ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 24 กรกฎาคม 2557)
ในอดีต
นโยบายต่างประเทศและการทูตของไทย ถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง ต่อความอยู่รอดของชาติ
และความเจริญรุ่งเรืองของไทยมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
การต่างประเทศของไทยก็ตกต่ำลงอย่างมาก พร้อมๆกับการตกต่ำของประเทศไทยในทุกๆเรื่อง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ที่จะต้องมีการปฏิรูปการต่างประเทศของไทย เพื่อพลิกฟื้นประเทศไทย ให้กลับมารุ่งโรจน์อีกครั้งหนึ่ง
สิ่งสำคัญที่ขาดหายไปจากนโยบายต่างประเทศของไทยในช่วง
10 ปี ที่ผ่านมาคือ การขาด grand strategy หรือยุทธศาสตร์ใหญ่ ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท การต่างประเทศไทย ทำให้เราขาดนโยบายต่างประเทศในเชิงรุก
ขาดการผลักดันความคิดริเริ่มใหม่ๆ จึงทำให้การทูตและการต่างประเทศไทยหยุดนิ่ง ทำให้ไทยสูญเสียบทบาทนำในอาเซียน
สูญเสียการเป็นศูนย์กลางในภูมิภาค
และสูญเสียความสำคัญในสายตาประชาคมโลกและมหาอำนาจ
·
grand strategy
ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีการปฏิรูปการต่างประเทศของไทย
ด้วยการจัดทำ grand strategy ทางด้านนโยบายต่างประเทศ
โดยจะต้องมีการกำหนดแนวทางใหญ่ๆ เป็นภาพรวมและภาพกว้าง ต้องมีการผลักดันยุทธศาสตร์และนโยบายในเชิงรุก
คือจะต้องมียุทธศาสตร์สำหรับบทบาทของไทยในเวทีพหุภาคีต่างๆ โดยเฉพาะในเวทีอาเซียน จะต้องมีนโยบายในเชิงรุก
ในการปรับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก
และจะต้องมียุทธศาสตร์ในเชิงรุกกับมหาอำนาจ และภูมิภาคอื่นๆด้วย
·
การทูตเชิงสุจริต
grand strategy ของไทยจะต้องมุ่งแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีต
คือจะต้องไม่เป็น “การทูตเชิงธุรกิจ” หรือ “การทูตเชิงทุจริต”
แต่การทูตในยุคใหม่ของไทย จะต้องเป็น “การทูตเชิงสุจริต”
ที่เน้นผลประโยชน์แห่งชาติเป็นที่ตั้งอย่างแท้จริง รวมทั้งเน้นหลักธรรมาภิบาลในการกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทย
·
นโยบายทางสายกลาง
grand strategy ของไทย จะต้องมีลักษณะสมดุล
เน้นนโยบายทางสายกลาง คือต้องไม่มีนโยบายแบบสุดโต่ง อย่างเช่นในบางสมัย รัฐบาลมีนโยบายสุดโต่ง
มีลักษณะ “โลภมาก” ทำหลายเรื่องมากเกินไป แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่เป็นลักษณะแบบหยุดนิ่งแบบสุดโต่ง
เหมือนในสมัยที่ผ่านมา นโยบายสายกลางยังหมายถึง การมียุทธศาสตร์การสร้างดุลยภาพแห่งอำนาจ
ไม่ใกล้ชิดกับมหาอำนาจใดมากเกินไป นโยบายสายกลางยังหมายถึง การสร้างสมดุลระหว่างการเป็นพลเมืองโลกที่ดีกับการเป็นเพื่อนบ้านที่ดีด้วย
·
ศูนย์กลางของภูมิภาค
grand strategy ของไทย จะต้องเน้นจุดแข็งของไทย
คือผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางหรือเป็น hub ของประชาคมอาเซียนและของภูมิภาค
ไทยโชคดีที่มีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อยู่ตรงกลางอาเซียน
การพัฒนาเส้นทางคมนาคมขนส่งเชื่อมระหว่างประเทศอาเซียนจึงต้องผ่านไทยทั้งหมด
ไทยคือสี่แยกอาเซียน ไทยจึงมีศักยภาพในการเป็น hub ของประชาคมอาเซียน
·
ประเทศผู้ประสานงาน (coordinator)
สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยคือ เราสามารถเข้ากับใครก็ได้
ไทยจึงสามารถที่จะมีบทบาทเด่นในเวทีภูมิภาคและเวทีโลกได้
ในฐานะเป็นตัวกลางประสานงานหรือที่เรียกว่า coordinator ทั้งในฐานะตัวกลางประสานความร่วมมือ
และเป็นตัวกลางประสานรอยร้าวและตัวกลางประสานจัดการความขัดแย้งระหว่างประเทศต่างๆ
ตัวอย่างเช่น ไทยควรเล่นบทบาทเป็นตัวกลางในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในทะเลจีนใต้
ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างจีนกับประเทศในอาเซียน
