Follow prapat1909 on Twitter

วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

RCEP vs TPP



RCEP vs TPP


ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2556


ขณะนี้ กำลังมีแผนการจัดตั้ง FTA ในภูมิภาค ซึ่ง FTA ตัวแรกเป็น FTA ที่มีอาเซียนเป็นแกน มีชื่อว่า RCEP ส่วน FTA ตัวที่สอง มี สหรัฐฯ เป็นแกน ชื่อว่า TPP คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้ จะวิเคราะห์ FTA ทั้งสอง และจะนำไปสู่บทสรุปที่ว่า ไทยและอาเซียนควรจะมีท่าทีอย่างไร


RCEP
ในการประชุมสุดยอดอาเซียนเมื่อปลายปีที่แล้ว ได้มีการจัดทำปฏิญญาร่วม ระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา 6 ประเทศ ที่มี FTA กับอาเซียน ได้แก่  จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยจะมีการเจรจา FTA ตัวใหม่ ระหว่าง 16 ประเทศ ที่มีชื่อว่า Regional Comprehensive Economic Partnership หรือ RCEP

หากเกิด FTA ระหว่าง 16 ประเทศได้จริง จะทำให้ RCEP กลายเป็น FTA ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยจะมีประชากรรวมกันกว่า 3000 ล้านคน คือ ประมาณ 45% ของประชากรโลก และมี GDP รวมกัน เกือบ 20 ล้านล้านเหรียญ หรือประมาณ 1 ใน 3 ของ GDP โลก

โดยการเจรจา RCEP จะตั้งอยู่บนหลักการที่จะเป็น FTA ที่มีคุณภาพสูงกว่า FTA ASEAN+1 และ RCEP จะมีความยืดหยุ่นสูง โดยจะมีหลักการให้การปฏิบัติที่เป็นพิเศษและแตกต่าง รวมทั้งประเทศคู่เจรจาของอาเซียนที่ไม่เข้าร่วม RCEP ในตอนเริ่มต้น ก็สามารถเข้าร่วมเจรจาในภายหลังได้ นอกจากนั้น RCEP ยังเปิดกว้าง พร้อมที่จะให้ประเทศอื่นๆ สามารถเข้าร่วมในภายหลังได้ด้วย RCEP จึงเป็นความพยายามของอาเซียนที่จะบูรณาการ FTA ที่มีอยู่ในกรอบอาเซียน + 1 ทั้ง 5ฉบับ ให้กลายเป็นฉบับเดียว

ข้อดีของ RCEP ต่อ อาเซียนและไทย มีดังนี้

1. RCEP จะเป็น FTA ที่ใหญ่ที่สุดในโลก จะครอบคลุมประเทศคู่ค้าสำคัญของอาเซียนและไทย โดยเฉพาะ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลีใต้ และ ออสเตรเลีย ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของการค้าในภูมิภาค ไทยและอาเซียนน่าจะได้ประโยชน์จากการส่งออกไปตลาดประเทศเหล่านี้ รวมทั้งได้ประโยชน์จากบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาคในเชิงลึกมากขึ้น
2. RCEP จะทำให้อาเซียนกลับมามีบทบาทนำในบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาค คือจะทำให้อาเซียนเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ซึ่งจะมาแข่งกับ TPP ซึ่งจะเป็น FTA ที่สหรัฐฯจะเป็นแกนกลางแข่งกับอาเซียน นอกจากนี้ RCEP จะแก้ปัญหาความขัดแย้งในอดีตที่ยืดเยื้อมาหลายปี คือ ความขัดแย้งระหว่างจีนกับญี่ปุ่น โดยจีนต้องการผลักดัน FTA ในกรอบอาเซียน+3 ซึ่งจะมีชื่อว่า East Asia Free Trade Area ในขณะที่ญี่ปุ่นต้องการผลักดัน FTA ในกรอบอาเซียน+6 ที่มีชื่อว่า Comprehensive Economic Partnership in East Asia หรือ CEPEA
3. อาเซียนตั้งเป้าที่จะเจรจาข้อตกลง RCEP ให้เสร็จในปี 2015 ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง เพราะไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ เพราะอาเซียนมี FTA กับประเทศคู่เจรจาอยู่แล้ว 5 ฉบับ ก้าวต่อไปคือ การเจรจาเพื่อบูรณาการ FTA ทั้ง 5 ฉบับ ให้กลายเป็นฉบับเดียว ซึ่งไม่น่ายุ่งยาก ในขณะที่ TPP ซึ่งเป็นคู่แข่งของ RCEP การเจรจาคงจะยุ่งยากมาก
4. การเจรจา RCEP มีความยืดหยุ่นสูง เพราะเปิดกว้าง ที่จะให้ประเทศที่ไม่ได้เข้าร่วมเจรจาในตอนแรก ได้เข้าร่วมภายหลังได้ ทั้งประเทศคู่เจรจาที่มี FTA อยู่แล้ว และรวมทั้งประเทศอื่นๆด้วย RCEP จึงเป็น FTA ที่ไม่ได้ปิดกั้นใคร ไม่เหมือน TPP ที่พยายามแบ่งพรรคแบ่งพวก โดยเฉพาะการพยายามกีดกันไม่ให้จีนเข้าร่วม TPP


