ความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนี
อุปสรรคสำคัญที่สุดของแผนการกอบกู้วิกฤต Eurozone คือ ความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนี ซึ่งขัดแย้งกันหลายเรื่อง โดยฝรั่งเศสต้องการแผนการกอบกู้วิกฤตที่มีความสมบูรณ์เบ็ดเสร็จ แต่เยอรมนีไม่เห็นด้วย
สำหรับเรื่องสำคัญที่ขัดแย้งกัน คือ ความขัดแย้งกันในการเพิ่มบทบาทให้กับ EFSF และการเพิ่มเงินทุนให้กับกองทุนนี้ ฝรั่งเศสต้องการให้เพิ่มเงินเข้าไปเป็น 2 ล้านล้านยูโร แต่เยอรมนีไม่เห็นด้วย นอกจากนี้ ฝรั่งเศสต้องการให้ธนาคารกลางยุโรป หรือ European Central Bank เข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นใน EFSF แต่เยอรมนีก็ไม่เห็นด้วย
นอกจากนี้ ทั้ง 2 ประเทศยังมีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับมาตรการ hair cut ที่จะช่วยเหลือกรีซ โดยฝรั่งเศสต้องการให้ยกเลิกหนี้ให้กับกรีซ 60% แต่ทางเยอรมนีก็ไม่เห็นด้วย
ในขณะที่ผมเขียนบทความนี้ ผมยังไม่ทราบผลการประชุมสุดยอด Eurozone ครั้งที่ 2 ซึ่งมีขึ้นในวันที่ 26 ตุลาคม แต่ดูแนวโน้มแล้ว ค่อนข้างมีความเป็นไปได้ว่า ในที่สุด ฝรั่งเศสและเยอรมนี น่าจะตกลงกันได้ในเรื่องที่ขัดแย้งกัน โดยผลการประชุมในวันที่ 26 ตุลาคม น่าจะออกมาในลักษณะประนีประนอม ที่ตกลงกันที่จะมีมาตรการ hair cut ให้กับหนี้ของกรีซ ประมาณ 50% สำหรับการเพิ่มเงินในกองทุน EFSF นั้น ก็น่าจะตกลงกันได้ ที่จะให้เพิ่มขึ้นจาก 440,000 ล้านยูโร เป็นประมาณ 1-2 ล้านล้านยูโร และมาตรการสุดท้าย ที่น่าจะตกลงกันได้ คือ การกำหนดวงเงินปล่อยกู้ให้กับธนาคารในยุโรป ประมาณ 100,000 ล้านยูโร
ดังนั้น หากผลการประชุมออกมาในลักษณะนี้ วิกฤต Eurozone ก็น่าจะไม่ลุกลามบานปลาย และจะไม่กระทบต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจโลกมากนัก แต่หากผลการประชุมในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ ประสบความล้มเหลว ก็อาจจะทำให้ระบบเศรษฐกิจโลกเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่สุดในรอบ 70 ปี ก็เป็นไปได้
ตีพิมพ์ใน สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ฉบับวันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม – วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน 2554
เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีการประชุมสุดยอด Eurozone เพื่อกำหนดมาตรการกอบกู้วิกฤตหนี้ของยุโรป คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ จะสรุป วิเคราะห์การประชุมดังกล่าว ดังนี้
ภูมิหลัง
วิกฤตหนี้ของยุโรป หรือที่เรียกว่า วิกฤต Eurozone นั้น หัวใจอยู่ที่กรีซ ซึ่งประสบปัญหาหนี้ครั้งใหญ่ โดยสถานการณ์ของกรีซทรุดหนักลงเรื่อยๆ จึงทำให้หลายฝ่ายมองว่า กรีซกำลังจะเข้าสู่ภาวะผิดนัดชำระหนี้ และล้มละลายในที่สุด
ในตอนแรก ก็มีกรีซ ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส ที่ประสบปัญหา แต่ต่อมาสถานการณ์ได้ลุกลามบานปลายเข้าสู่อิตาลีและสเปน และอาจลามไปถึงฝรั่งเศสด้วย โดยโอกาสของการแพร่ระบาดของวิกฤตหนี้กรีซไปสู่ประเทศอื่นๆ มีอยู่สูง โดยหากกรีซล้มละลาย ตลาดการเงินจะเกิดการตื่นตระหนก และอาจจะทำให้โปรตุเกส และไอร์แลนด์ ล้มละลายตามกรีซไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การล้มละลายของกรีซอาจจะส่งผลกระทบเป็น domino effect ต่ออิตาลี สเปน และฝรั่งเศสด้วย และอาจนำไปสู่วิกฤตธนาคารครั้งใหญ่ของยุโรป และในที่สุด อาจจะเกิดวิกฤตการเงินโลกครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 70 ปีได้
การประชุมสุดยอด Eurozone
ที่ผ่านมา กลไกที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการกอบกู้วิกฤต Eurozone คือ EU IMF และ G20 โดย EU มีบทบาทสำคัญที่สุด เพราะเป็นเรื่องในบ้านของตัวเอง แต่ EU นั้น มีสมาชิก 27 ประเทศ แต่มีเพียง 17 ประเทศที่ใช้เงินยูโร เราจึงเรียกกลุ่ม 17 ประเทศที่ใช้เงินยูโรนี้ว่า Eurozone ในอดีต ไม่เคยมีการประชุมสุดยอด Eurozone โดยจะเป็นการประชุมสุดยอดของ EU แต่หลังจากเกิดวิกฤตหนี้ของยุโรปในครั้งนี้ จึงมีการจัดประชุมสุดยอดของสมาชิก Eurozone 17 ประเทศขึ้น โดยการประชุมสุดยอดครั้งล่าสุด มีขึ้นเมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมานี้เอง
ก่อนหน้าการประชุมสุดยอด Eurozone มีการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของกลุ่ม Eurozone 17 ประเทศ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยประเด็นสำคัญของการประชุม มีอยู่ 3 เรื่อง
เรื่องแรก คือ มาตรการในการกอบกู้วิกฤตหนี้ของกรีซ ประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างมาก คือ มาตรการที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า hair cut ประเด็น คือ การจะยอมยกเลิกหนี้ให้กับกรีซจะมีสัดส่วนเท่าใด
สำหรับเรื่องที่ 2 คือ การถกเถียงกันในเรื่องของจำนวนเงิน ที่จะใส่เข้าไปในกองทุนสำหรับการกอบกู้วิกฤต Eurozone ซึ่งมีชื่อว่า European Financial Stability Facility หรือ EFSF
ส่วนเรื่องที่ 3 เป็นเรื่องของการถกเถียงกันในการเพิ่มเงินช่วยเหลือธนาคารใหญ่ๆของยุโรป ในการเพิ่มทุน เพื่อรองรับต่อผลกระทบจากการล้มละลายของกรีซ
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมรัฐมนตรีคลัง Eurozone ก็ตกลงกันได้ที่จะจ่ายเงินกู้งวด 2 ให้แก่กรีซ แต่สำหรับเรื่องอื่นๆก็ยังตกลงกันไม่ได้
ต่อมาในการประชุมสุดยอด Eurozone ในวันที่ 23 ตุลาคม ผลการประชุมก็ออกมาในทำนองเดียวกับผลการประชุมระดับรัฐมนตรี โดยในตอนเช้าของวันที่ 23 มีการประชุมสุดยอด EU 27 ประเทศก่อน และหลังจากนั้นในตอนบ่าย เป็นการประชุมของ 17 ประเทศสมาชิก Eurozone อย่างไรก็ตาม ผลการประชุม ก็ยังตกลงกันไม่ได้ในเรื่องหลักๆ ดังนั้น จึงได้มีแผนที่จะประชุมสุดยอด Eurozone อีกครั้งหนึ่ง ในวันพุธที่ 26 ตุลาคม เพื่อที่จะบรรลุข้อตกลงให้ได้ โดยประธานาธิบดีฝรั่งเศส Nicholas Sarkozy และผู้นำเยอรมนี Angela Merkel ได้กล่าวว่า ในวันที่ 23 ตุลาคม ได้มีการหารือถึงยุทธศาสตร์ต่างๆ และในวันที่ 26 ตุลาคม ก็จะบรรลุข้อตกลงสำหรับมาตรการกอบกู้วิกฤต เหตุผลประการหนึ่งที่ต้องมีการประชุมสุดยอด 2 วัน ก็เพราะทางเยอรมนี หลังจากการหารือกันในวันที่ 23 ตุลาคม จะต้องนำเรื่องมาตรการต่างๆไปขออนุมัติจากรัฐสภาเยอรมนี และหลังจากนั้น รัฐบาลเยอรมันจึงจะสามารถเจรจาบรรลุข้อตกลงในที่ประชุมสุดยอด Eurozone ในวันที่ 26 ตุลาคมได้
อย่างไรก็ตาม การประชุมสุดยอด Eurozone ในวันที่ 23 ตุลาคม ยังตกลงกันไม่ได้หลายเรื่อง
เรื่องแรก คือ มาตรการกอบกู้วิกฤตหนี้ของกรีซ ซึ่งถึงแม้จะมีการปล่อยเงินกู้งวด 2 ไปแล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอ และเรื่องที่ขัดแย้งกัน คือ มาตรการ hair cut ซึ่งในเดือนกรกฎาคม ธนาคารต่างๆได้ตกลงกันอย่างไม่เป็นทางการว่า จะยกเลิกหนี้ให้กับกรีซประมาณ 20% อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ในปัจจุบัน จึงทำให้มีข้อเสนอที่จะต้องเพิ่มสัดส่วนการยกเลิกหนี้ให้กับกรีซถึง 60% ซึ่งก็ยังเป็นที่ถกเถียงกัน และยังไม่สามารถตกลงกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนี ซึ่งมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันหลายเรื่อง
ส่วนเรื่องที่ 2 ที่ตกลงกันไม่ได้ คือ จำนวนเงินที่จะนำไปใส่ในกองทุน EFSF ซึ่งปัจจุบันมีเงินอยู่ 440,000 ล้านยูโร โดยได้มีข้อเสนอที่จะให้เพิ่มกองทุนนี้เป็น 2 ล้านล้านยูโร ซึ่งก็เป็นอีกประเด็นที่ฝรั่งเศสและเยอรมนีมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกัน
ส่วนเรื่องที่ 3 ที่ตกลงกันไม่ได้ คือ วงเงินที่จะปล่อยกู้ให้กับธนาคารใหญ่ๆของยุโรป เพื่อแก้ไขปัญหาสภาพคล่อง อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มจากการประชุมสุดยอด Eurozone เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมว่า อาจจะตกลงกันได้ว่า วงเงินจะอยู่ประมาณ 100,000 ล้านยูโร แต่ก็ยังมีเครื่องหมายคำถามว่า เงินจำนวน 100,000 ล้านยูโรจะเพียงพอหรือไม่ ที่จะรองรับผลกระทบจากวิกฤตหนี้ของกรีซต่อธนาคารต่างๆในยุโรป ซึ่งมีบางคนมองว่า อาจจะต้องใช้เงินถึง 400,000 ล้านยูโร ถึงจะเพียงพอ
ความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนี
อุปสรรคสำคัญที่สุดของแผนการกอบกู้วิกฤต Eurozone คือ ความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนี ซึ่งขัดแย้งกันหลายเรื่อง โดยฝรั่งเศสต้องการแผนการกอบกู้วิกฤตที่มีความสมบูรณ์เบ็ดเสร็จ แต่เยอรมนีไม่เห็นด้วย
สำหรับเรื่องสำคัญที่ขัดแย้งกัน คือ ความขัดแย้งกันในการเพิ่มบทบาทให้กับ EFSF และการเพิ่มเงินทุนให้กับกองทุนนี้ ฝรั่งเศสต้องการให้เพิ่มเงินเข้าไปเป็น 2 ล้านล้านยูโร แต่เยอรมนีไม่เห็นด้วย นอกจากนี้ ฝรั่งเศสต้องการให้ธนาคารกลางยุโรป หรือ European Central Bank เข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นใน EFSF แต่เยอรมนีก็ไม่เห็นด้วย
นอกจากนี้ ทั้ง 2 ประเทศยังมีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับมาตรการ hair cut ที่จะช่วยเหลือกรีซ โดยฝรั่งเศสต้องการให้ยกเลิกหนี้ให้กับกรีซ 60% แต่ทางเยอรมนีก็ไม่เห็นด้วย
ในขณะที่ผมเขียนบทความนี้ ผมยังไม่ทราบผลการประชุมสุดยอด Eurozone ครั้งที่ 2 ซึ่งมีขึ้นในวันที่ 26 ตุลาคม แต่ดูแนวโน้มแล้ว ค่อนข้างมีความเป็นไปได้ว่า ในที่สุด ฝรั่งเศสและเยอรมนี น่าจะตกลงกันได้ในเรื่องที่ขัดแย้งกัน โดยผลการประชุมในวันที่ 26 ตุลาคม น่าจะออกมาในลักษณะประนีประนอม ที่ตกลงกันที่จะมีมาตรการ hair cut ให้กับหนี้ของกรีซ ประมาณ 50% สำหรับการเพิ่มเงินในกองทุน EFSF นั้น ก็น่าจะตกลงกันได้ ที่จะให้เพิ่มขึ้นจาก 440,000 ล้านยูโร เป็นประมาณ 1-2 ล้านล้านยูโร และมาตรการสุดท้าย ที่น่าจะตกลงกันได้ คือ การกำหนดวงเงินปล่อยกู้ให้กับธนาคารในยุโรป ประมาณ 100,000 ล้านยูโร
ดังนั้น หากผลการประชุมออกมาในลักษณะนี้ วิกฤต Eurozone ก็น่าจะไม่ลุกลามบานปลาย และจะไม่กระทบต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจโลกมากนัก แต่หากผลการประชุมในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ ประสบความล้มเหลว ก็อาจจะทำให้ระบบเศรษฐกิจโลกเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่สุดในรอบ 70 ปี ก็เป็นไปได้
วิกฤต Eurozone (ตอนที่ 3)
วิกฤต Eurozone (ตอนที่ 3)
ตีพิมพ์ใน ไทยโพสต์ ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม 2554
คอลัมน์กระบวนทรรศน์ 2 ตอนที่แล้ว ผมได้วิเคราะห์วิกฤต Eurozone ไปบ้างแล้ว ในวันนี้ จะมาวิเคราะห์ต่อ ถึงพัฒนาการของวิกฤต และแผนการกอบกู้วิกฤตล่าสุด รวมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบต่อไทย ดังนี้
วิกฤต Eurozone
วิกฤตหนี้ของยุโรป โดยเฉพาะในประเทศที่ใช้เงินยูโร ที่เรียกว่า Eurozone นั้น เป็นปัญหาเข้าขั้นวิกฤต และมีแนวโน้มจะทรุดหนักลงเรื่อยๆ โดยในตอนแรก รัฐบาลที่ประสบปัญหาหนี้สิน ได้แก่ กรีซไอร์แลนด์ และโปรตุเกส แต่ที่หนักที่สุด คือ กรีซ ซึ่งประสบปัญหาหนี้ครั้งใหญ่ จนอาจถึงขั้นล้มละลาย แม้ว่า EU และ IMF จะปล่อยเงินกู้เป็นเงินกว่า 150,000 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นเงินกู้งวดแรกให้กรีซไปแล้ว แต่สถานการณ์กลับทรุดหนักลง ทำให้หลายฝ่ายกลัวว่า กรีซกำลังจะเข้าสู่ภาวะผิดนัดชำระหนี้ และล้มละลายในที่สุด ต่อมา สถานการณ์ได้ลุกลามบานปลายเข้าสู่อิตาลีและสเปน และอาจรวมถึงฝรั่งเศสด้วย โดยทั้ง 3 ประเทศกำลังประสบภาวะวิกฤตหนี้เช่นเดียวกัน แม้ว่าธนาคารกลางยุโรปจะได้ประกาศซื้อพันธบัตรของรัฐบาลอิตาลีและสเปนแล้ว แต่สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น
ต่อมา เมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ความวิตกกังวลว่า กรีซจะล้มละลายก็ผ่อนคลายไปได้ระดับหนึ่ง ทั้งนี้ เพราะหลังจากตัวแทนของ IMF EU และธนาคารกลางยุโรป ที่เรียกว่า Troika ได้ออกมาประกาศว่า จะมีการปล่อยเงินกู้งวดที่ 2 ให้กรีซ ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน
แถลงการณ์ดังกล่าว ทำให้ตลาดการเงินผ่อนคลายความกังวลไปได้ระดับหนึ่งว่า กรีซจะล้มละลาย หลังจากที่สถานการณ์อึมครึมมาหลายสัปดาห์ โดยเฉพาะที่มีข่าวออกมาว่า รัฐมนตรีคลังของ EU จะเลื่อนการตัดสินใจในการอนุมัติเงินกู้งวด 2 ให้กับกรีซ สำหรับเงินกู้งวด 2 นี้สำคัญมากสำหรับกรีซ เพราะหากไม่ได้รับเงินช่วยเหลือดังกล่าว ก็จะผิดนัดชำระหนี้อย่างแน่นอน
บทบาทของ G20
และเมื่อวันที่ 14-15 ตุลาคม ที่ผ่านมา ได้มีความคืบหน้าล่าสุดในการกอบกู้วิกฤต Eurozone โดยมีการประชุมรัฐมนตรีคลังของกลุ่ม G20 ที่กรุงปารีส ในแถลงการณ์ผลการประชุม มีสาระสำคัญของมาตรการกอบกู้วิกฤต Eurozone ดังนี้
• ที่ประชุมได้ประกาศว่า มีความคืบหน้าในเรื่องมาตรการกอบกู้วิกฤต หลังจากได้มีการหารือกันเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน ที่กรุงวอชิงตัน ดี ซี ในระหว่างการประชุมประจำปีของ IMF
• ที่ประชุมแสดงความยินดีที่ประเทศสมาชิก Eurozone ได้มีฉันทามติร่วมกันที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของกองทุน European Financial Stability Facility (EFSF) ซึ่งในปัจจุบันมีเงินอยู่ในกองทุนประมาณ 440,000 ล้านยูโร โดยจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านล้านยูโร ที่ประชุมคาดหวังว่า EFSF จะสามารถป้องกันไม่ให้วิกฤตลุกลามบานปลายออกไป
• ที่ประชุมคาดว่า European Council ซึ่งจะประชุมกันในวันที่ 23 ตุลาคมนี้ จะสามารถตกลงกันถึงแผนการกอบกู้วิกฤตที่มีความสมบูรณ์เบ็ดเสร็จ