·
multi-track
strategy
ยุทธศาสตร์ใหญ่อีกประการคือ
ไทยควรจะดำเนินยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า ยุทธศาสตร์หลายช่องทาง หรือ multi-track strategy คือการดำเนินนโยบายระดับโลก ระดับภูมิภาคและระดับทวิภาคีไปพร้อมๆกัน
โดยจะต้องมีการจัดลำดับความสำคัญของระดับต่างๆ และประสานให้นโยบายในระดับต่างๆ เกื้อกูลและส่งเสริมซึ่งกันและกัน
และมีเอกภาพบูรณาการไปในทิศทางเดียวกัน
·
พลเมืองโลกและเพื่อนบ้านที่ดี
ไทยควรมียุทธศาสตร์เน้นการเป็นพลเมืองโลกที่ดี
แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นเพื่อนบ้านที่ดีด้วย ตัวอย่างเช่น ไทยอาจเล่นบทบาทที่โดดเด่นในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในระดับสากล
ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นพลเมืองโลกที่ดี แต่เราก็ต้องระมัดระวังผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อความสัมพันธ์ของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านได้
ฉะนั้นความพอดี จุดสมดุลอยู่ตรงไหน เป็นสิ่งที่ไทยจะต้องหาจุดสมดุลดังกล่าวให้ได้
· global network
ไทยจะต้องมียุทธศาสตร์ในการสร้างเครือข่ายในระดับโลก
(global network) โดยการผลักดันให้ คนไทย ได้เข้าไปมีบทบาทในองค์การระหว่างประเทศมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีตำแหน่งในระดับสูง
ในองค์การระหว่างประเทศ อาทิ เลขาธิการสหประชาชาติ หรือผู้อำนวยการใหญ่ WTO
· กลไกนโยบายต่างประเทศ
เราจะต้องมีการปฏิรูปกลไกนโยบายต่างประเทศของไทย
ให้มีความเป็นธรรมาภิบาล มีประสิทธิภาพและโปร่งใส
โดยจะต้องแก้ปัญหาในเรื่องการประสานงาน การซ้ำซ้อน และการขาดประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ จุดอ่อนสำคัญของนโยบายต่างประเทศไทยคือ
การขาด think tank คลังสมองหรือสถาบันวิจัย ที่จะเป็นกลไกในการช่วยรัฐบาล
ศึกษาค้นคว้า เสนอแนะ แนวนโยบายต่างประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศมหาอำนาจ อย่างเช่น
สหรัฐ ก็จะเห็นได้ว่า เราขาดตรงนี้เป็นอย่างมาก ที่ผ่านมา ไทยก็ใช้วิธีคิดในใจใช้ไหวพริบ
และสัญชาติญาณในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
การกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทยในลักษณะนี้ จึงขาดข้อมูลในเชิงลึกและขาดการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ
ทำให้นโยบายต่างประเทศไทยเป็นผลผลิตทางความคิดของคนเพียงไม่กี่คน
· ยุทธศาสตร์ “สนต้องลม”
ในอดีต การทูตไทยมีลักษณะเด่นคือ
เป็นนโยบายที่ฝรั่งเรียกว่า bending with
the wind หรือนโยบาย “สนลู่ลม” โดยไทยมักจะมีไหวพริบดีในการอ่านทิศทางลม
แล้วลู่ตามลมตามมหาอำนาจในยุคสมัยต่างๆ เช่นในสมัยล่าอาณานิคม เราก็ลู่ตามลมอังกฤษและฝรั่งเศส
ทำให้เรารอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้น สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เราก็ลู่ตามลมญี่ปุ่น สมัยสงครามเย็นเราก็ลู่ตามลมสหรัฐ
แต่การที่เรามีนโยบาย “สนลู่ลม” มาโดยตลอด ทำให้ไทยถูกมองว่า ไม่มีหลักการ
และเก่งแต่การเอาตัวรอด ซึ่งนโยบายดังกล่าว มีประโยชน์ต่อไทยในความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ
แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านมองไทยอย่างไม่ไว้วางใจ นอกจากนี้ นโยบาย
“สนลู่ลม” ทำให้ไทยเน้นการพึ่งพิงมหาอำนาจมากเกินไป จนเป็นความเคยชินทางการทูต
ที่เราจะต้องรีบวิ่งเข้าหามหาอำนาจ ตีสนิทกับดาวรุ่งดวงใหม่อยู่เสมอ ดังนั้น
ยุทธศาสตร์ไทยในอนาคต น่าจะปรับเปลี่ยนจาก “สนลู่ลม” มาเป็น “สนต้องลม” เสียมากกว่า
· แกนหลักของกลุ่มประเทศพุทธ
จุดเด่นอีกจุดที่เราอาจจะมองข้ามไปคือ
ไทยสามารถที่จะมีบทบาทในการเป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธและเป็นแกนนำของกลุ่มประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ
ในเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไทยจำเป็นต้องมีพวก มีกลุ่ม นอกจากอาเซียนแล้ว ไทยก็ไม่มีแนวร่วมธรรมชาติในเวทีระหว่างประเทศเลย
ฉะนั้น แนวร่วมหนึ่งที่ไทยจะต้องพัฒนาคือ แนวร่วมของกลุ่มประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ
โดยมีไทยเป็นแกนหลัก
· ยุทธศาสตร์ต่อประเทศและเวทีต่างๆ
และแน่นอน grand strategy ของไทย ต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์ต่อประเทศต่างๆ
รวมทั้งต่อเวทีพหุภาคีต่างๆ โจทย์ใหญ่ที่สุดของไทยในอนาคตคือ
ยุทธศาสตร์การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน สำหรับยุทธศาสตร์ต่อมหาอำนาจเก่า
(สหรัฐ จีน ญี่ปุ่น) นั้น ผมไม่ค่อยห่วง เพราะไทยเข้ากับมหาอำนาจได้ดีอยู่แล้ว
ผิดกับประเทศเพื่อนบ้านที่เรามีปัญหามาโดยตลอด แต่โจทย์ใหญ่ของไทยในอนาคตคือ
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมหาอำนาจใหม่ อาทิ บราซิล อินเดีย ตุรกี นอกจากนี้
นโยบาย “ตีสองหน้า” ของไทยที่พยายามมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนและสหรัฐนั้น
ก็กำลังจะเล่นยากขึ้นเรื่อยๆ ที่ผ่านมา ไทยปฏิเสธที่จะเลือกข้าง แต่ในอนาคต หากจีนกับสหรัฐขัดแย้งกันหนักขึ้น
ไทยจะถูกบีบให้ต้องเลือกข้างมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นยุทธศาสตร์ไทยในอนาคต จะต้องมีการกำหนดแนวทางและมาตรการ
เพื่อรองรับต่อสถานการณ์ดังกล่าว
สำหรับบทบาทไทยในเวทีพหุภาคีนั้น อาเซียนจะต้องเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ในเวทีพหุภาคีของไทย
โดยจะต้องมีการพลิกฟื้นบทบาทนำของไทยในอาเซียน สำหรับบทบาทไทยในเวทีโลกนั้น ที่ผ่านมา
ไทยแทบจะไม่มีบทบาทอะไรเลย ดังนั้น grand strategy เป้าหมายระยะยาวคือ
ไทยจะต้องมีบทบาทมากขึ้นในเวทีโลก อาทิ ในสหประชาชาติ WTO IMF และธนาคารโลก เป็นต้น รวมทั้งพยายามเข้าไปเป็นสมาชิกในเวทีพหุภาคีต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเข้าเป็นสมาชิก OECD ซึ่งก็จะสอดรับกับเป้าหมายระยะยาวของไทยที่จะยกระดับให้ไทยเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่
· branding Thailand
สุดท้าย grand strategy
ของไทยจะต้องมียุทธศาสตร์ในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศ ในอดีต ไทยมีภาพลักษณ์ที่เป็นบวกหลายด้าน
เป็นสยามเมืองยิ้ม ภาพลักษณ์ที่ดีในด้านวัฒนธรรม การท่องเที่ยว
และไมตรีจิตของคนไทย เป็นฐานการผลิตที่น่าลงทุน รวมทั้งสินค้า made
in Thailand
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ภาพลักษณ์ของประเทศก็เปลี่ยนจากบวกเป็น
ลบมากขึ้นเรื่อยๆ
เปลี่ยนจากสยามเมืองยิ้ม เป็นสงครามกลางเมือง และความรุนแรง ภาพลักษณ์ของประเทศก็เสียหายอย่างหนัก
ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม นับเป็นการบั่นทอนความเชื่อมั่นของประเทศไทยเป็นอย่างมาก
ถือเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการสร้าง brand Thailand เป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้น grand
strategy ด้านการต่างประเทศของไทย จะต้องมียุทธศาสตร์การเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดี
ของไทย
ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า branding Thailand โดยจะต้องมีทั้งมาตรการระยะสั้นและระยะยาว
ในการกอบกู้ภาพลักษณ์ เสริมสร้างภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น
และทัศนคติที่ดีของไทยในสายตาประเทศต่างๆทั่วโลก
(โปรดติดตามอ่านต่อ “ข้อเสนอการปฏิรูปการต่างประเทศของไทย (ตอนที่ 4 )”
ในคอลัมน์กระบวนทรรศน์ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 7 สิงหาคม 2557)