TPP
FTA ในภูมิภาคที่จะมาเป็นคู่แข่งของ RCEP คือ TPPโดยมีสหรัฐฯเป็นผู้นำ รัฐบาล Obama พยายามผลักดัน TPP เป็นอย่างมาก โดยบอกว่า TPP จะเป็น FTA ที่มีมาตรฐานสูง และก้าวหน้ามากที่สุดในโลก จะขยายจำนวนสมาชิกให้ครอบคลุมประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ซึ่งในที่สุด TPP จะเป็น FTA ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สหรัฐฯ ต้องการที่จะเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคโดยใช้ TPP เป็นเครื่องมือสำคัญ และ TPP จะเป็นตัวกันการรวมกลุ่มของประเทศในภูมิภาคโดยไม่มีสหรัฐฯ นอกจากนี้ TPP ยังเป็นเครื่องมือในการโดดเดี่ยวและปิดล้อมจีนทางเศรษฐกิจด้วย



ข้อเสียของ TPP ต่ออาเซียนและไทยมีดังนี้

1. TPP จะเป็น FTA ที่มีมาตรฐานสูงและมีความเข้มข้นมาก จะมีการเจรจาเปิดเสรี ถึง 26 สาขา ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในหลายสาขา  โดยเฉพาะภาคบริการ มาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อม และทรัพย์สินทางปัญญา แม้ว่าไทยอาจจะได้ประโยชน์บ้าง จากการส่งสินค้าบางตัวไปสหรัฐฯ แต่ก็มีหลายสาขาที่เราจะเสียเปรียบ ซึ่งโดยรวมแล้วไม่น่าจะคุ้ม
นอกจากนี้ จากประสบประการณ์การเจรจา FTA ไทยกับสหรัฐฯ ในอดีต ชี้ให้เห็นว่า จะเกิดอะไรขึ้น หากไทยโดดเข้าร่วมเจรจา TPP เต็มตัว โดยเฉพาะภาคประชาสังคมจะมีความอ่อนไหวในเรื่องนี้มากโดยเฉพาะในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา เรื่องสิทธิบัตรยา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคประชาสังคมของไทยในวงกว้าง โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเข้าถึงยา นอกจากนี้ ในการเปิดตลาดการค้าภาคบริการโดยเฉพาะในภาคการเงิน สหรัฐฯก็มีระบบการเงินที่แข็งแกร่งกว่าไทยมาก
2. TPP จะกระทบต่อแผนการการจัดตั้ง FTA ในกรอบ RCEP ดังกล่าวข้างต้น โดย TPP จะเป็นคู่แข่งสำคัญของ RCEP เพราะ FTA ทั้งสองตัวตั้งเป้าที่จะเป็น FTA ของภูมิภาคโดยรวม ดังนั้น RCEP และ TPP จะแข่งขันกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หาก TPP ประสบความสำเร็จในการบรรลุข้อตกลงปลายปีนี้ และหากดึงญี่ปุ่นเข้าร่วมด้วย ก็จะทำให้ RCEP กระเทือน แต่ในทางกลับกัน หาก RCEP ประสบความก้าวหน้าในการเจรจา ก็จะทำให้แผนการจัดตั้ง TPP ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นเดียวกัน
3. TPP เป็น FTA ที่มีลักษณะของการกีดกั้น แบ่งพรรคแบ่งพวก สหรัฐฯ พยายามบีบคั้นประเทศต่างๆให้เข้าร่วม ขณะเดียวกัน ก็กีดกันไม่ให้จีนเข้าร่วม TPP จึงเป็นยุทธศาสตร์การโดดเดี่ยวและปิดล้อมจีนทางเศรษฐกิจ ดังนั้น TPP จะทำให้ประเทศต่างๆในภูมิภาคมีความลำบากใจ เพราะประเทศเหล่านี้ มีปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีนอย่างแน่นแฟ้น จีนก็มีความเชื่อว่า เงื่อนไขต่างๆ ที่ใส่ไว้ใน TPP เป็นเงื่อนไขที่สร้างขึ้นมาเพื่อที่จะกีดกันไม่ให้จีนเข้าร่วม แม้กระทั่งสื่ออเมริกาเอง ก็มองว่า TPP เป็นเครื่องมือในการถ่วงดุลอำนาจจีนทางเศรษฐกิจ ประธานาธิบดี Obama เอง ก็ยังกล่าวในช่วงหาเสียงการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปลายปีที่แล้วว่า จะส่งเสริม TPP  เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการกดดันจีน ให้จีนปฏิบัติตามกติกาการค้าของโลก ดังนั้น หากไทยรีบตัดสินใจโดดเข้าร่วม TPP ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนได้
4.ข้อเสียประการที่ 4 ของ TPP คือ TPP จะลดบทบาทของอาเซียนในการเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาค นอกจากนี้ TPP ยังแบ่งแยกอาเซียน ทำให้อาเซียนแตก เพราะขณะนี้มี 4 ประเทศอาเซียนได้โดดเข้าร่วม TPP ไปแล้ว คือ เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และบรูไน และประเทศไทยเอง ในตอนที่โอบามามาเยือนไทย รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ได้แสดงความสนใจที่จะโดดเข้าร่วม TPP ด้วย
5. ข้อเสียประการที่ 5 ของ TPP คือ การเจรจา TPP ที่จะบรรลุข้อตกลง ดูมีความเป็นไปได้ยาก ถึงแม้ว่า RCEP จะเริ่มเจรจาช้ากว่า คือเริ่มเจรจาเมื่อต้นปีนี้เอง แต่ก็มีแนวโน้มว่า จะมีความคืบหน้าในการเจรจา เนื่องจาก การเจรจา RCEP จะเน้นเอา FTA ต่างๆที่อาเซียนมีกับประเทศคู่เจรจาอยู่แล้ว ให้กลายเป็น ข้อตกลง FTA ฉบับเดียว ในขณะที่ TPP ถึงแม้จะมีการเจรจาไปแล้วถึง 15 ครั้ง แต่เนื่องจากการเจรจาครอบคลุมถึง 26 เรื่อง และสหรัฐฯ ตั้งเป้าที่จะให้มีมาตรฐานสูง การเจรจาจึงไม่คืบหน้า จึงมีเครื่องหมายคำถามใหญ่ว่า TPP จะสามารถสรุปการเจรจาภายในปีนี้ได้หรือไม่