• ที่ประชุมรัฐมนตรีคลัง G20 ในครั้งนี้ เป็นการประชุมเตรียมการและจัดทำแผนกอบกู้วิกฤต Eurozone เพื่อเสนอต่อที่ประชุมสุดยอด G20 ที่เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้
• ที่ประชุมจะทำทุกวิถีทาง ที่จะรักษาเสถียรภาพของระบบธนาคารและตลาดการเงิน และจะทำให้ธนาคารต่างๆมีเงินทุนพอที่จะทำธุรกรรมต่อไปได้
• G20 จะดำเนินมาตรการที่จะทำให้ระบบการเงินโลกมีเสถียรภาพ จัดการกับการไหลเวียนของเงินทุน พัฒนาตลาดพันธบัตร และปรับปรุงบทบาทของ IMF โดยเพิ่มความร่วมมือระหว่าง IMF กับกลไกการเงินในระดับภูมิภาค และให้ IMF หาวิถีทางใหม่ๆเพื่อช่วยเหลือประเทศที่เผชิญกับปัญหาสภาพคล่อง และจะทำให้ IMF มีทรัพยากรหรือเงินทุนเพียงพอ รวมทั้งจะมีการปฏิรูปการบริหารจัดการของ IMF ด้วย
กล่าวโดยสรุป แผนการกอบกู้วิกฤต Eurozone ของ G20 ที่กรุงปารีสนั้น มี 3 มาตรการ
หลัก มาตรการแรก ได้แก่ การยกเลิกหนี้ของกรีซ ซึ่งประมาณการว่า จะยกเลิกหนี้ประมาณ 50% หรือมากกว่านั้น มาตรการที่ 2 คือ การเพิ่มเงินให้กับ EFSF และมาตรการที่ 3 คือ การระดมเงินทุนให้แก่ธนาคารที่ประสบปัญหาการขาดสภาพคล่อง
ภายหลังการประชุม G20 รัฐมนตรีคลังของฝรั่งเศส Francois Baroin ได้ออกมากล่าวว่า การ
ประชุมสุดยอดของ EU ในช่วยปลายเดือนตุลาคมนี้ ที่กรุงบรัสเซลส์ จะตกลงกันถึงมาตรการที่จะกอบกู้วิกฤต Eurozone
และผู้อำนวยการ IMF Christine Lagarde ได้กล่าวว่า ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์ได้ทรุดหนักลง แทนที่จะดีขึ้น
ส่วนรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ Timothy Geithner กล่าวว่า สหรัฐฯต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนการกอบกู้วิกฤต Eurozone ของเยอรมนีและฝรั่งเศส ที่ถือว่าเป็นผู้นำของ EU
ดังนั้น สิ่งที่จะต้องจับตาดูกันต่อ ก็คือ การประชุมสุดยอด EU ในช่วงปลายเดือนนี้ และการประชุมสุดยอด G20 ที่ฝรั่งเศส ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนว่า จะมีมาตรการอะไรออกมาบ้าง
ผลกระทบต่อไทย
แต่ปัญหาที่สำคัญสำหรับคนไทย ก็คือ วิกฤต Eurozone ในครั้งนี้ จะกระทบต่อไทยมากน้อยเพียงใด ผมมองว่า มีความเป็นไปได้ หรือ scenario อยู่ 2 ทางด้วยกัน scenario แรก คือ วิกฤต Eurozone จะไม่ลุกลามบานปลาย และไม่กระทบต่อไทยมากนัก ส่วน scenario ที่ 2 วิกฤตอาจลุกลามบานปลาย จนทำให้ยุโรปประสบภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ ซึ่งจะกระทบต่อไทยอย่างรุนแรง
• scenario ที่ 1
scenario นี้ มองว่า แม้ว่ากรีซจะผิดนัดชำระหนี้ แต่จะไม่ส่งผลกระทบมากนัก โดยจะมีการ
ยกเลิกหนี้ให้กับกรีซ 50% ซึ่งเรียกว่า มาตรการ hair cut ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อไทยไม่มากนัก และหาก EU IMF และ G20 สามารถผลักดันมาตรการต่างๆออกมาได้สำเร็จ ก็จะช่วยไม่ให้วิกฤตลุกลามบานปลาย ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบของวิกฤตที่จะมีต่อไทย
• scenario ที่ 2
อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้อีกทาง โดยวิกฤต Eurozone อาจลุกลามบานปลาย จนอาจ
นำไปสู่วิกฤตการเงินโลกครั้งใหญ่ การล้มละลายของกรีซอาจแพร่ระบาดไปสู่ประเทศอื่น โดยเฉพาะโปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี สเปน และฝรั่งเศส ดังนั้น หากเกิดภาวะ domino effect อาจนำไปสู่วิกฤตการเงินโลกครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 70 ปี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อไทยอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว
Eurozone เป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย ดังนั้น หากวิกฤตลุกลามบานปลาย จะกระทบต่อการส่งออกของไทย โดยเฉพาะในปีหน้า เศรษฐกิจไทยมีความเปราะบางมาก เพราะต้องพึ่งพาการส่งออกซึ่งคิดเป็น 70% ของ GDP ไทย
สำหรับผลกระทบในด้านการลงทุนนั้น ยุโรปเป็นประเทศที่มาลงทุนเป็นอันดับต้นๆของไทย แต่หากวิกฤต Eurozone ลุกลามบานปลาย ยุโรปก็คงจะลดการลงทุนไนไทยลง รวมทั้งในตลาดหุ้น และตลาดการเงินด้วย
ตีพิมพ์ใน ไทยโพสต์ ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม 2554
คอลัมน์กระบวนทรรศน์ 2 ตอนที่แล้ว ผมได้วิเคราะห์วิกฤต Eurozone ไปบ้างแล้ว ในวันนี้ จะมาวิเคราะห์ต่อ ถึงพัฒนาการของวิกฤต และแผนการกอบกู้วิกฤตล่าสุด รวมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบต่อไทย ดังนี้
วิกฤต Eurozone
วิกฤตหนี้ของยุโรป โดยเฉพาะในประเทศที่ใช้เงินยูโร ที่เรียกว่า Eurozone นั้น เป็นปัญหาเข้าขั้นวิกฤต และมีแนวโน้มจะทรุดหนักลงเรื่อยๆ โดยในตอนแรก รัฐบาลที่ประสบปัญหาหนี้สิน ได้แก่ กรีซไอร์แลนด์ และโปรตุเกส แต่ที่หนักที่สุด คือ กรีซ ซึ่งประสบปัญหาหนี้ครั้งใหญ่ จนอาจถึงขั้นล้มละลาย แม้ว่า EU และ IMF จะปล่อยเงินกู้เป็นเงินกว่า 150,000 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นเงินกู้งวดแรกให้กรีซไปแล้ว แต่สถานการณ์กลับทรุดหนักลง ทำให้หลายฝ่ายกลัวว่า กรีซกำลังจะเข้าสู่ภาวะผิดนัดชำระหนี้ และล้มละลายในที่สุด ต่อมา สถานการณ์ได้ลุกลามบานปลายเข้าสู่อิตาลีและสเปน และอาจรวมถึงฝรั่งเศสด้วย โดยทั้ง 3 ประเทศกำลังประสบภาวะวิกฤตหนี้เช่นเดียวกัน แม้ว่าธนาคารกลางยุโรปจะได้ประกาศซื้อพันธบัตรของรัฐบาลอิตาลีและสเปนแล้ว แต่สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น
ต่อมา เมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ความวิตกกังวลว่า กรีซจะล้มละลายก็ผ่อนคลายไปได้ระดับหนึ่ง ทั้งนี้ เพราะหลังจากตัวแทนของ IMF EU และธนาคารกลางยุโรป ที่เรียกว่า Troika ได้ออกมาประกาศว่า จะมีการปล่อยเงินกู้งวดที่ 2 ให้กรีซ ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน
แถลงการณ์ดังกล่าว ทำให้ตลาดการเงินผ่อนคลายความกังวลไปได้ระดับหนึ่งว่า กรีซจะล้มละลาย หลังจากที่สถานการณ์อึมครึมมาหลายสัปดาห์ โดยเฉพาะที่มีข่าวออกมาว่า รัฐมนตรีคลังของ EU จะเลื่อนการตัดสินใจในการอนุมัติเงินกู้งวด 2 ให้กับกรีซ สำหรับเงินกู้งวด 2 นี้สำคัญมากสำหรับกรีซ เพราะหากไม่ได้รับเงินช่วยเหลือดังกล่าว ก็จะผิดนัดชำระหนี้อย่างแน่นอน
บทบาทของ G20
และเมื่อวันที่ 14-15 ตุลาคม ที่ผ่านมา ได้มีความคืบหน้าล่าสุดในการกอบกู้วิกฤต Eurozone โดยมีการประชุมรัฐมนตรีคลังของกลุ่ม G20 ที่กรุงปารีส ในแถลงการณ์ผลการประชุม มีสาระสำคัญของมาตรการกอบกู้วิกฤต Eurozone ดังนี้
• ที่ประชุมได้ประกาศว่า มีความคืบหน้าในเรื่องมาตรการกอบกู้วิกฤต หลังจากได้มีการหารือกันเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน ที่กรุงวอชิงตัน ดี ซี ในระหว่างการประชุมประจำปีของ IMF
• ที่ประชุมแสดงความยินดีที่ประเทศสมาชิก Eurozone ได้มีฉันทามติร่วมกันที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของกองทุน European Financial Stability Facility (EFSF) ซึ่งในปัจจุบันมีเงินอยู่ในกองทุนประมาณ 440,000 ล้านยูโร โดยจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านล้านยูโร ที่ประชุมคาดหวังว่า EFSF จะสามารถป้องกันไม่ให้วิกฤตลุกลามบานปลายออกไป
• ที่ประชุมคาดว่า European Council ซึ่งจะประชุมกันในวันที่ 23 ตุลาคมนี้ จะสามารถตกลงกันถึงแผนการกอบกู้วิกฤตที่มีความสมบูรณ์เบ็ดเสร็จ
• ที่ประชุมรัฐมนตรีคลัง G20 ในครั้งนี้ เป็นการประชุมเตรียมการและจัดทำแผนกอบกู้วิกฤต Eurozone เพื่อเสนอต่อที่ประชุมสุดยอด G20 ที่เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้
• ที่ประชุมจะทำทุกวิถีทาง ที่จะรักษาเสถียรภาพของระบบธนาคารและตลาดการเงิน และจะทำให้ธนาคารต่างๆมีเงินทุนพอที่จะทำธุรกรรมต่อไปได้
• G20 จะดำเนินมาตรการที่จะทำให้ระบบการเงินโลกมีเสถียรภาพ จัดการกับการไหลเวียนของเงินทุน พัฒนาตลาดพันธบัตร และปรับปรุงบทบาทของ IMF โดยเพิ่มความร่วมมือระหว่าง IMF กับกลไกการเงินในระดับภูมิภาค และให้ IMF หาวิถีทางใหม่ๆเพื่อช่วยเหลือประเทศที่เผชิญกับปัญหาสภาพคล่อง และจะทำให้ IMF มีทรัพยากรหรือเงินทุนเพียงพอ รวมทั้งจะมีการปฏิรูปการบริหารจัดการของ IMF ด้วย
กล่าวโดยสรุป แผนการกอบกู้วิกฤต Eurozone ของ G20 ที่กรุงปารีสนั้น มี 3 มาตรการ
หลัก มาตรการแรก ได้แก่ การยกเลิกหนี้ของกรีซ ซึ่งประมาณการว่า จะยกเลิกหนี้ประมาณ 50% หรือมากกว่านั้น มาตรการที่ 2 คือ การเพิ่มเงินให้กับ EFSF และมาตรการที่ 3 คือ การระดมเงินทุนให้แก่ธนาคารที่ประสบปัญหาการขาดสภาพคล่อง
ภายหลังการประชุม G20 รัฐมนตรีคลังของฝรั่งเศส Francois Baroin ได้ออกมากล่าวว่า การ
ประชุมสุดยอดของ EU ในช่วยปลายเดือนตุลาคมนี้ ที่กรุงบรัสเซลส์ จะตกลงกันถึงมาตรการที่จะกอบกู้วิกฤต Eurozone
และผู้อำนวยการ IMF Christine Lagarde ได้กล่าวว่า ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์ได้ทรุดหนักลง แทนที่จะดีขึ้น
ส่วนรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ Timothy Geithner กล่าวว่า สหรัฐฯต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนการกอบกู้วิกฤต Eurozone ของเยอรมนีและฝรั่งเศส ที่ถือว่าเป็นผู้นำของ EU
ดังนั้น สิ่งที่จะต้องจับตาดูกันต่อ ก็คือ การประชุมสุดยอด EU ในช่วงปลายเดือนนี้ และการประชุมสุดยอด G20 ที่ฝรั่งเศส ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนว่า จะมีมาตรการอะไรออกมาบ้าง
ผลกระทบต่อไทย
แต่ปัญหาที่สำคัญสำหรับคนไทย ก็คือ วิกฤต Eurozone ในครั้งนี้ จะกระทบต่อไทยมากน้อยเพียงใด ผมมองว่า มีความเป็นไปได้ หรือ scenario อยู่ 2 ทางด้วยกัน scenario แรก คือ วิกฤต Eurozone จะไม่ลุกลามบานปลาย และไม่กระทบต่อไทยมากนัก ส่วน scenario ที่ 2 วิกฤตอาจลุกลามบานปลาย จนทำให้ยุโรปประสบภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ ซึ่งจะกระทบต่อไทยอย่างรุนแรง
• scenario ที่ 1
scenario นี้ มองว่า แม้ว่ากรีซจะผิดนัดชำระหนี้ แต่จะไม่ส่งผลกระทบมากนัก โดยจะมีการ
ยกเลิกหนี้ให้กับกรีซ 50% ซึ่งเรียกว่า มาตรการ hair cut ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อไทยไม่มากนัก และหาก EU IMF และ G20 สามารถผลักดันมาตรการต่างๆออกมาได้สำเร็จ ก็จะช่วยไม่ให้วิกฤตลุกลามบานปลาย ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบของวิกฤตที่จะมีต่อไทย
• scenario ที่ 2
อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้อีกทาง โดยวิกฤต Eurozone อาจลุกลามบานปลาย จนอาจ
นำไปสู่วิกฤตการเงินโลกครั้งใหญ่ การล้มละลายของกรีซอาจแพร่ระบาดไปสู่ประเทศอื่น โดยเฉพาะโปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี สเปน และฝรั่งเศส ดังนั้น หากเกิดภาวะ domino effect อาจนำไปสู่วิกฤตการเงินโลกครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 70 ปี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อไทยอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว
Eurozone เป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย ดังนั้น หากวิกฤตลุกลามบานปลาย จะกระทบต่อการส่งออกของไทย โดยเฉพาะในปีหน้า เศรษฐกิจไทยมีความเปราะบางมาก เพราะต้องพึ่งพาการส่งออกซึ่งคิดเป็น 70% ของ GDP ไทย
สำหรับผลกระทบในด้านการลงทุนนั้น ยุโรปเป็นประเทศที่มาลงทุนเป็นอันดับต้นๆของไทย แต่หากวิกฤต Eurozone ลุกลามบานปลาย ยุโรปก็คงจะลดการลงทุนไนไทยลง รวมทั้งในตลาดหุ้น และตลาดการเงินด้วย
ความขัดแย้งสหรัฐฯ-อิหร่าน ปี 2011
ความขัดแย้งสหรัฐฯ-อิหร่าน ปี 2011
ตีพิมพ์ใน สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ฉบับวันศุกร์ที่ 7 – วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2554
เมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ได้มีประเด็นร้อนเกิดขึ้นระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่าน โดยรัฐบาลสหรัฐฯได้เปิดเผยแผนของอิหร่านในการสังหารทูตซาอุดีอาระเบียประจำสหรัฐฯ ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ ตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ จะวิเคราะห์เรื่องดังกล่าว ดังนี้
แผนลอบสังหาร
เมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว อัยการสูงสุดของสหรัฐฯ Eric Holder และผู้อำนวยการ FBI Robert Mueller ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงแผนการลอบสังหารทูตซาอุดีอาระเบียประจำสหรัฐฯ รวมทั้งแผนการก่อวินาศกรรมระเบิดสถานทูตซาอุดีอาระเบียและอิสราเอลในกรุงวอชิงตัน ดี ซี โดยแผนดังกล่าวมีชาวอิหร่านที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯร่วมกับแก๊งยาเสพติดจากเม็กซิโก เป็นผู้ลงมือ
ซึ่งจากข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯระบุว่า แผนดังกล่าว ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง คือ องค์กร Quds Force ของรัฐบาลอิหร่าน ซึ่งเป็นองค์กรที่สหรัฐฯกล่าวหาว่า ให้ความช่วยเหลือ Taliban ในอัฟกานิสถาน และโจมตีทหารสหรัฐฯในอิรัก Holder ได้กล่าวว่า แผนดังกล่าวได้รับการวางแผน สนับสนุน และบงการมาจากอิหร่าน แต่ก็ยังไม่ได้กล่าวหาว่า ผู้นำอิหร่านเกี่ยวข้องด้วย
แต่ต่อมา ประธานาธิบดี Obama ได้กล่าวเสริมว่า ยังไม่แน่ใจว่าผู้นำอิหร่านเกี่ยวข้องในเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน แต่ Obama ย้ำว่า ผู้นำอิหร่านจะต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้
ชาวอิหร่านที่ถูกจับและกล่าวหาในแผนลอบสังหารนี้ ชื่อ Manssor Arbabsiar โดย Arbabsiar ได้ติดต่อแก๊งค้ายาเสพติดของเม็กซิโก และได้โอนเงินให้ 1.5 ล้านเหรียญ เพื่อให้สังหารทูตซาอุดีอาระเบียในกรุงวอชิงตัน ดี ซี
เรื่องจริง หรือ นิยาย?
แผนการลอบสังหารในครั้งนี้ ขณะนี้ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า รัฐบาลอิหร่านเกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใด แต่ก็มีหลายประเด็นที่ทำให้เกิดความข้องใจว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเป็นนิยายกันแน่ นี่ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่อิหร่านถูกกล่าวหาในสิ่งที่อิหร่านไม่ได้ทำ และนี่ก็ไม่ได้เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลสหรัฐฯกล่าวหาประเทศอื่น แต่ในที่สุดก็ไม่จริง ตัวอย่างคือ กรณีของ Saddam Hussein ที่รัฐบาล Bush กล่าวหาว่า พัฒนาอาวุธร้ายแรง และเป็นเหตุผลที่สหรัฐฯบุกยึดอิรักในปี 2003 แต่หลังจากยึดอิรักได้แล้ว ก็ไม่พบอาวุธร้ายแรงแต่ประการใด
ปัจจัยสำคัญที่น่าจะนำมาวิเคราะห์ มีดังนี้
• อิหร่านไม่ได้อะไรจากการลอบสังหารในครั้งนี้
ตั้งแต่การปฏิวัติอิสลาม ปี 1979 สิ่งที่สำคัญที่สุดต่อรัฐบาลอิหร่าน คือ ความอยู่รอด และ
ยุทธศาสตร์ความอยู่รอดของอิหร่าน ก็คือ การหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับสหรัฐฯ สิ่งที่อิหร่านกลัวมากที่สุด คือ การโจมตีจากสหรัฐฯ ดังนั้น หากการก่อวินาศกรรมสำเร็จ คือ การสังหารทูตซาอุดีอาระเบียด้วยการระเบิด ซึ่งอาจจะทำให้มีคนตายนับร้อย และหากการก่อวินาศกรรมดังกล่าวมีหลักฐานว่าเป็นฝีมือของรัฐบาลอิหร่าน ก็แน่นอนว่า สหรัฐฯจะตอบโต้อย่างรุนแรง ด้วยการโจมตีทางทหารต่ออิหร่าน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่รัฐบาลอิหร่านจะยอมทำเรื่องที่เสี่ยงเช่นนี้ โดยที่ผลที่จะได้รับก็แทบไม่มีอะไรเลย การสังหารทูตซาอุดีอาระเบียกับความเสี่ยงที่จะเปิดฉากสงครามกับสหรัฐฯ ดูไม่น่าจะคุ้มค่ากันเลย
• Arbabsiar และแก๊งค้ายาเสพติดเม็กซิกัน
อีกเรื่องที่แปลกมาก คือ การที่องค์กร Quds Force ซึ่งในอดีต จะใช้สมาชิกมืออาชีพ หรือ
ไม่ก็ใช้สมาชิกจากองค์กรแนวร่วม อาทิ Hizballah หรือกลุ่มก่อการร้ายซีเรีย หรือกลุ่มก่อการร้ายนิกายชีอะห์ชาวอิรัก ในการก่อวินาศกรรม แต่ในครั้งนี้ แผนใหญ่เช่นนี้ แต่ Quds Force กลับมาใช้ นาย Arbabsiar ซึ่งเป็นมือสมัครเล่น เป็นเซลล์แมนขายรถมือสอง และที่หนักไปกว่านั้น ก็คือ การใช้บริการของแก๊งยาเสพติดชาวเม็กซิกัน
• ความขัดแย้งอิหร่านกับซาอุดีอาระเบีย
อีกประเด็นที่น่าสงสัย และอธิบายไม่ได้ คือ ถึงแม้ว่าอิหร่านกับซาอุดีอาระเบียจะมีความ
ขัดแย้งกัน แต่ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมอิหร่านจึงเลือกที่จะมาก่อวินาศกรรมในกรุงวอชิงตัน ดี ซี ทูตซาอุดีอาระเบียประจำสหรัฐฯ ก็ไม่ได้เป็นบุคคลสำคัญในรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย และที่สำคัญไปกว่านั้น หลังเหตุการณ์ 11 กันยาฯ ปี 2001 สหรัฐฯก็เข้มงวดมาก ในการป้องกันการก่อการร้ายในเมืองหลวงของตน
ดังนั้น จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงทำให้เกิดความกังขาและข้องใจเป็นอย่างมากว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเป็นนิยายกันแน่ หากรัฐบาล Obama ไม่สามารถมีหลักฐานชัดเจนได้ ก็จะกลายเป็นเรื่องตลกทางการทูตอีกครั้ง เหมือนที่ได้เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์ Saddam Hussein กับอาวุธร้ายแรง
ผมดูแล้ว ความเป็นไปได้ คือ รัฐบาลอิหร่านไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โดยอาจจะเป็นการกระทำโดยพลการของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือประเทศใดประเทศหนึ่ง อย่างเช่น อิสราเอล ที่ต้องการที่จะให้สหรัฐฯกับอิหร่านขัดแย้งกัน หรือไม่ก็อาจจะเป็นแผนของรัฐบาล Obama ที่สร้างเรื่องขึ้น เพื่อสร้างความชอบธรรมที่จะใช้ไม้แข็งกับอิหร่าน หรืออาจถึงขั้นการใช้กำลังโจมตีอิหร่าน
ผลกระทบ
อย่างไรก็ตาม แผนการสังหารดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือนิยายก็ตาม แต่ก็จะส่งผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่าน โดยทั้ง Obama และรองประธานาธิบดี Joe Biden ได้ออกมาประกาศอย่างแข็งกร้าวว่า จะต้องตอบโต้อิหร่าน และมาตรการตอบโต้ทุกรูปแบบก็กำลังได้รับการพิจารณา รวมถึงมาตรการทางทหารด้วย และสหรัฐฯกำลังจะล๊อบบี้พันธมิตรและประเทศต่างๆให้สนับสนุนมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน รวมถึงสหรัฐฯกำลังจะนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของ UNSC ด้วย นอกจากนี้ Obama กำลังถูกกดดันอย่างหนักที่จะต้องตอบโต้อิหร่าน โดยเฉพาะกำลังจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีหน้า หาก Obama ไม่ทำอะไรเลย ก็จะถูกฝ่ายรีพับลิกันใช้เป็นประเด็นในการโจมตีในช่วงการหาเสียงอย่างแน่นอน
ผลกระทบที่เป็นรูปธรรมประการแรก คือ จะทำให้การเจรจาเรื่องนิวเคลียร์อิหร่านสะดุด
หยุดลง
นอกจากนี้ ในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาล Obama ได้ประกาศว่า กำลังพิจารณาคว่ำบาตรธนาคารกลางอิหร่าน เพื่อเป็นการตอบโต้แผนลอบสังหารดังกล่าว ซึ่งมาตรการคว่ำบาตรธนาคารกลางอิหร่าน จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจอิหร่าน มาตรการดังกล่าว จะโดดเดี่ยว Bank Markazi ซึ่งเป็นธนาคารกลางของอิหร่าน โดยจะมีการตั้งเงื่อนไขว่า บริษัทใดติดต่อกับธนาคารกลางอิหร่าน ก็จะไม่สามารถทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินของสหรัฐฯได้ ซึ่งจะทำให้อิหร่านมีความยากลำบากเป็นอย่างมากในการส่งออกน้ำมัน ฝ่ายรัฐบาลอิหร่านได้ออกมาเตือนว่า มาตรการเช่นนี้ ถือเป็นการประกาศสงครามกับอิหร่าน
ผลกระทบของเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้มีการตั้งคำถามว่า จะนำไปสู่สงครามระหว่าง
สหรัฐฯกับอิหร่านหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ผมมองว่า สหรัฐฯยังไม่พร้อมจะทำสงครามกับอิหร่านในขณะนี้ เพราะประชาคมโลกคงไม่เห็นด้วยและจะต่อต้านสหรัฐฯ และขณะนี้ กองทัพสหรัฐฯก็กำลังวุ่นอยู่กับการถอนทหารออกจากอิรัก และกำลังทำสงครามอยู่ในอัฟกานิสถานและปากีสถาน นอกจากนี้ หากอิหร่านถูกโจมตี ก็จะตอบโต้ ซึ่งจะส่งผลกระทบไปทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง
ตีพิมพ์ใน สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ฉบับวันศุกร์ที่ 7 – วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2554
เมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ได้มีประเด็นร้อนเกิดขึ้นระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่าน โดยรัฐบาลสหรัฐฯได้เปิดเผยแผนของอิหร่านในการสังหารทูตซาอุดีอาระเบียประจำสหรัฐฯ ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ ตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ จะวิเคราะห์เรื่องดังกล่าว ดังนี้
แผนลอบสังหาร
เมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว อัยการสูงสุดของสหรัฐฯ Eric Holder และผู้อำนวยการ FBI Robert Mueller ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงแผนการลอบสังหารทูตซาอุดีอาระเบียประจำสหรัฐฯ รวมทั้งแผนการก่อวินาศกรรมระเบิดสถานทูตซาอุดีอาระเบียและอิสราเอลในกรุงวอชิงตัน ดี ซี โดยแผนดังกล่าวมีชาวอิหร่านที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯร่วมกับแก๊งยาเสพติดจากเม็กซิโก เป็นผู้ลงมือ
ซึ่งจากข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯระบุว่า แผนดังกล่าว ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง คือ องค์กร Quds Force ของรัฐบาลอิหร่าน ซึ่งเป็นองค์กรที่สหรัฐฯกล่าวหาว่า ให้ความช่วยเหลือ Taliban ในอัฟกานิสถาน และโจมตีทหารสหรัฐฯในอิรัก Holder ได้กล่าวว่า แผนดังกล่าวได้รับการวางแผน สนับสนุน และบงการมาจากอิหร่าน แต่ก็ยังไม่ได้กล่าวหาว่า ผู้นำอิหร่านเกี่ยวข้องด้วย
แต่ต่อมา ประธานาธิบดี Obama ได้กล่าวเสริมว่า ยังไม่แน่ใจว่าผู้นำอิหร่านเกี่ยวข้องในเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน แต่ Obama ย้ำว่า ผู้นำอิหร่านจะต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้
ชาวอิหร่านที่ถูกจับและกล่าวหาในแผนลอบสังหารนี้ ชื่อ Manssor Arbabsiar โดย Arbabsiar ได้ติดต่อแก๊งค้ายาเสพติดของเม็กซิโก และได้โอนเงินให้ 1.5 ล้านเหรียญ เพื่อให้สังหารทูตซาอุดีอาระเบียในกรุงวอชิงตัน ดี ซี
เรื่องจริง หรือ นิยาย?
แผนการลอบสังหารในครั้งนี้ ขณะนี้ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า รัฐบาลอิหร่านเกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใด แต่ก็มีหลายประเด็นที่ทำให้เกิดความข้องใจว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเป็นนิยายกันแน่ นี่ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่อิหร่านถูกกล่าวหาในสิ่งที่อิหร่านไม่ได้ทำ และนี่ก็ไม่ได้เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลสหรัฐฯกล่าวหาประเทศอื่น แต่ในที่สุดก็ไม่จริง ตัวอย่างคือ กรณีของ Saddam Hussein ที่รัฐบาล Bush กล่าวหาว่า พัฒนาอาวุธร้ายแรง และเป็นเหตุผลที่สหรัฐฯบุกยึดอิรักในปี 2003 แต่หลังจากยึดอิรักได้แล้ว ก็ไม่พบอาวุธร้ายแรงแต่ประการใด
ปัจจัยสำคัญที่น่าจะนำมาวิเคราะห์ มีดังนี้
• อิหร่านไม่ได้อะไรจากการลอบสังหารในครั้งนี้
ตั้งแต่การปฏิวัติอิสลาม ปี 1979 สิ่งที่สำคัญที่สุดต่อรัฐบาลอิหร่าน คือ ความอยู่รอด และ
ยุทธศาสตร์ความอยู่รอดของอิหร่าน ก็คือ การหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับสหรัฐฯ สิ่งที่อิหร่านกลัวมากที่สุด คือ การโจมตีจากสหรัฐฯ ดังนั้น หากการก่อวินาศกรรมสำเร็จ คือ การสังหารทูตซาอุดีอาระเบียด้วยการระเบิด ซึ่งอาจจะทำให้มีคนตายนับร้อย และหากการก่อวินาศกรรมดังกล่าวมีหลักฐานว่าเป็นฝีมือของรัฐบาลอิหร่าน ก็แน่นอนว่า สหรัฐฯจะตอบโต้อย่างรุนแรง ด้วยการโจมตีทางทหารต่ออิหร่าน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่รัฐบาลอิหร่านจะยอมทำเรื่องที่เสี่ยงเช่นนี้ โดยที่ผลที่จะได้รับก็แทบไม่มีอะไรเลย การสังหารทูตซาอุดีอาระเบียกับความเสี่ยงที่จะเปิดฉากสงครามกับสหรัฐฯ ดูไม่น่าจะคุ้มค่ากันเลย
• Arbabsiar และแก๊งค้ายาเสพติดเม็กซิกัน
อีกเรื่องที่แปลกมาก คือ การที่องค์กร Quds Force ซึ่งในอดีต จะใช้สมาชิกมืออาชีพ หรือ
ไม่ก็ใช้สมาชิกจากองค์กรแนวร่วม อาทิ Hizballah หรือกลุ่มก่อการร้ายซีเรีย หรือกลุ่มก่อการร้ายนิกายชีอะห์ชาวอิรัก ในการก่อวินาศกรรม แต่ในครั้งนี้ แผนใหญ่เช่นนี้ แต่ Quds Force กลับมาใช้ นาย Arbabsiar ซึ่งเป็นมือสมัครเล่น เป็นเซลล์แมนขายรถมือสอง และที่หนักไปกว่านั้น ก็คือ การใช้บริการของแก๊งยาเสพติดชาวเม็กซิกัน
• ความขัดแย้งอิหร่านกับซาอุดีอาระเบีย
อีกประเด็นที่น่าสงสัย และอธิบายไม่ได้ คือ ถึงแม้ว่าอิหร่านกับซาอุดีอาระเบียจะมีความ
ขัดแย้งกัน แต่ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมอิหร่านจึงเลือกที่จะมาก่อวินาศกรรมในกรุงวอชิงตัน ดี ซี ทูตซาอุดีอาระเบียประจำสหรัฐฯ ก็ไม่ได้เป็นบุคคลสำคัญในรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย และที่สำคัญไปกว่านั้น หลังเหตุการณ์ 11 กันยาฯ ปี 2001 สหรัฐฯก็เข้มงวดมาก ในการป้องกันการก่อการร้ายในเมืองหลวงของตน
ดังนั้น จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงทำให้เกิดความกังขาและข้องใจเป็นอย่างมากว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเป็นนิยายกันแน่ หากรัฐบาล Obama ไม่สามารถมีหลักฐานชัดเจนได้ ก็จะกลายเป็นเรื่องตลกทางการทูตอีกครั้ง เหมือนที่ได้เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์ Saddam Hussein กับอาวุธร้ายแรง
ผมดูแล้ว ความเป็นไปได้ คือ รัฐบาลอิหร่านไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โดยอาจจะเป็นการกระทำโดยพลการของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือประเทศใดประเทศหนึ่ง อย่างเช่น อิสราเอล ที่ต้องการที่จะให้สหรัฐฯกับอิหร่านขัดแย้งกัน หรือไม่ก็อาจจะเป็นแผนของรัฐบาล Obama ที่สร้างเรื่องขึ้น เพื่อสร้างความชอบธรรมที่จะใช้ไม้แข็งกับอิหร่าน หรืออาจถึงขั้นการใช้กำลังโจมตีอิหร่าน
ผลกระทบ
อย่างไรก็ตาม แผนการสังหารดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือนิยายก็ตาม แต่ก็จะส่งผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่าน โดยทั้ง Obama และรองประธานาธิบดี Joe Biden ได้ออกมาประกาศอย่างแข็งกร้าวว่า จะต้องตอบโต้อิหร่าน และมาตรการตอบโต้ทุกรูปแบบก็กำลังได้รับการพิจารณา รวมถึงมาตรการทางทหารด้วย และสหรัฐฯกำลังจะล๊อบบี้พันธมิตรและประเทศต่างๆให้สนับสนุนมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน รวมถึงสหรัฐฯกำลังจะนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของ UNSC ด้วย นอกจากนี้ Obama กำลังถูกกดดันอย่างหนักที่จะต้องตอบโต้อิหร่าน โดยเฉพาะกำลังจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีหน้า หาก Obama ไม่ทำอะไรเลย ก็จะถูกฝ่ายรีพับลิกันใช้เป็นประเด็นในการโจมตีในช่วงการหาเสียงอย่างแน่นอน
ผลกระทบที่เป็นรูปธรรมประการแรก คือ จะทำให้การเจรจาเรื่องนิวเคลียร์อิหร่านสะดุด
หยุดลง
นอกจากนี้ ในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาล Obama ได้ประกาศว่า กำลังพิจารณาคว่ำบาตรธนาคารกลางอิหร่าน เพื่อเป็นการตอบโต้แผนลอบสังหารดังกล่าว ซึ่งมาตรการคว่ำบาตรธนาคารกลางอิหร่าน จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจอิหร่าน มาตรการดังกล่าว จะโดดเดี่ยว Bank Markazi ซึ่งเป็นธนาคารกลางของอิหร่าน โดยจะมีการตั้งเงื่อนไขว่า บริษัทใดติดต่อกับธนาคารกลางอิหร่าน ก็จะไม่สามารถทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินของสหรัฐฯได้ ซึ่งจะทำให้อิหร่านมีความยากลำบากเป็นอย่างมากในการส่งออกน้ำมัน ฝ่ายรัฐบาลอิหร่านได้ออกมาเตือนว่า มาตรการเช่นนี้ ถือเป็นการประกาศสงครามกับอิหร่าน
ผลกระทบของเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้มีการตั้งคำถามว่า จะนำไปสู่สงครามระหว่าง
สหรัฐฯกับอิหร่านหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ผมมองว่า สหรัฐฯยังไม่พร้อมจะทำสงครามกับอิหร่านในขณะนี้ เพราะประชาคมโลกคงไม่เห็นด้วยและจะต่อต้านสหรัฐฯ และขณะนี้ กองทัพสหรัฐฯก็กำลังวุ่นอยู่กับการถอนทหารออกจากอิรัก และกำลังทำสงครามอยู่ในอัฟกานิสถานและปากีสถาน นอกจากนี้ หากอิหร่านถูกโจมตี ก็จะตอบโต้ ซึ่งจะส่งผลกระทบไปทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง
ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ปี 2011 (ตอนจบ)
ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ปี 2011 (ตอนจบ)
ตีพิมพ์ใน สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ฉบับวันศุกร์ที่ 14 – วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม 2554
ในคอลัมน์โลกทรรศน์ตอนที่แล้ว ผมได้วิเคราะห์บทความของ Walter Lohman ชื่อ “Reinvigorating the US-Thailand Alliance” ใน website ของ Heritage Foundation ซึ่งเป็น think tank ที่มีอิทธิพลของสหรัฐฯ ไปบ้างแล้ว โดยได้วิเคราะห์พันธมิตรไทยกับสหรัฐฯ ในอดีตและปัจจุบัน และสิ่งท้าทาย ไปแล้ว คอลัมน์ในวันนี้ ซึ่งจะเป็นตอนจบ ผมจะมาสรุปต่อในส่วนของข้อเสนอพันธมิตรไทยกับสหรัฐฯในอนาคต ของ Heritage Foundation และในตอนท้าย ผมจะนำเสนอบทวิเคราะห์ของผม ดังนี้
พันธมิตร ไทย – สหรัฐฯ : อนาคต
Heritage Foundation ได้เสนอรัฐบาลสหรัฐฯว่า ควรกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ และรื้อฟื้นพันธมิตรระหว่างไทยกับสหรัฐฯ โดยมีข้อเสนอหลักๆ ดังนี้
• ยกระดับความสัมพันธ์
ทั้ง 2 ประเทศ ควรเพิ่มการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงในกรอบทวิภาคี ที่ผ่านมา
ผู้นำของทั้ง 2 ประเทศจะเจอกันในเวทีพหุภาคี คือ ในอาเซียน หรือในเอเปค ดังนั้น การยกระดับพันธมิตรไทย-สหรัฐฯ จะเกิดขึ้นได้ ก็คือ จะต้องมีการเยือนไทยของผู้นำสหรัฐฯ ประธานาธิบดี Obama ยังไม่เคยเดินทางมาเยือนไทยเลย ทั้งๆที่ไทยเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐฯในภูมิภาค และเป็น 1 ใน 5 พันธมิตรหลักของสหรัฐฯในเอเชีย
• เน้นผลประโยชน์ร่วมกัน
การรื้อฟื้นพันธมิตร ควรมุ่งไปที่ความร่วมมือที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน อาทิ การปกป้อง
การค้าระหว่างประเทศ ส่งเสริมประชาธิปไตย เสถียรภาพในภูมิภาค ความร่วมมือทางทหาร ความร่วมมือในการต่อต้านการก่อการร้าย ดังนั้น เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายสามารถร่วมมือกันได้อย่างมีความหมาย จึงควรยกระดับเวทีหารือทวิภาคีไทย-สหรัฐฯ คือ เวที US-Thailand Strategic Dialogue ซึ่งในปัจจุบัน เป็นเวทีหารือในระดับปลัดกระทรวง และระดับอธิบดี จึงควรยกระดับขึ้นเป็นระดับรัฐมนตรีต่างประเทศ และในปัจจุบัน มีการประชุม 2 ปี ครั้ง ก็ควรให้มีการประชุมปีละครั้ง
• ขยายความร่วมมือด้านความมั่นคง
หุ้นส่วนด้านความมั่นคงไทย-สหรัฐฯยังคงมีเสถียรภาพ ความร่วมมือในกรอบ Cobra Gold
การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง และการบังคับใช้กฎหมาย เป็นมาตรการที่ควรดำเนินการต่อ และควรขยายความร่วมมือให้กระชับแน่นแฟ้นมากขึ้น นอกจากนี้ สหรัฐฯควรเพิ่มการขายอาวุธให้กับไทย ทั้งนี้ เพื่อที่จะแข่งกับอิทธิพลของจีนที่กำลังขายอาวุธให้กับไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
• บทบาทของสถานทูตสหรัฐฯที่กรุงเทพฯ
สถานทูตสหรัฐฯที่กรุงเทพฯ เป็นสถานทูตสหรัฐฯที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
รัฐบาลสหรัฐฯควรเพิ่มบทบาทให้กับสถานทูตสหรัฐฯในกรุงเทพฯ โดยส่งเสริมให้เป็นศูนย์กลางกิจกรรมทางการทูตของสหรัฐฯในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสถานทูตสหรัฐฯที่กรุงเทพฯ ควรมีบทบาทดูแลกรอบความร่วมมือต่างๆระหว่างสหรัฐฯกับภูมิภาค อาทิ Lower Mekong Initiative
• เพิ่มบทบาทการทูตภาคประชาชน
การที่จีนดำเนินการทูตภาคประชาชนในเชิงรุกต่อไทย ทำให้ไทยมองจีนในแง่บวกมากขึ้น
เรื่อยๆ ขณะเดียวกัน คนไทยก็มองสหรัฐฯในแง่ลบมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่สหรัฐฯจะต้องรีบดำเนินยุทธศาสตร์การทูตภาคประชาชน โดยเพิ่มการแลกเปลี่ยนทางการศึกษา การแลกเปลี่ยนทางวิชาการ และกิจกรรมทางด้านมนุษยธรรม
• จับตามองความเคลื่อนไหวของจีน
Heritage Foundation เสนอต่อรัฐบาลสหรัฐฯว่า สหรัฐฯควรจะต้องติดตามเฝ้ามองบทบาท
และความเคลื่อนไหวของจีนในไทยอย่างใกล้ชิด ในทุกๆด้าน ทั้งทางด้านการทหาร ด้านเศรษฐกิจ และด้านการทูตภาคประชาชน
• ใช้ไทยเป็นช่องทางกระชับความสัมพันธ์กับอาเซียน
ไทยมีบทบาทนำในอาเซียนมาโดยตลอด สหรัฐฯจึงควรใช้ไทยเป็นช่องทางในการกระชับ
ความสัมพันธ์กับอาเซียน ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และในเรื่องการส่งเสริมประชาธิปไตย
• รื้อฟื้นการเจรจา FTA ไทย-สหรัฐฯ
การเจรจา FTA ไทย-สหรัฐฯ ซึ่งหยุดชะงักไปหลังรัฐประหาร ปี 2006 ก็ควรกลับมาเจรจา
กันต่อ โดยเฉพาะเมื่อทางฝ่ายรัฐบาลไทยพร้อม นอกจากนี้ สหรัฐฯควรชักชวนให้ไทยเข้าร่วมใน FTA ที่สหรัฐฯกำลังผลักดันในภูมิภาคอยู่ คือ Trans-Pacific Partnership หรือ TPP ผู้กำหนดนโยบายสหรัฐฯจะต้องไม่ลืมว่า การค้าไทย-จีนได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังจากที่ทั้ง 2 ประเทศได้ทำ FTA กัน ดังนั้น สหรัฐฯจะต้องรีบเจรจา FTA กับไทย มิเช่นนั้น สหรัฐฯก็จะตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบจีน
บทวิเคราะห์
• บทความชิ้นนี้ ถือได้ว่า มีรายละเอียดและข้อมูลที่น่าสนใจมาก ทำให้เราเข้าใจนโยบาย
สหรัฐฯต่อไทยได้มากขึ้น Heritage Foundation เป็น think tank ที่มีอิทธิพลอย่างมากในสหรัฐฯ โดยจะมีความใกล้ชิดกับพรรครีพับริกันเป็นพิเศษ แม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาล Obama ที่เป็นพรรคเดโมแครต แต่ข้อเสนอของ Heritage Foundation ก็จะมีอิทธิพลต่อสภาคองเกรส ซึ่งพรรครีพับริกันครองเสียงข้างมากอยู่ในขณะนี้
• ข้อสังเกตประการที่ 2 ของผม คือ เรื่อง China Factor เห็นได้ชัดจากงานเขียนชิ้นนี้ว่า
สหรัฐฯกำลังวิตกกังวลเป็นอย่างมากต่อการผงาดขึ้นมาของจีน และการขยายอิทธิพลของจีนเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสู่ประเทศไทย ยุทธศาสตร์หลักของสหรัฐฯต่อเอเชีย คือ การปิดล้อมจีนหรือการสกัดกั้นการขยายอิทธิพลของจีน China Factor จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ขับเคลื่อนการทูตของสหรัฐฯในภูมิภาค เห็นได้ชัดว่า งานเขียนชิ้นนี้ เปรียบเทียบความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ กับความสัมพันธ์ไทย-จีนอยู่บ่อยครั้ง และข้อเสนอหลักๆเกือบทั้งหมดก็มุ่งเป้าไปที่การแข่งกับอิทธิพลของจีนในไทย
• ในส่วนที่เป็นข้อเสนอแนะนั้น มีรายละเอียดที่น่าสนใจหลายเรื่อง ซึ่งโดยรวมแล้ว ผมมอง
ว่า ถ้าหากรัฐบาล Obama คล้อยตามข้อเสนอเหล่านี้ และปรับนโยบายต่อไทย และรื้อฟื้นพันธมิตรกับไทยตามข้อเสนอเหล่านั้น ไทยก็จะได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก ซึ่งประเด็นข้อเสนอหลักๆ ผมก็เห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการยกระดับความสัมพันธ์ การเสนอให้ Obama มาเยือนไทย การยกระดับ US-Thailand Strategic Dialogue การใช้ไทยเป็นช่องทางเข้าสู่อาเซียน และการรื้อฟื้น FTA ไทย-สหรัฐฯ เป็นต้น
• อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญต่อการกระชับความสัมพันธ์ ไทย-สหรัฐฯ ก็คือ ความขัดแย้ง
และความวุ่นวายทางการเมืองของไทย ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูงในอนาคต
และอีกปัจจัยที่เป็นอุปสรรคที่ผมมอง คือ การที่สหรัฐฯมียุทธศาสตร์ต่อ
ภูมิภาคที่ต่างไปจากอดีต ที่เคยเน้นระบบ hub and spokes เน้นพันธมิตรหลัก 5 ประเทศ แต่ในขณะนี้ สหรัฐฯได้ปรับยุทธศาสตร์ใหม่ที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น โดยมีการขยายกรอบพหุภาคีมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็มีการขยายพันธมิตรออกไป จากเดิมที่มีแค่ 5 ประเทศ แต่ในขณะนี้ สหรัฐฯต้องการใกล้ชิดกับอีกหลายประเทศในภูมิภาค โดยเฉพาะ อินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯมีตัวเลือกมากขึ้น ไทยจะมีความสำคัญต่อสหรัฐฯน้อยลง ในขณะที่ อินโดนีเซียและเวียดนาม มีแนวโน้มที่จะมีความสำคัญต่อสหรัฐฯมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น สถานะของไทย ก็ตกต่ำลงอย่างมากในเวทีระหว่างประเทศและเวทีอาเซียน
ทำให้การเป็นพันธมิตรของไทยในสายตาสหรัฐฯ ลดความสำคัญลง ไทยกลายเป็นพันธมิตรที่ไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ไม่สามารถเป็นผู้นำอาเซียนได้ และไม่สามารถให้ความเชื่อมั่นได้ สหรัฐฯจึงมีแนวโน้มที่จะไปหาประเทศอื่นที่มีสถานะดีกว่าไทย
ตีพิมพ์ใน สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ฉบับวันศุกร์ที่ 14 – วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม 2554
ในคอลัมน์โลกทรรศน์ตอนที่แล้ว ผมได้วิเคราะห์บทความของ Walter Lohman ชื่อ “Reinvigorating the US-Thailand Alliance” ใน website ของ Heritage Foundation ซึ่งเป็น think tank ที่มีอิทธิพลของสหรัฐฯ ไปบ้างแล้ว โดยได้วิเคราะห์พันธมิตรไทยกับสหรัฐฯ ในอดีตและปัจจุบัน และสิ่งท้าทาย ไปแล้ว คอลัมน์ในวันนี้ ซึ่งจะเป็นตอนจบ ผมจะมาสรุปต่อในส่วนของข้อเสนอพันธมิตรไทยกับสหรัฐฯในอนาคต ของ Heritage Foundation และในตอนท้าย ผมจะนำเสนอบทวิเคราะห์ของผม ดังนี้
พันธมิตร ไทย – สหรัฐฯ : อนาคต
Heritage Foundation ได้เสนอรัฐบาลสหรัฐฯว่า ควรกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ และรื้อฟื้นพันธมิตรระหว่างไทยกับสหรัฐฯ โดยมีข้อเสนอหลักๆ ดังนี้
• ยกระดับความสัมพันธ์
ทั้ง 2 ประเทศ ควรเพิ่มการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงในกรอบทวิภาคี ที่ผ่านมา
ผู้นำของทั้ง 2 ประเทศจะเจอกันในเวทีพหุภาคี คือ ในอาเซียน หรือในเอเปค ดังนั้น การยกระดับพันธมิตรไทย-สหรัฐฯ จะเกิดขึ้นได้ ก็คือ จะต้องมีการเยือนไทยของผู้นำสหรัฐฯ ประธานาธิบดี Obama ยังไม่เคยเดินทางมาเยือนไทยเลย ทั้งๆที่ไทยเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐฯในภูมิภาค และเป็น 1 ใน 5 พันธมิตรหลักของสหรัฐฯในเอเชีย
• เน้นผลประโยชน์ร่วมกัน
การรื้อฟื้นพันธมิตร ควรมุ่งไปที่ความร่วมมือที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน อาทิ การปกป้อง
การค้าระหว่างประเทศ ส่งเสริมประชาธิปไตย เสถียรภาพในภูมิภาค ความร่วมมือทางทหาร ความร่วมมือในการต่อต้านการก่อการร้าย ดังนั้น เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายสามารถร่วมมือกันได้อย่างมีความหมาย จึงควรยกระดับเวทีหารือทวิภาคีไทย-สหรัฐฯ คือ เวที US-Thailand Strategic Dialogue ซึ่งในปัจจุบัน เป็นเวทีหารือในระดับปลัดกระทรวง และระดับอธิบดี จึงควรยกระดับขึ้นเป็นระดับรัฐมนตรีต่างประเทศ และในปัจจุบัน มีการประชุม 2 ปี ครั้ง ก็ควรให้มีการประชุมปีละครั้ง
• ขยายความร่วมมือด้านความมั่นคง
หุ้นส่วนด้านความมั่นคงไทย-สหรัฐฯยังคงมีเสถียรภาพ ความร่วมมือในกรอบ Cobra Gold
การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง และการบังคับใช้กฎหมาย เป็นมาตรการที่ควรดำเนินการต่อ และควรขยายความร่วมมือให้กระชับแน่นแฟ้นมากขึ้น นอกจากนี้ สหรัฐฯควรเพิ่มการขายอาวุธให้กับไทย ทั้งนี้ เพื่อที่จะแข่งกับอิทธิพลของจีนที่กำลังขายอาวุธให้กับไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
• บทบาทของสถานทูตสหรัฐฯที่กรุงเทพฯ
สถานทูตสหรัฐฯที่กรุงเทพฯ เป็นสถานทูตสหรัฐฯที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
รัฐบาลสหรัฐฯควรเพิ่มบทบาทให้กับสถานทูตสหรัฐฯในกรุงเทพฯ โดยส่งเสริมให้เป็นศูนย์กลางกิจกรรมทางการทูตของสหรัฐฯในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสถานทูตสหรัฐฯที่กรุงเทพฯ ควรมีบทบาทดูแลกรอบความร่วมมือต่างๆระหว่างสหรัฐฯกับภูมิภาค อาทิ Lower Mekong Initiative
• เพิ่มบทบาทการทูตภาคประชาชน
การที่จีนดำเนินการทูตภาคประชาชนในเชิงรุกต่อไทย ทำให้ไทยมองจีนในแง่บวกมากขึ้น
เรื่อยๆ ขณะเดียวกัน คนไทยก็มองสหรัฐฯในแง่ลบมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่สหรัฐฯจะต้องรีบดำเนินยุทธศาสตร์การทูตภาคประชาชน โดยเพิ่มการแลกเปลี่ยนทางการศึกษา การแลกเปลี่ยนทางวิชาการ และกิจกรรมทางด้านมนุษยธรรม
• จับตามองความเคลื่อนไหวของจีน
Heritage Foundation เสนอต่อรัฐบาลสหรัฐฯว่า สหรัฐฯควรจะต้องติดตามเฝ้ามองบทบาท
และความเคลื่อนไหวของจีนในไทยอย่างใกล้ชิด ในทุกๆด้าน ทั้งทางด้านการทหาร ด้านเศรษฐกิจ และด้านการทูตภาคประชาชน
• ใช้ไทยเป็นช่องทางกระชับความสัมพันธ์กับอาเซียน
ไทยมีบทบาทนำในอาเซียนมาโดยตลอด สหรัฐฯจึงควรใช้ไทยเป็นช่องทางในการกระชับ
ความสัมพันธ์กับอาเซียน ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และในเรื่องการส่งเสริมประชาธิปไตย
• รื้อฟื้นการเจรจา FTA ไทย-สหรัฐฯ
การเจรจา FTA ไทย-สหรัฐฯ ซึ่งหยุดชะงักไปหลังรัฐประหาร ปี 2006 ก็ควรกลับมาเจรจา
กันต่อ โดยเฉพาะเมื่อทางฝ่ายรัฐบาลไทยพร้อม นอกจากนี้ สหรัฐฯควรชักชวนให้ไทยเข้าร่วมใน FTA ที่สหรัฐฯกำลังผลักดันในภูมิภาคอยู่ คือ Trans-Pacific Partnership หรือ TPP ผู้กำหนดนโยบายสหรัฐฯจะต้องไม่ลืมว่า การค้าไทย-จีนได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังจากที่ทั้ง 2 ประเทศได้ทำ FTA กัน ดังนั้น สหรัฐฯจะต้องรีบเจรจา FTA กับไทย มิเช่นนั้น สหรัฐฯก็จะตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบจีน
บทวิเคราะห์
• บทความชิ้นนี้ ถือได้ว่า มีรายละเอียดและข้อมูลที่น่าสนใจมาก ทำให้เราเข้าใจนโยบาย
สหรัฐฯต่อไทยได้มากขึ้น Heritage Foundation เป็น think tank ที่มีอิทธิพลอย่างมากในสหรัฐฯ โดยจะมีความใกล้ชิดกับพรรครีพับริกันเป็นพิเศษ แม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาล Obama ที่เป็นพรรคเดโมแครต แต่ข้อเสนอของ Heritage Foundation ก็จะมีอิทธิพลต่อสภาคองเกรส ซึ่งพรรครีพับริกันครองเสียงข้างมากอยู่ในขณะนี้
• ข้อสังเกตประการที่ 2 ของผม คือ เรื่อง China Factor เห็นได้ชัดจากงานเขียนชิ้นนี้ว่า
สหรัฐฯกำลังวิตกกังวลเป็นอย่างมากต่อการผงาดขึ้นมาของจีน และการขยายอิทธิพลของจีนเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสู่ประเทศไทย ยุทธศาสตร์หลักของสหรัฐฯต่อเอเชีย คือ การปิดล้อมจีนหรือการสกัดกั้นการขยายอิทธิพลของจีน China Factor จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ขับเคลื่อนการทูตของสหรัฐฯในภูมิภาค เห็นได้ชัดว่า งานเขียนชิ้นนี้ เปรียบเทียบความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ กับความสัมพันธ์ไทย-จีนอยู่บ่อยครั้ง และข้อเสนอหลักๆเกือบทั้งหมดก็มุ่งเป้าไปที่การแข่งกับอิทธิพลของจีนในไทย
• ในส่วนที่เป็นข้อเสนอแนะนั้น มีรายละเอียดที่น่าสนใจหลายเรื่อง ซึ่งโดยรวมแล้ว ผมมอง
ว่า ถ้าหากรัฐบาล Obama คล้อยตามข้อเสนอเหล่านี้ และปรับนโยบายต่อไทย และรื้อฟื้นพันธมิตรกับไทยตามข้อเสนอเหล่านั้น ไทยก็จะได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก ซึ่งประเด็นข้อเสนอหลักๆ ผมก็เห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการยกระดับความสัมพันธ์ การเสนอให้ Obama มาเยือนไทย การยกระดับ US-Thailand Strategic Dialogue การใช้ไทยเป็นช่องทางเข้าสู่อาเซียน และการรื้อฟื้น FTA ไทย-สหรัฐฯ เป็นต้น
• อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญต่อการกระชับความสัมพันธ์ ไทย-สหรัฐฯ ก็คือ ความขัดแย้ง
และความวุ่นวายทางการเมืองของไทย ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูงในอนาคต
และอีกปัจจัยที่เป็นอุปสรรคที่ผมมอง คือ การที่สหรัฐฯมียุทธศาสตร์ต่อ
ภูมิภาคที่ต่างไปจากอดีต ที่เคยเน้นระบบ hub and spokes เน้นพันธมิตรหลัก 5 ประเทศ แต่ในขณะนี้ สหรัฐฯได้ปรับยุทธศาสตร์ใหม่ที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น โดยมีการขยายกรอบพหุภาคีมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็มีการขยายพันธมิตรออกไป จากเดิมที่มีแค่ 5 ประเทศ แต่ในขณะนี้ สหรัฐฯต้องการใกล้ชิดกับอีกหลายประเทศในภูมิภาค โดยเฉพาะ อินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯมีตัวเลือกมากขึ้น ไทยจะมีความสำคัญต่อสหรัฐฯน้อยลง ในขณะที่ อินโดนีเซียและเวียดนาม มีแนวโน้มที่จะมีความสำคัญต่อสหรัฐฯมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น สถานะของไทย ก็ตกต่ำลงอย่างมากในเวทีระหว่างประเทศและเวทีอาเซียน
ทำให้การเป็นพันธมิตรของไทยในสายตาสหรัฐฯ ลดความสำคัญลง ไทยกลายเป็นพันธมิตรที่ไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ไม่สามารถเป็นผู้นำอาเซียนได้ และไม่สามารถให้ความเชื่อมั่นได้ สหรัฐฯจึงมีแนวโน้มที่จะไปหาประเทศอื่นที่มีสถานะดีกว่าไทย
นโยบายเศรษฐกิจโลกของสหรัฐฯ ปี 2011
นโยบายเศรษฐกิจโลกของสหรัฐฯ ปี 2011
ตีพิมพ์ใน สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ฉบับวันศุกร์ที่ 30 กันยายน – วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม 2554
เมื่อช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา Robert Hormats รองปลัดกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งดูแลกิจการด้านเศรษฐกิจ ได้กล่าวสุนทรพจน์ประกาศนโยบายเศรษฐกิจโลกของสหรัฐฯ ในหัวข้อ “U.S. Economic Policy and the Asia-Pacific” ที่นคร Los Angeles คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ จะสรุป วิเคราะห์สุนทรพจน์ดังกล่าว ดังนี้
สภาวะแวดล้อม
ในตอนต้นของสุนทรพจน์ Hormats ได้วิเคราะห์ระบบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันว่า กำลังมีการเปลี่ยนแปลงของอำนาจในระบบโลก โดยกำลังมีการเคลื่อนย้ายของอำนาจจากตะวันตกมาตะวันออก จากการใช้เครื่องมือทางทหารมาเป็นการใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจ และจากประเทศที่มีภาระหนี้สินล้นพ้นตัว ไปสู่ประเทศที่มีเงินทุนมหาศาล
ในสมัยสงครามเย็น ประเทศต่างๆเน้นการสร้างเสริมกำลังทางทหาร แต่ในต้นศตวรรษที่ 21 ประเทศต่างๆได้เปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมอำนาจทางเศรษฐกิจแทน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เป็นการสะท้อนถึงระบบโลกใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น โดยการแข่งขันกันทางเศรษฐกิจ จะมีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ สหรัฐฯจึงกำลังประสบกับคู่แข่งในหลายรูปแบบ อย่างไรก็ตาม ในยุคที่เศรษฐกิจต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ดังนั้น หลายประเทศก็จะเป็นทั้งหุ้นส่วนและคู่แข่งของสหรัฐฯในขณะเดียวกันด้วย
การเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกใหม่ คือ การผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบันและในอนาคต ประเทศเหล่านี้กำลังมีอำนาจทางเศรษฐกิจและทางการเงินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และอิทธิพลในสถาบันโลกก็เพิ่มขึ้น
นโยบายเศรษฐกิจโลกของสหรัฐฯ
จากการวิเคราะห์สภาวะแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจดังกล่าว Hormats จึงพยายามจะตอบคำถาม 3 คำถามด้วยกัน คำถามแรก คือ สหรัฐฯควรจะมีนโยบายเศรษฐกิจโลกอย่างไร คำถามที่ 2 คือ ระบบเศรษฐกิจโลกควรจะมีกฎระเบียบและบรรทัดฐานอย่างไร และคำถามที่ 3 คือ จะพัฒนาโครงสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียได้อย่างไร
Hormats ได้ตอบคำถามแรก คือ นโยบายเศรษฐกิจโลกของสหรัฐฯจะเป็นอย่างไรนั้นว่า นโยบายควรจะเน้น 4 เรื่องใหญ่ด้วยกัน คือ การส่งเสริมการส่งออก การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา การส่งเสริมการลงทุน และการส่งเสริมสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ
ความสำเร็จของนโยบายดังกล่าว จะต้องอาศัยการที่สหรัฐฯจะต้องพัฒนากฎและสถาบันของเศรษฐกิจโลกให้สอดคล้องกับผลปะโยชน์ในระยะยาวของสหรัฐฯ
สำหรับในด้านการส่งเสริมการส่งออกนั้น ประธานาธิบดี Obama ได้ประกาศยุทธศาสตร์หลัก คือ National Export Initiative โดยได้ตั้งเป้าหมายว่า จะเพิ่มการส่งออกของสหรัฐฯ ให้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ภายในระยะเวลา 5 ปี
สำหรับการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญานั้น Hormats ได้เน้นว่า ทรัพย์สินทางปัญญาถือเป็นทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดของสหรัฐฯ ประธานาธิบดี Obama ได้ประกาศนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ว่า จะดำเนินนโยบายเพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ ในลักษณะเชิงรุกและแข็งกร้าว ดังนั้น การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาจากการละเมิดในรูปแบบต่างๆ จึงเป็นแกนกลางของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ระบบเศรษฐกิจโลก
องค์ประกอบที่สำคัญของนโยบายเศรษฐกิจโลกของสหรัฐฯ คือ การจัดระเบียบเศรษฐกิจโลก หรือระบบเศรษฐกิจโลก เพื่อพร้อมรับกับสิ่งที่ท้าทายในศตวรรษที่ 21 โดยสหรัฐฯเน้นสถาบันและบรรทัดฐานที่โปร่งใส และมีความเป็นธรรม ซึ่ง Hormats ได้กล่าวว่า ระบบดังกล่าว ไม่ต้องสร้างจากศูนย์ ทั้งนี้เพราะ เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง สหรัฐฯได้จัดระเบียบเศรษฐกิจโลกขึ้นมาใหม่ ที่เรียกว่า Bretton Woods System ซึ่งมีสถาบันหลัก คือ IMF ธนาคารโลก GATT OECD และธนาคารเพื่อการพัฒนาในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม ระบบเศรษฐกิจโลกในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก มหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่กลายเป็นตัวแสดงที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจโลก ดังนั้น นโยบายของสหรัฐฯ จะต้องส่งเสริมให้มหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่เหล่านี้ มีความรับผิดชอบต่อระบบเศรษฐกิจโลก และสหรัฐจะต้องมีคามสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่เหล่านี้ โดยขณะนี้ มีหลายเวทีสำหรับการปฏิสัมพันธ์กับมหาอำนาจใหม่ ในระดับพหุภาคี มี G20 เป็นกลไกหลัก สำหรับในระดับทวิภาคี สหรัฐฯก็มีเวทีหารือทวิภาคีกับมหาอำนาจใหม่ อาทิ Strategic and Economic Dialogue กับจีน U.S.-India Strategic Dialogue และ U.S.-Russian Bilateral Presidential Commission
นอกจากนี้ ขณะนี้ สหรัฐฯกำลังเน้นการที่จะทำให้ภาคธุรกิจของสหรัฐฯ สามารถต่อสู้แข่งขันกับคู่แข่งประเทศอื่นได้ บทพื้นฐานของกฎระเบียบระหว่างประเทศที่เป็นธรรม ปัญหาสำคัญของสหรัฐฯ คือ มีหลายประเทศที่รัฐบาลเข้ามาสนับสนุนภาคเอกชน ทำให้ภาคเอกชนของประเทศเหล่านี้ได้เปรียบภาคเอกชนของสหรัฐฯ ดังนั้น นโยบายของสหรัฐฯ คือ จะต้องทำให้การแข่งขันของภาคเอกชนเป็นธรรม
นโยบายต่อภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค
ในตอนท้ายของสุนทรพจน์ Hormats ได้เน้นความสำคัญของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิคโดยได้อ้างถึงคำพูดของ Hillary Clinton รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯว่า “อนาคตของสหรัฐฯได้ถูกผูกติดอยู่กับอนาคตของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค” นโยบายของสหรัฐฯต่อภูมิภาคจะเน้น 2 เรื่องด้วยกัน คือ นโยบายต่อเอเปค และการผลักดัน FTA ตัวใหม่ ที่เรียกว่า Trans-Pacific Partnership หรือ TPP
สำหรับเอเปคนั้น สหรัฐฯให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเอเปคมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ประเทศคู่ค้า 15 อันดับแรกของสหรัฐฯ มีถึง 7 ประเทศที่เป็นสมาชิกเอเปค 60% ของการส่งออกของสหรัฐฯ ก็ส่งมาที่สมาชิกเอเปค สมาชิกเอเปคมีทั้งหมด 21 เขตเศรษฐกิจ ซึ่งรวมกันแล้ว มีขนาดเศรษฐกิจเกินกว่าครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจโลก และมีปริมาณการค้าคิดเป็น 44% ของปริมาณการค้าโลก
ปีนี้จะเป็นปีพิเศษ เพราะสหรัฐฯจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดเอเปคที่ฮาวาย ในเดือนพฤศจิกายน Hormats ได้เน้นว่า การประชุมสุดยอดเอเปคในปีนี้ สหรัฐฯต้องการส่งเสริมการบูรณาการเศรษฐกิจในภูมิภาค และขยายการค้าและการลงทุน
เรื่องสุดท้ายที่ Hormats พูดถึง คือ การผลักดัน FTA ในภูมิภาคตัวใหม่ คือ TPP สหรัฐฯเป็นแกนนำในการจัดตั้ง TPP ซึ่งขณะนี้ มี 9 ประเทศที่เป็นสมาชิก โดย TPP จะเป็น FTA ที่มีมาตรฐานสูง สหรัฐฯได้ตั้งเป้าว่า ในการประชุมสุดยอดเอเปคที่ฮาวายนั้น จะได้มีการบรรลุถึงข้อตกลงเกี่ยวกับ TPP
บทวิเคราะห์
จากนโยบายเศรษฐกิจโลกของสหรัฐฯที่ได้สรุปไปข้างต้น ผมมีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายดังกล่าว ดังนี้
• สุนทรพจน์ที่กล่าวโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เป็นไปตามที่คาดไว้ คือ จะมีลักษณะที่เป็นภาษาดอกไม้ แต่หัวใจสำคัญของนโยบายต่างประเทศ คือ นโยบายที่ไม่ได้ประกาศ สำคัญกว่านโยบายที่ประกาศ นโยบายที่ Hormats ไม่ได้ประกาศ คือ วาระซ่อนเร้น หรือยุทธศาสตร์ที่แท้จริงของสหรัฐฯ ซึ่งผมมองว่า ยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของสหรัฐฯ คือ ยุทธศาสตร์การครองความเป็นเจ้าทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นั่นเอง
• อีกเรื่องที่อยากวิเคราะห์ คือ เรื่องหลักๆที่เป็นนโยบายเศรษฐกิจโลกของสหรัฐฯนั้น อาทิ การส่งเสริมการส่งออก ทรัพย์สินทางปัญญา และระบบเศรษฐกิจโลกที่เป็นธรรมนั้น ก็เป็นเรื่องที่สหรัฐฯจะได้ประโยชน์ทั้งสิ้น มีคำที่สหรัฐฯชอบใช้อยู่เรื่อย คือคำว่า “ต้อง fair” หรือต้องเป็นธรรม ผมมองว่า ระบบที่เป็นธรรม ก็คือ ระบบที่สหรัฐฯจะได้เปรียบ ส่วนระบบที่ไม่เป็นธรรม ก็คือ ระบบที่สหรัฐฯจะเสียเปรียบนั่นเอง
• กล่าวโดยสรุป นโยบายเศรษฐกิจโลกของสหรัฐฯที่แท้จริงนั้น คือ สหรัฐฯจะดำเนินยุทธศาสตร์แบบหลายช่องทาง
ในระดับโลก สหรัฐฯจะเน้นการสร้างสถาบันและกฎระเบียบในระดับโลก เพื่อเอื้อประโยชน์
แก่สหรัฐฯ โดยเฉพาะการผลักดันการเจรจา WTO รอบโดฮา และการครอบงำสถาบันเศรษฐกิจโลก คือ IMF และธนาคารโลก สำหรับ G7 G8 และ G20 ก็เป็นกลไกสำคัญของสหรัฐฯ ในการครอบงำการจัดการระเบียบเศรษฐกิจโลก
สำหรับในระดับภูมิภาคเอเชีย สหรัฐฯจะเน้นเอเปค เพราะสหรัฐฯได้ครอบงำเอเปคมาโดยตลอด และในขณะนี้ ก็ได้ผลักดัน TPP เพื่อมาแข่งกับ FTA ของอาเซียน
นอกจากนี้ สหรัฐฯยังดำเนินนโยบายผ่านช่องทางทวิภาคี ซึ่งในสมัยรัฐบาล Bush ได้ให้ความสำคัญกับการเจรจา FTA ทวิภาคี อย่างไรก็ตาม ในสมัยรัฐบาล Obama การเจรจา FTA ทวิภาคีได้ลดความสำคัญลง
ตีพิมพ์ใน สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ฉบับวันศุกร์ที่ 30 กันยายน – วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม 2554
เมื่อช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา Robert Hormats รองปลัดกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งดูแลกิจการด้านเศรษฐกิจ ได้กล่าวสุนทรพจน์ประกาศนโยบายเศรษฐกิจโลกของสหรัฐฯ ในหัวข้อ “U.S. Economic Policy and the Asia-Pacific” ที่นคร Los Angeles คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ จะสรุป วิเคราะห์สุนทรพจน์ดังกล่าว ดังนี้
สภาวะแวดล้อม
ในตอนต้นของสุนทรพจน์ Hormats ได้วิเคราะห์ระบบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันว่า กำลังมีการเปลี่ยนแปลงของอำนาจในระบบโลก โดยกำลังมีการเคลื่อนย้ายของอำนาจจากตะวันตกมาตะวันออก จากการใช้เครื่องมือทางทหารมาเป็นการใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจ และจากประเทศที่มีภาระหนี้สินล้นพ้นตัว ไปสู่ประเทศที่มีเงินทุนมหาศาล
ในสมัยสงครามเย็น ประเทศต่างๆเน้นการสร้างเสริมกำลังทางทหาร แต่ในต้นศตวรรษที่ 21 ประเทศต่างๆได้เปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมอำนาจทางเศรษฐกิจแทน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เป็นการสะท้อนถึงระบบโลกใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น โดยการแข่งขันกันทางเศรษฐกิจ จะมีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ สหรัฐฯจึงกำลังประสบกับคู่แข่งในหลายรูปแบบ อย่างไรก็ตาม ในยุคที่เศรษฐกิจต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ดังนั้น หลายประเทศก็จะเป็นทั้งหุ้นส่วนและคู่แข่งของสหรัฐฯในขณะเดียวกันด้วย
การเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกใหม่ คือ การผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบันและในอนาคต ประเทศเหล่านี้กำลังมีอำนาจทางเศรษฐกิจและทางการเงินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และอิทธิพลในสถาบันโลกก็เพิ่มขึ้น
นโยบายเศรษฐกิจโลกของสหรัฐฯ
จากการวิเคราะห์สภาวะแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจดังกล่าว Hormats จึงพยายามจะตอบคำถาม 3 คำถามด้วยกัน คำถามแรก คือ สหรัฐฯควรจะมีนโยบายเศรษฐกิจโลกอย่างไร คำถามที่ 2 คือ ระบบเศรษฐกิจโลกควรจะมีกฎระเบียบและบรรทัดฐานอย่างไร และคำถามที่ 3 คือ จะพัฒนาโครงสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียได้อย่างไร
Hormats ได้ตอบคำถามแรก คือ นโยบายเศรษฐกิจโลกของสหรัฐฯจะเป็นอย่างไรนั้นว่า นโยบายควรจะเน้น 4 เรื่องใหญ่ด้วยกัน คือ การส่งเสริมการส่งออก การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา การส่งเสริมการลงทุน และการส่งเสริมสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ
ความสำเร็จของนโยบายดังกล่าว จะต้องอาศัยการที่สหรัฐฯจะต้องพัฒนากฎและสถาบันของเศรษฐกิจโลกให้สอดคล้องกับผลปะโยชน์ในระยะยาวของสหรัฐฯ
สำหรับในด้านการส่งเสริมการส่งออกนั้น ประธานาธิบดี Obama ได้ประกาศยุทธศาสตร์หลัก คือ National Export Initiative โดยได้ตั้งเป้าหมายว่า จะเพิ่มการส่งออกของสหรัฐฯ ให้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ภายในระยะเวลา 5 ปี
สำหรับการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญานั้น Hormats ได้เน้นว่า ทรัพย์สินทางปัญญาถือเป็นทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดของสหรัฐฯ ประธานาธิบดี Obama ได้ประกาศนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ว่า จะดำเนินนโยบายเพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ ในลักษณะเชิงรุกและแข็งกร้าว ดังนั้น การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาจากการละเมิดในรูปแบบต่างๆ จึงเป็นแกนกลางของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ระบบเศรษฐกิจโลก
องค์ประกอบที่สำคัญของนโยบายเศรษฐกิจโลกของสหรัฐฯ คือ การจัดระเบียบเศรษฐกิจโลก หรือระบบเศรษฐกิจโลก เพื่อพร้อมรับกับสิ่งที่ท้าทายในศตวรรษที่ 21 โดยสหรัฐฯเน้นสถาบันและบรรทัดฐานที่โปร่งใส และมีความเป็นธรรม ซึ่ง Hormats ได้กล่าวว่า ระบบดังกล่าว ไม่ต้องสร้างจากศูนย์ ทั้งนี้เพราะ เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง สหรัฐฯได้จัดระเบียบเศรษฐกิจโลกขึ้นมาใหม่ ที่เรียกว่า Bretton Woods System ซึ่งมีสถาบันหลัก คือ IMF ธนาคารโลก GATT OECD และธนาคารเพื่อการพัฒนาในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม ระบบเศรษฐกิจโลกในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก มหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่กลายเป็นตัวแสดงที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจโลก ดังนั้น นโยบายของสหรัฐฯ จะต้องส่งเสริมให้มหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่เหล่านี้ มีความรับผิดชอบต่อระบบเศรษฐกิจโลก และสหรัฐจะต้องมีคามสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่เหล่านี้ โดยขณะนี้ มีหลายเวทีสำหรับการปฏิสัมพันธ์กับมหาอำนาจใหม่ ในระดับพหุภาคี มี G20 เป็นกลไกหลัก สำหรับในระดับทวิภาคี สหรัฐฯก็มีเวทีหารือทวิภาคีกับมหาอำนาจใหม่ อาทิ Strategic and Economic Dialogue กับจีน U.S.-India Strategic Dialogue และ U.S.-Russian Bilateral Presidential Commission
นอกจากนี้ ขณะนี้ สหรัฐฯกำลังเน้นการที่จะทำให้ภาคธุรกิจของสหรัฐฯ สามารถต่อสู้แข่งขันกับคู่แข่งประเทศอื่นได้ บทพื้นฐานของกฎระเบียบระหว่างประเทศที่เป็นธรรม ปัญหาสำคัญของสหรัฐฯ คือ มีหลายประเทศที่รัฐบาลเข้ามาสนับสนุนภาคเอกชน ทำให้ภาคเอกชนของประเทศเหล่านี้ได้เปรียบภาคเอกชนของสหรัฐฯ ดังนั้น นโยบายของสหรัฐฯ คือ จะต้องทำให้การแข่งขันของภาคเอกชนเป็นธรรม
นโยบายต่อภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค
ในตอนท้ายของสุนทรพจน์ Hormats ได้เน้นความสำคัญของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิคโดยได้อ้างถึงคำพูดของ Hillary Clinton รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯว่า “อนาคตของสหรัฐฯได้ถูกผูกติดอยู่กับอนาคตของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค” นโยบายของสหรัฐฯต่อภูมิภาคจะเน้น 2 เรื่องด้วยกัน คือ นโยบายต่อเอเปค และการผลักดัน FTA ตัวใหม่ ที่เรียกว่า Trans-Pacific Partnership หรือ TPP
สำหรับเอเปคนั้น สหรัฐฯให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเอเปคมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ประเทศคู่ค้า 15 อันดับแรกของสหรัฐฯ มีถึง 7 ประเทศที่เป็นสมาชิกเอเปค 60% ของการส่งออกของสหรัฐฯ ก็ส่งมาที่สมาชิกเอเปค สมาชิกเอเปคมีทั้งหมด 21 เขตเศรษฐกิจ ซึ่งรวมกันแล้ว มีขนาดเศรษฐกิจเกินกว่าครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจโลก และมีปริมาณการค้าคิดเป็น 44% ของปริมาณการค้าโลก
ปีนี้จะเป็นปีพิเศษ เพราะสหรัฐฯจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดเอเปคที่ฮาวาย ในเดือนพฤศจิกายน Hormats ได้เน้นว่า การประชุมสุดยอดเอเปคในปีนี้ สหรัฐฯต้องการส่งเสริมการบูรณาการเศรษฐกิจในภูมิภาค และขยายการค้าและการลงทุน
เรื่องสุดท้ายที่ Hormats พูดถึง คือ การผลักดัน FTA ในภูมิภาคตัวใหม่ คือ TPP สหรัฐฯเป็นแกนนำในการจัดตั้ง TPP ซึ่งขณะนี้ มี 9 ประเทศที่เป็นสมาชิก โดย TPP จะเป็น FTA ที่มีมาตรฐานสูง สหรัฐฯได้ตั้งเป้าว่า ในการประชุมสุดยอดเอเปคที่ฮาวายนั้น จะได้มีการบรรลุถึงข้อตกลงเกี่ยวกับ TPP
บทวิเคราะห์
จากนโยบายเศรษฐกิจโลกของสหรัฐฯที่ได้สรุปไปข้างต้น ผมมีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายดังกล่าว ดังนี้
• สุนทรพจน์ที่กล่าวโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เป็นไปตามที่คาดไว้ คือ จะมีลักษณะที่เป็นภาษาดอกไม้ แต่หัวใจสำคัญของนโยบายต่างประเทศ คือ นโยบายที่ไม่ได้ประกาศ สำคัญกว่านโยบายที่ประกาศ นโยบายที่ Hormats ไม่ได้ประกาศ คือ วาระซ่อนเร้น หรือยุทธศาสตร์ที่แท้จริงของสหรัฐฯ ซึ่งผมมองว่า ยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของสหรัฐฯ คือ ยุทธศาสตร์การครองความเป็นเจ้าทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นั่นเอง
• อีกเรื่องที่อยากวิเคราะห์ คือ เรื่องหลักๆที่เป็นนโยบายเศรษฐกิจโลกของสหรัฐฯนั้น อาทิ การส่งเสริมการส่งออก ทรัพย์สินทางปัญญา และระบบเศรษฐกิจโลกที่เป็นธรรมนั้น ก็เป็นเรื่องที่สหรัฐฯจะได้ประโยชน์ทั้งสิ้น มีคำที่สหรัฐฯชอบใช้อยู่เรื่อย คือคำว่า “ต้อง fair” หรือต้องเป็นธรรม ผมมองว่า ระบบที่เป็นธรรม ก็คือ ระบบที่สหรัฐฯจะได้เปรียบ ส่วนระบบที่ไม่เป็นธรรม ก็คือ ระบบที่สหรัฐฯจะเสียเปรียบนั่นเอง
• กล่าวโดยสรุป นโยบายเศรษฐกิจโลกของสหรัฐฯที่แท้จริงนั้น คือ สหรัฐฯจะดำเนินยุทธศาสตร์แบบหลายช่องทาง
ในระดับโลก สหรัฐฯจะเน้นการสร้างสถาบันและกฎระเบียบในระดับโลก เพื่อเอื้อประโยชน์
แก่สหรัฐฯ โดยเฉพาะการผลักดันการเจรจา WTO รอบโดฮา และการครอบงำสถาบันเศรษฐกิจโลก คือ IMF และธนาคารโลก สำหรับ G7 G8 และ G20 ก็เป็นกลไกสำคัญของสหรัฐฯ ในการครอบงำการจัดการระเบียบเศรษฐกิจโลก
สำหรับในระดับภูมิภาคเอเชีย สหรัฐฯจะเน้นเอเปค เพราะสหรัฐฯได้ครอบงำเอเปคมาโดยตลอด และในขณะนี้ ก็ได้ผลักดัน TPP เพื่อมาแข่งกับ FTA ของอาเซียน
นอกจากนี้ สหรัฐฯยังดำเนินนโยบายผ่านช่องทางทวิภาคี ซึ่งในสมัยรัฐบาล Bush ได้ให้ความสำคัญกับการเจรจา FTA ทวิภาคี อย่างไรก็ตาม ในสมัยรัฐบาล Obama การเจรจา FTA ทวิภาคีได้ลดความสำคัญลง
10 ปี สงครามอัฟกานิสถาน
10 ปี สงครามอัฟกานิสถาน
ตีพิมพ์ใน สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ฉบับวันศุกร์ที่ 23 – วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน 2554
ในเดือนตุลาคม ปีนี้ จะครบ 10 ปี ของสงครามอัฟกานิสถาน ที่เริ่มด้วยการที่สหรัฐฯ ทำสงครามบุกยึดอัฟกานิสถาน ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ปี 2001 คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ จะวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์สงครามอัฟกานิสถาน ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน และวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคต ดังนี้
สงคราม 10 ปี
หลังเหตุการณ์ 11 กันยาฯ ปี 2001 รัฐบาล Bush ได้ระบุว่า การโจมตีสหรัฐฯในเหตุการณ์ 11 กันยาฯ นั้น เป็นฝีมือของ al-Qaeda มีผู้นำ คือ Bin Laden ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ในอัฟกานิสถาน รัฐบาลอัฟกานิสถาน ในขณะนั้น คือ รัฐบาล Taliban ซึ่งมีอุดมการณ์มุสลิมหัวรุนแรง จึงสนับสนุน al-Qaeda อย่างเต็มที่ ดังนั้น หลังจากรัฐบาล Bush ประกาศสงครามต่อต้านการก่อการร้าย สิ่งแรกที่ทำ คือ การบุกยึดอัฟกานิสถาน เพื่อโค่นรัฐบาล Taliban และกำจัด al-Qaeda และ Bin Laden
ในเดือนตุลาคม ปี 2001 สหรัฐฯได้เปิดฉากทำสงครามบุกอัฟกานิสถาน ซึ่งใช้เวลาไม่นาน ก็สามารถบุกยึดกรุง Kabul และโค่นรัฐบาล Taliban ลงได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สหรัฐฯยึดได้ คือ เมืองเปล่า ผู้นำและนักรบ Taliban ได้หนีกระจัดกระจายไปหมด รวมทั้งกลุ่ม al-Qaeda และ Bin Laden ก็อันตรธานหายไปด้วย
หลังจากนั้น อัฟกานิสถานสงบอยู่ได้ไม่นาน นักรบ Taliban และ Bin Laden ก็ฟื้นคืนชีพ โดยมีแหล่งซ่องสุมใหม่อยู่บริเวณพรมแดนอัฟกานิสถานและปากีสถาน และได้ทำสงครามกองโจร ต่อสู้กับกองกำลังนาโต้ สถานการณ์สงครามก็เลวร้ายลงเรื่อยๆ Taliban ได้ยึดครองพื้นที่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาในสมัยรัฐบาล Obama สหรัฐฯตัดสินใจเพิ่มกองกำลังทหารเข้าไป เพื่อที่จะเอาชนะ Taliban ให้ได้ แต่ก็ล้มเหลว ยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ คือ จะทำให้ Taliban อ่อนแอลง และทำให้กองกำลังของรัฐบาลอัฟกานิสถาน นำโดย Karzai เข้มแข็งขึ้น ซึ่งในที่สุด จะช่วยเหลือตัวเองได้ และสหรัฐฯจะได้ถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานได้ แต่ผลกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม คือ Taliban กลับเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่กองกำลังของ Karzai ก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ นอกจากนี้ ก็เกิดความแตกแยกในพันธมิตรนาโต้ หลายประเทศต้องการถอนทหารออกไป
ในปัจจุบัน สถานการณ์ด้านการทหารและการเมืองของอัฟกานิสถาน ได้ทรุดหนักลงเป็นอย่างมาก ชาวอัฟกานิสถานส่วนใหญ่ไม่สนับสนุนรัฐบาล Karzai และไม่พอใจเป็นอย่างมากที่รัฐบาล Karzai ไม่สามารถสร้างความสงบให้เกิดขึ้นได้ แต่กลับมีชาวอัฟกานิสถานจำนวนไม่น้อย ที่สนับสนุน Taliban ซึ่งพยายามโน้มน้าวให้ชาวอัฟกานิสถานเชื่อว่า สงครามครั้งนี้เป็นสงครามชาติ ที่ Taliban กำลังต่อสู้กับฝ่ายรุกราน คือ สหรัฐฯและนาโต้
นอกจากนี้ กองกำลังทหารของ Karzai ซึ่งเรียกว่า Afghan National Army หรือ ANA ก็อ่อนแอ มีความเปราะบางและความขัดแย้งในกองทัพ โดยความขัดแย้งที่ร้าวลึก คือ ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ หรือเผ่าพันธุ์ ซึ่งเป็นรากเหง้าของปัญหาในอัฟกานิสถานมาตั้งแต่อดีต นักรบ Taliban เป็นชนเผ่า Pashtuns ส่วนฝ่ายต่อต้าน Taliban เป็นชนเผ่าหลายเผ่าพันธุ์ทางเหนือของประเทศ คือ ชนเผ่า Tajiks และ Uzbeks ก่อนสงครามปี 2001 ก่อนที่สหรัฐฯจะไปบุกยึดอัฟกานิสถานนั้น ก็มีสงครามชาติพันธุ์อยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว คือเป็นสงครามระหว่างรัฐบาล Taliban ชนเผ่า Pashtuns กับพันธมิตรฝ่ายเหนือ ซึ่งเป็นชนเผ่า Tajiks และ Uzbeks เมื่อรัฐบาล Taliban ถูกโค่นอำนาจลง ชนเผ่า Pashtuns ก็ไม่มีบทบาทในรัฐบาลและในกองทัพ ซึ่งถูกครอบงำโดยชนเผ่าอื่น โดยผู้นำทางทหารของกองทัพอัฟกานิสถานในขณะนี้ เป็นชนเผ่า Tajiks และ Uzbeks เกือบทั้งหมด ความแตกแยกในกองทัพจึงพร้อมจะเกิดได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะหลังจากที่สหรัฐฯถอนทหารออกไป
ส่วนยุทธศาสตร์ของ Taliban ในขณะนี้ คือ เวลาเป็นของฝ่ายตน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเปิดฉากปฏิบัติการทางทหาร ยุทธศาสตร์หลัก คือ การรอ ปี 2014 ซึ่งเป็นปีที่สหรัฐฯประกาศจะถอนทหารออกไป ขณะนี้ ก็เพียงแต่บั่นทอนความมั่นคงของรัฐบาล Karzai ไปเรื่อยๆ
สำหรับสถานการณ์การสู้รบในต่างๆของอัฟกานิสถานนั้น ทางภาคใต้ สหรัฐฯได้เพิ่มกองกำลังทหารเข้าไป ทำให้ Taliban ต้องหยุดการรุกคืบ แต่สหรัฐฯก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะ Taliban ได้ สำหรับทางภาคตะวันออก ความรุนแรงได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ Taliban สามารถยึดพื้นที่คืนจากกองกำลังนาโต้ได้ และสำหรับทางภาคเหนือ Taliban ได้ปลุกระดมชนเผ่า Pashtuns ทางเหนือ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับฝ่าย Tajiks ให้มาร่วมรบกับฝ่ายตนได้มากขึ้นเรื่อยๆ
แนวโน้มสงครามในอนาคต
ปี 2014 จะเป็นปีชี้ชะตาของสงครามอัฟกานิสถาน เพราะเป็นปีที่สหรัฐฯประกาศจะถอนทหารออกไป และมีแนวโน้มว่า เงินให้ความช่วยเหลือแก่รัฐบาล Karzai ก็จะลดลงไปเป็นอย่างมาก เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ดังนั้น แนวโน้มในอนาคต สำหรับสงครามในอัฟกานิสถาน จึงค่อนข้างจะมืดมน โดยมีความเป็นไปได้ว่า อาจจะเกิดสงครามกลางเมือง อย่างที่เคยเกิด ในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ Taliban จะยึดกุมอำนาจรัฐไว้ได้
ความเป็นไปได้อีกทาง หลังปี 2014 คือ อาจจะมีการทำรัฐประหารโดยกองทัพ นำโดยชนเผ่า Tajiks ซึ่งอาจเข้ายึดอำนาจรัฐ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสงครามกลางเมือง
สำหรับความเป็นไปได้อีกทาง คือ การเจรจาระหว่างสหรัฐฯกับ Taliban อย่างไรก็ตาม หากมีการเจรจาจริง ท่าทีของ Taliban ก็คงจะไม่มีการอ่อนข้อให้กับสหรัฐฯ โดยสิ่งที่ Taliban ต้องการ คือ อำนาจรัฐ โดยหาก Taliban ยอมประนีประนอมกับรัฐบาล Karzai และยอม share อำนาจกับรัฐบาล Karzai ก็จะทำให้ Taliban เสีย credit ในสายตาของนักรบ Taliban และประชาชน ดังนั้น ยุทธศาสตร์ของ Taliban คือ อาจจะยอมเจรจา แต่จะไม่ยอมอ่อนข้อใดๆทั้งสิ้น โดยจะใช้วิธีเตะถ่วง รอเวลาให้ถึงปี 2014 เท่านั้นเอง
จากการวิเคราะห์แนวโน้มข้างต้น ทำให้เห็นว่า อนาคตของสงครามอัฟกานิสถาน ดูจะยืดเยื้อและดูไม่มีทางออก นอกจากชัยชนะของ Taliban ซึ่งในที่สุด หาก Taliban สามารถยึดกุมอำนาจรัฐ และกลับมาเป็นรัฐบาลได้ ก็จะเป็นการประกาศชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของฝ่ายมุสลิมหัวรุนแรง ที่มีชัยชนะต่ออภิมหาอำนาจสหรัฐและพันธมิตรตะวันตก
ตีพิมพ์ใน สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ฉบับวันศุกร์ที่ 23 – วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน 2554
ในเดือนตุลาคม ปีนี้ จะครบ 10 ปี ของสงครามอัฟกานิสถาน ที่เริ่มด้วยการที่สหรัฐฯ ทำสงครามบุกยึดอัฟกานิสถาน ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ปี 2001 คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ จะวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์สงครามอัฟกานิสถาน ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน และวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคต ดังนี้
สงคราม 10 ปี
หลังเหตุการณ์ 11 กันยาฯ ปี 2001 รัฐบาล Bush ได้ระบุว่า การโจมตีสหรัฐฯในเหตุการณ์ 11 กันยาฯ นั้น เป็นฝีมือของ al-Qaeda มีผู้นำ คือ Bin Laden ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ในอัฟกานิสถาน รัฐบาลอัฟกานิสถาน ในขณะนั้น คือ รัฐบาล Taliban ซึ่งมีอุดมการณ์มุสลิมหัวรุนแรง จึงสนับสนุน al-Qaeda อย่างเต็มที่ ดังนั้น หลังจากรัฐบาล Bush ประกาศสงครามต่อต้านการก่อการร้าย สิ่งแรกที่ทำ คือ การบุกยึดอัฟกานิสถาน เพื่อโค่นรัฐบาล Taliban และกำจัด al-Qaeda และ Bin Laden
ในเดือนตุลาคม ปี 2001 สหรัฐฯได้เปิดฉากทำสงครามบุกอัฟกานิสถาน ซึ่งใช้เวลาไม่นาน ก็สามารถบุกยึดกรุง Kabul และโค่นรัฐบาล Taliban ลงได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สหรัฐฯยึดได้ คือ เมืองเปล่า ผู้นำและนักรบ Taliban ได้หนีกระจัดกระจายไปหมด รวมทั้งกลุ่ม al-Qaeda และ Bin Laden ก็อันตรธานหายไปด้วย
หลังจากนั้น อัฟกานิสถานสงบอยู่ได้ไม่นาน นักรบ Taliban และ Bin Laden ก็ฟื้นคืนชีพ โดยมีแหล่งซ่องสุมใหม่อยู่บริเวณพรมแดนอัฟกานิสถานและปากีสถาน และได้ทำสงครามกองโจร ต่อสู้กับกองกำลังนาโต้ สถานการณ์สงครามก็เลวร้ายลงเรื่อยๆ Taliban ได้ยึดครองพื้นที่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาในสมัยรัฐบาล Obama สหรัฐฯตัดสินใจเพิ่มกองกำลังทหารเข้าไป เพื่อที่จะเอาชนะ Taliban ให้ได้ แต่ก็ล้มเหลว ยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ คือ จะทำให้ Taliban อ่อนแอลง และทำให้กองกำลังของรัฐบาลอัฟกานิสถาน นำโดย Karzai เข้มแข็งขึ้น ซึ่งในที่สุด จะช่วยเหลือตัวเองได้ และสหรัฐฯจะได้ถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานได้ แต่ผลกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม คือ Taliban กลับเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่กองกำลังของ Karzai ก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ นอกจากนี้ ก็เกิดความแตกแยกในพันธมิตรนาโต้ หลายประเทศต้องการถอนทหารออกไป
ในปัจจุบัน สถานการณ์ด้านการทหารและการเมืองของอัฟกานิสถาน ได้ทรุดหนักลงเป็นอย่างมาก ชาวอัฟกานิสถานส่วนใหญ่ไม่สนับสนุนรัฐบาล Karzai และไม่พอใจเป็นอย่างมากที่รัฐบาล Karzai ไม่สามารถสร้างความสงบให้เกิดขึ้นได้ แต่กลับมีชาวอัฟกานิสถานจำนวนไม่น้อย ที่สนับสนุน Taliban ซึ่งพยายามโน้มน้าวให้ชาวอัฟกานิสถานเชื่อว่า สงครามครั้งนี้เป็นสงครามชาติ ที่ Taliban กำลังต่อสู้กับฝ่ายรุกราน คือ สหรัฐฯและนาโต้
นอกจากนี้ กองกำลังทหารของ Karzai ซึ่งเรียกว่า Afghan National Army หรือ ANA ก็อ่อนแอ มีความเปราะบางและความขัดแย้งในกองทัพ โดยความขัดแย้งที่ร้าวลึก คือ ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ หรือเผ่าพันธุ์ ซึ่งเป็นรากเหง้าของปัญหาในอัฟกานิสถานมาตั้งแต่อดีต นักรบ Taliban เป็นชนเผ่า Pashtuns ส่วนฝ่ายต่อต้าน Taliban เป็นชนเผ่าหลายเผ่าพันธุ์ทางเหนือของประเทศ คือ ชนเผ่า Tajiks และ Uzbeks ก่อนสงครามปี 2001 ก่อนที่สหรัฐฯจะไปบุกยึดอัฟกานิสถานนั้น ก็มีสงครามชาติพันธุ์อยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว คือเป็นสงครามระหว่างรัฐบาล Taliban ชนเผ่า Pashtuns กับพันธมิตรฝ่ายเหนือ ซึ่งเป็นชนเผ่า Tajiks และ Uzbeks เมื่อรัฐบาล Taliban ถูกโค่นอำนาจลง ชนเผ่า Pashtuns ก็ไม่มีบทบาทในรัฐบาลและในกองทัพ ซึ่งถูกครอบงำโดยชนเผ่าอื่น โดยผู้นำทางทหารของกองทัพอัฟกานิสถานในขณะนี้ เป็นชนเผ่า Tajiks และ Uzbeks เกือบทั้งหมด ความแตกแยกในกองทัพจึงพร้อมจะเกิดได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะหลังจากที่สหรัฐฯถอนทหารออกไป
ส่วนยุทธศาสตร์ของ Taliban ในขณะนี้ คือ เวลาเป็นของฝ่ายตน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเปิดฉากปฏิบัติการทางทหาร ยุทธศาสตร์หลัก คือ การรอ ปี 2014 ซึ่งเป็นปีที่สหรัฐฯประกาศจะถอนทหารออกไป ขณะนี้ ก็เพียงแต่บั่นทอนความมั่นคงของรัฐบาล Karzai ไปเรื่อยๆ
สำหรับสถานการณ์การสู้รบในต่างๆของอัฟกานิสถานนั้น ทางภาคใต้ สหรัฐฯได้เพิ่มกองกำลังทหารเข้าไป ทำให้ Taliban ต้องหยุดการรุกคืบ แต่สหรัฐฯก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะ Taliban ได้ สำหรับทางภาคตะวันออก ความรุนแรงได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ Taliban สามารถยึดพื้นที่คืนจากกองกำลังนาโต้ได้ และสำหรับทางภาคเหนือ Taliban ได้ปลุกระดมชนเผ่า Pashtuns ทางเหนือ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับฝ่าย Tajiks ให้มาร่วมรบกับฝ่ายตนได้มากขึ้นเรื่อยๆ
แนวโน้มสงครามในอนาคต
ปี 2014 จะเป็นปีชี้ชะตาของสงครามอัฟกานิสถาน เพราะเป็นปีที่สหรัฐฯประกาศจะถอนทหารออกไป และมีแนวโน้มว่า เงินให้ความช่วยเหลือแก่รัฐบาล Karzai ก็จะลดลงไปเป็นอย่างมาก เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ดังนั้น แนวโน้มในอนาคต สำหรับสงครามในอัฟกานิสถาน จึงค่อนข้างจะมืดมน โดยมีความเป็นไปได้ว่า อาจจะเกิดสงครามกลางเมือง อย่างที่เคยเกิด ในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ Taliban จะยึดกุมอำนาจรัฐไว้ได้
ความเป็นไปได้อีกทาง หลังปี 2014 คือ อาจจะมีการทำรัฐประหารโดยกองทัพ นำโดยชนเผ่า Tajiks ซึ่งอาจเข้ายึดอำนาจรัฐ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสงครามกลางเมือง
สำหรับความเป็นไปได้อีกทาง คือ การเจรจาระหว่างสหรัฐฯกับ Taliban อย่างไรก็ตาม หากมีการเจรจาจริง ท่าทีของ Taliban ก็คงจะไม่มีการอ่อนข้อให้กับสหรัฐฯ โดยสิ่งที่ Taliban ต้องการ คือ อำนาจรัฐ โดยหาก Taliban ยอมประนีประนอมกับรัฐบาล Karzai และยอม share อำนาจกับรัฐบาล Karzai ก็จะทำให้ Taliban เสีย credit ในสายตาของนักรบ Taliban และประชาชน ดังนั้น ยุทธศาสตร์ของ Taliban คือ อาจจะยอมเจรจา แต่จะไม่ยอมอ่อนข้อใดๆทั้งสิ้น โดยจะใช้วิธีเตะถ่วง รอเวลาให้ถึงปี 2014 เท่านั้นเอง
จากการวิเคราะห์แนวโน้มข้างต้น ทำให้เห็นว่า อนาคตของสงครามอัฟกานิสถาน ดูจะยืดเยื้อและดูไม่มีทางออก นอกจากชัยชนะของ Taliban ซึ่งในที่สุด หาก Taliban สามารถยึดกุมอำนาจรัฐ และกลับมาเป็นรัฐบาลได้ ก็จะเป็นการประกาศชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของฝ่ายมุสลิมหัวรุนแรง ที่มีชัยชนะต่ออภิมหาอำนาจสหรัฐและพันธมิตรตะวันตก
ระเบียบเศรษฐกิจโลก ปี 2011
ระเบียบเศรษฐกิจโลก ปี 2011
ตีพิมพ์ใน สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ฉบับวันศุกร์ที่ 2 - วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน 2554
ปัจจุบัน กำลังมีแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ของระเบียบหรือระบบเศรษฐกิจโลก คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ จะวิเคราะห์ถึงระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ของปี 2011 ดังนี้
มหาอำนาจเก่า
ระเบียบเศรษฐกิจโลกในอดีต ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ได้ถูกสร้างขึ้นโดยสหรัฐฯ โดยมีชื่อว่า Breton Woods System
แต่นับตั้งแต่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 ซึ่งเป็นวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่รุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปี และล่าสุด หลังจากเกิดวิกฤตหนี้สหรัฐฯ และยุโรป ก็เลยส่งผลกระทบอย่างมากต่อระเบียบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน
สำหรับสหรัฐฯ กำลังประสบภาวะวิกฤตหนี้อย่างหนัก สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ามาเป็นเวลายาวนานถึง 30 ปี และขณะนี้กลายเป็นประเทศที่มีหนี้สินมากที่สุดในโลก มีมูลค่าสูงถึง 23 ล้านล้านเหรียญ สหรัฐฯ กู้เป็นจำนวนเงิน 500,000 ล้านเหรียญต่อปี สหรัฐฯ กำลังประสบกับความล้มเหลวของนโยบายทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ อิทธิพลของสหรัฐฯ ในเวทีเจรจาเศรษฐกิจโลก ก็ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะในเวที WTO สาเหตุสำคัญมาจากการเสื่อมลงเรื่อย ๆ ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงใหม่ ๆ เศรษฐกิจสหรัฐฯ เคยใหญ่เป็นครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจโลก แต่ปัจจุบันก็ลดลงเหลือเพียงไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ สำหรับการส่งออก สหรัฐฯ ก็ตกมาเป็นอันดับ 3 โดยมีจีน และเยอรมนีเป็นผู้นำการส่งออกของโลก การผงาดขึ้นมาของจีนทางเศรษฐกิจ ก็จะทำให้ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า จีนจะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ แม้ว่าเงินดอลลาห์สหรัฐฯ จะยังเป็นเงินสกุลหลักของโลก แต่เงินยูโรก็กำลังเป็นคู่แข่งที่สำคัญ และในอนาคต เงินหยวนของจีนก็จะกลายเป็นคู่แข่งอีกด้วย
ระเบียบโลกในศตวรรษที่ 21 แตกต่างจากระเบียบโลกในศตวรรษที่ 20 เป็นอย่างมาก พลวัตทางเศรษฐกิจได้เปลี่ยนแปลงและพลิกผันไปอย่างรวดเร็ว โดยขณะนี้ประเทศอุตสาหกรรม ประเทศร่ำรวย ซึ่งเคยเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลก ก็กำลังประสบกับวิกฤต ทั้งสหรัฐฯ ยุโรปตะวันตก และญี่ปุ่น
สำหรับสหภาพยุโรปหรือ EU ซึ่ง GDP รวมกันแล้ว ถือเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก GDP ใหญ่กว่าสหรัฐฯ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ EU ตอนนี้ก็กำลังประสบกับวิกฤตการเงินและหนี้สินครั้งใหญ่ สหภาพการเงินของ EU ก็ยังไม่สมบูรณ์ ถึงแม้ในด้านเงินตรา จะมีเงินสกุลร่วมคือ เงินยูโร และมีธนาคารกลางยุโรปแล้ว แต่ EU ก็ยังไม่ใช่สหภาพเศรษฐกิจที่แท้จริง โดยยังไม่มีกลไกในการกำหนดนโยบายทางการเงิน วิกฤตการเงินที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2008 มาจนถึงปัจจุบัน กำลังเป็นภัยคุกคามต่อบูรณาการทางเศรษฐกิจของ EU วิกฤตหนี้ของ Euro zone ได้โจมตีสมาชิกที่อ่อนแอที่สุด คือ กรีซ ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส และขณะนี้กำลังลุกลามบานปลายเข้าสู่สเปนและอิตาลี
สำหรับญี่ปุ่นก็ยิ่งหนักหนาสาหัสกว่าสหรัฐฯ และ EU เสียอีก แทบไม่น่าเชื่อว่า ญี่ปุ่นมีหนี้รัฐบาลสูงถึง 200 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ญี่ปุ่น โดยญี่ปุ่นประสบปัญหาเศรษฐกิจมานานตั้งแต่ฟองสบู่แตกเมื่อ 20 ปีที่แล้ว นโยบายของรัฐบาลก็ประสบความล้มเหลวในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นจึงประสบกับภาวะเศรษฐกิจซบเซาเป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษ
นอกจากนี้ กลไกประสานนโยบายของกลุ่มมหาอำนาจเศรษฐกิจเก่า คือ G7 และ G8 ก็ไม่สามารถเล่นบทบาทเป็นผู้นำในการจัดการระเบียบเศรษฐกิจโลกได้อีกต่อไป ทั้งนี้เพราะขาดความชอบธรรมในการเป็นเวทีแก้ปัญหาเศรษฐกิจโลก โดย G7 และ G8 ไม่ได้สะท้อนโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบัน
วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 และวิกฤตหนี้ตะวันตกในปัจจุบัน ทำให้อำนาจทางเศรษฐกิจของตะวันตก ตกต่ำลงอย่างมาก ได้ทำลายชื่อเสียงของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำทางเศรษฐกิจโลก ถือเป็นความล้มเหลวทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งใหญ่ของตะวันตก ความอ่อนแอทางเศรษฐกิจของตะวันตกในขณะนี้ได้ชี้ชัดว่า ระเบียบเศรษฐกิจโลกกำลังจะแปรเปลี่ยนจากระบบหนึ่งขั้วอำนาจ ที่สหรัฐฯ เป็นศูนย์กลาง ไปเป็นระบบหลายขั้วอำนาจ ที่มีมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่อื่น ๆ ที่ไม่ใช่ตะวันตกมีบทบาทมากขึ้น
มหาอำนาจใหม่
ดังนั้น ระเบียบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน กำลังจะถูกกำหนดขึ้นโดยการผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งขณะนี้ขนาดเศรษฐกิจของมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่มีสัดส่วนคิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ของเศรษฐกิจโลก และในขณะที่มหาอำนาจเก่ากำลังประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนัก แต่มหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะจีน อินเดีย ประเทศในเอเชีย ลาตินอเมริกา แอฟริกา และตะวันออกกลาง เศรษฐกิจกลับเจริญเติบโตอย่างร้อนแรง มหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่ามหาอำนาจเก่าถึง 3 เท่า ดังนั้น สัดส่วนเศรษฐกิจของกลุ่มนี้ต่อเศรษฐกิจโลกก็เพิ่มขึ้นทุกปี และในอีก 10 ปีข้างหน้า อาจจะเพิ่มขึ้นเป็นถึง 2 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลก การค้าขาย และการลงทุน ระหว่างกลุ่มประเทศเหล่านี้ด้วยกันเองก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้กลุ่มประเทศมหาอำนาจใหม่พึ่งพาเศรษฐกิจของตะวันตกลดลงเรื่อย ๆ และก็จะสามารถ หลีกเลี่ยงผลกระทบในทางลบจากวิกฤตเศรษฐกิจของมหาอำนาจเก่าได้ มหาอำนาจใหม่ขณะนี้มีถึง 8 ประเทศที่มี GDP เกินกว่า 1 ล้านล้านเหรียญ ประเทศเหล่านี้ได้แก่ จีน อินเดีย รัสเซีย บราซิล เกาหลี เม็กซิโก และในอนาคตก็จะมี ตุรกี และอินโดนีเซียด้วย
และที่เป็นการพลิกผันกลับตาลปัตรครั้งใหญ่ก็คือ การที่ประเทศยากจนกลายเป็นเจ้าหนี้ของประเทศร่ำรวย จีนกลายเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่น ๆ ก็มีเงินทุนสำรองมหาศาลโดยเฉพาะที่เป็นเงินดอลลาร์ เกินกว่า 1 แสนล้านเหรียญ ประเทศเหล่านี้ คือ รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย บราซิล เกาหลี อินเดีย สิงคโปร์ ไทย อัลจีเรีย เม็กซิโก และมาเลเซีย
The rise of Asia หรือการผงาดขึ้นมาของเอเชีย จะทำให้เอเชียกลายเป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจโลก โดยมีจีนซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศที่ตามจีนมาติด ๆ เป็นแกนนำ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระเบียบเศรษฐกิจโลกหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ คือ การที่ G20 ได้กลายเป็นกลไกหลัก ในการจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจจะมาแทน G8 ในอนาคต
จะเห็นได้ว่า ระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในปี 2011 นี้ ได้พลิกโฉมเศรษฐกิจโลก จากในอดีตไปเป็นอย่างมาก ซึ่งเราคงจะต้องจับตาวิเคราะห์ดูกันต่อว่า ในอนาคต เศรษฐกิจโลกจะวิวัฒนาการไปอย่างไรต่อไป
ตีพิมพ์ใน สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ฉบับวันศุกร์ที่ 2 - วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน 2554
ปัจจุบัน กำลังมีแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ของระเบียบหรือระบบเศรษฐกิจโลก คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ จะวิเคราะห์ถึงระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ของปี 2011 ดังนี้
มหาอำนาจเก่า
ระเบียบเศรษฐกิจโลกในอดีต ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ได้ถูกสร้างขึ้นโดยสหรัฐฯ โดยมีชื่อว่า Breton Woods System
แต่นับตั้งแต่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 ซึ่งเป็นวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่รุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปี และล่าสุด หลังจากเกิดวิกฤตหนี้สหรัฐฯ และยุโรป ก็เลยส่งผลกระทบอย่างมากต่อระเบียบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน
สำหรับสหรัฐฯ กำลังประสบภาวะวิกฤตหนี้อย่างหนัก สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ามาเป็นเวลายาวนานถึง 30 ปี และขณะนี้กลายเป็นประเทศที่มีหนี้สินมากที่สุดในโลก มีมูลค่าสูงถึง 23 ล้านล้านเหรียญ สหรัฐฯ กู้เป็นจำนวนเงิน 500,000 ล้านเหรียญต่อปี สหรัฐฯ กำลังประสบกับความล้มเหลวของนโยบายทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ อิทธิพลของสหรัฐฯ ในเวทีเจรจาเศรษฐกิจโลก ก็ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะในเวที WTO สาเหตุสำคัญมาจากการเสื่อมลงเรื่อย ๆ ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงใหม่ ๆ เศรษฐกิจสหรัฐฯ เคยใหญ่เป็นครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจโลก แต่ปัจจุบันก็ลดลงเหลือเพียงไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ สำหรับการส่งออก สหรัฐฯ ก็ตกมาเป็นอันดับ 3 โดยมีจีน และเยอรมนีเป็นผู้นำการส่งออกของโลก การผงาดขึ้นมาของจีนทางเศรษฐกิจ ก็จะทำให้ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า จีนจะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ แม้ว่าเงินดอลลาห์สหรัฐฯ จะยังเป็นเงินสกุลหลักของโลก แต่เงินยูโรก็กำลังเป็นคู่แข่งที่สำคัญ และในอนาคต เงินหยวนของจีนก็จะกลายเป็นคู่แข่งอีกด้วย
ระเบียบโลกในศตวรรษที่ 21 แตกต่างจากระเบียบโลกในศตวรรษที่ 20 เป็นอย่างมาก พลวัตทางเศรษฐกิจได้เปลี่ยนแปลงและพลิกผันไปอย่างรวดเร็ว โดยขณะนี้ประเทศอุตสาหกรรม ประเทศร่ำรวย ซึ่งเคยเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลก ก็กำลังประสบกับวิกฤต ทั้งสหรัฐฯ ยุโรปตะวันตก และญี่ปุ่น
สำหรับสหภาพยุโรปหรือ EU ซึ่ง GDP รวมกันแล้ว ถือเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก GDP ใหญ่กว่าสหรัฐฯ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ EU ตอนนี้ก็กำลังประสบกับวิกฤตการเงินและหนี้สินครั้งใหญ่ สหภาพการเงินของ EU ก็ยังไม่สมบูรณ์ ถึงแม้ในด้านเงินตรา จะมีเงินสกุลร่วมคือ เงินยูโร และมีธนาคารกลางยุโรปแล้ว แต่ EU ก็ยังไม่ใช่สหภาพเศรษฐกิจที่แท้จริง โดยยังไม่มีกลไกในการกำหนดนโยบายทางการเงิน วิกฤตการเงินที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2008 มาจนถึงปัจจุบัน กำลังเป็นภัยคุกคามต่อบูรณาการทางเศรษฐกิจของ EU วิกฤตหนี้ของ Euro zone ได้โจมตีสมาชิกที่อ่อนแอที่สุด คือ กรีซ ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส และขณะนี้กำลังลุกลามบานปลายเข้าสู่สเปนและอิตาลี
สำหรับญี่ปุ่นก็ยิ่งหนักหนาสาหัสกว่าสหรัฐฯ และ EU เสียอีก แทบไม่น่าเชื่อว่า ญี่ปุ่นมีหนี้รัฐบาลสูงถึง 200 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ญี่ปุ่น โดยญี่ปุ่นประสบปัญหาเศรษฐกิจมานานตั้งแต่ฟองสบู่แตกเมื่อ 20 ปีที่แล้ว นโยบายของรัฐบาลก็ประสบความล้มเหลวในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นจึงประสบกับภาวะเศรษฐกิจซบเซาเป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษ
นอกจากนี้ กลไกประสานนโยบายของกลุ่มมหาอำนาจเศรษฐกิจเก่า คือ G7 และ G8 ก็ไม่สามารถเล่นบทบาทเป็นผู้นำในการจัดการระเบียบเศรษฐกิจโลกได้อีกต่อไป ทั้งนี้เพราะขาดความชอบธรรมในการเป็นเวทีแก้ปัญหาเศรษฐกิจโลก โดย G7 และ G8 ไม่ได้สะท้อนโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบัน
วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 และวิกฤตหนี้ตะวันตกในปัจจุบัน ทำให้อำนาจทางเศรษฐกิจของตะวันตก ตกต่ำลงอย่างมาก ได้ทำลายชื่อเสียงของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำทางเศรษฐกิจโลก ถือเป็นความล้มเหลวทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งใหญ่ของตะวันตก ความอ่อนแอทางเศรษฐกิจของตะวันตกในขณะนี้ได้ชี้ชัดว่า ระเบียบเศรษฐกิจโลกกำลังจะแปรเปลี่ยนจากระบบหนึ่งขั้วอำนาจ ที่สหรัฐฯ เป็นศูนย์กลาง ไปเป็นระบบหลายขั้วอำนาจ ที่มีมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่อื่น ๆ ที่ไม่ใช่ตะวันตกมีบทบาทมากขึ้น
มหาอำนาจใหม่
ดังนั้น ระเบียบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน กำลังจะถูกกำหนดขึ้นโดยการผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งขณะนี้ขนาดเศรษฐกิจของมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่มีสัดส่วนคิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ของเศรษฐกิจโลก และในขณะที่มหาอำนาจเก่ากำลังประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนัก แต่มหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะจีน อินเดีย ประเทศในเอเชีย ลาตินอเมริกา แอฟริกา และตะวันออกกลาง เศรษฐกิจกลับเจริญเติบโตอย่างร้อนแรง มหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่ามหาอำนาจเก่าถึง 3 เท่า ดังนั้น สัดส่วนเศรษฐกิจของกลุ่มนี้ต่อเศรษฐกิจโลกก็เพิ่มขึ้นทุกปี และในอีก 10 ปีข้างหน้า อาจจะเพิ่มขึ้นเป็นถึง 2 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลก การค้าขาย และการลงทุน ระหว่างกลุ่มประเทศเหล่านี้ด้วยกันเองก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้กลุ่มประเทศมหาอำนาจใหม่พึ่งพาเศรษฐกิจของตะวันตกลดลงเรื่อย ๆ และก็จะสามารถ หลีกเลี่ยงผลกระทบในทางลบจากวิกฤตเศรษฐกิจของมหาอำนาจเก่าได้ มหาอำนาจใหม่ขณะนี้มีถึง 8 ประเทศที่มี GDP เกินกว่า 1 ล้านล้านเหรียญ ประเทศเหล่านี้ได้แก่ จีน อินเดีย รัสเซีย บราซิล เกาหลี เม็กซิโก และในอนาคตก็จะมี ตุรกี และอินโดนีเซียด้วย
และที่เป็นการพลิกผันกลับตาลปัตรครั้งใหญ่ก็คือ การที่ประเทศยากจนกลายเป็นเจ้าหนี้ของประเทศร่ำรวย จีนกลายเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่น ๆ ก็มีเงินทุนสำรองมหาศาลโดยเฉพาะที่เป็นเงินดอลลาร์ เกินกว่า 1 แสนล้านเหรียญ ประเทศเหล่านี้ คือ รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย บราซิล เกาหลี อินเดีย สิงคโปร์ ไทย อัลจีเรีย เม็กซิโก และมาเลเซีย
The rise of Asia หรือการผงาดขึ้นมาของเอเชีย จะทำให้เอเชียกลายเป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจโลก โดยมีจีนซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศที่ตามจีนมาติด ๆ เป็นแกนนำ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระเบียบเศรษฐกิจโลกหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ คือ การที่ G20 ได้กลายเป็นกลไกหลัก ในการจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจจะมาแทน G8 ในอนาคต
จะเห็นได้ว่า ระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในปี 2011 นี้ ได้พลิกโฉมเศรษฐกิจโลก จากในอดีตไปเป็นอย่างมาก ซึ่งเราคงจะต้องจับตาวิเคราะห์ดูกันต่อว่า ในอนาคต เศรษฐกิจโลกจะวิวัฒนาการไปอย่างไรต่อไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)