กล่าวโดยสรุป จากการวิเคราะห์ผลดีผลเสียดังกล่าวข้างต้น เห็นได้ชัดว่า RCEP น่าจะให้ผลดีต่อไทยและอาเซียนมากกว่า TPP ดังนั้น ท่าทีของไทยจึงควรให้ความสำคัญกับ RCEP มากกว่า TPP โดย RCEP จะกลายเป็น FTA ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไทยจะได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และ RCEP จะทำให้อาเซียนเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยหนุนทำให้ประชาคมอาเซียนและประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนประสบความสำเร็จและมีความโดดเด่นในระบบเศรษฐกิจโลกในระยะยาว

แต่ในทางกลับกัน TPP จะส่งผลกระทบทางลบต่อไทยหลายประการ โดยเฉพาะจุดอันตรายในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าภาคบริการ TPP เป็นคู่แข่งสำคัญของ RCEP และอาจทำให้ RCEP ประสบความล้มเหลว นอกจากนี้ TPP ยังเป็น FTA ที่อันตราย ที่แบ่งแยกประเทศต่างๆในภูมิภาค ด้วยการโดดเดี่ยวจีน และแบ่งแยกอาเซียน นอกจากนี้ ในขณะที่ RCEP มีโอกาสที่จะบรรลุข้อตกลง แต่ TPP คงจะเจรจากันลำบาก

         จากข้อสรุปดังกล่าว ไทยจึงควรให้ความสำคัญกับ RCEP และไม่ควรรีบร้อนโดดเข้าร่วมเจรจา TPP โดยควรจะมีการศึกษาข้อดีข้อเสีย ของ TPP ให้ชัดเจนมากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม หากไทยกลัวตกรถไฟสาย TPP และหากกลัวว่าจะกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ไทยก็อาจใช้วิธีโดดเข้าร่วมทั้งสองเวที คือ เอาทั้ง RCEP และ TPP แต่ให้น้ำหนักกับ RCEP มากกว่า TPP โดย RCEP ไทยควรจะโดดเข้าร่วมเต็มตัว แต่ TPP เราอาจจะเข้าร่วมในลักษณะของการเข้าไปสังเกตการณ์ ดูว่าเค้าเจรจาอะไรกัน และถ้าเห็นท่าไม่ดี ก็อาจจะถอนตัวออกมาก็ได้ ดังนั้นไทยควรจะมีทางเลือก หรือ options หลายๆทางไว้ สำหรับการเจรจา FTA ในภูมิภาค ที่กำลังจะสับสนวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆในอนาคต