ก่อนอื่น ถ้าเราอยากจะเข้าใจสหรัฐ เราต้องเข้าใจว่า สหรัฐต้องการอะไร
ซึ่งสหรัฐมี 4 เป้าหมายต่อภูมิภาค
หนึ่ง คือ ความต้องการครองความเป็นเจ้า
สอง คือ การสกัดกั้นการขยายอิทธิพลของจีน
ซึ่งอเมริกากลัวว่า จะมาแข่งกับอเมริกา
สาม คือ การป้องกันไม่ให้ประเทศในเอเชีย
รวมกลุ่มกันโดยไม่มีสหรัฐฯ
สี่ คือ เรื่องผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจต่อภูมิภาค
ในสมัยสงครามเย็น
สหรัฐดำเนินยุทธศาสตร์การต่อต้านคอมมิวนิสต์ ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐในช่วงสงครามเย็น
เป็นไปในลักษณที่ ไทยเป็นพันธมิตรกับอเมริกาอย่างเต็มที่
แต่พอสงครามเย็นสิ้นสุดลง
เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ในภูมิภาคได้เปลี่ยนไปอย่างมาก
โดยมีการผงาดขึ้นมาของ 3 ผงาด ซึ่งส่งผลกระทบอย่างยิ่ง ต่อภูมิภาคและต่อสหรัฐ
ผงาดที่หนึ่ง คือ
การผงาดขึ้นมาของจีน (the rise of China)
ผงาดที่สอง คือ
การผงาดขึ้นมาของเอเชีย (the rise of Asia) เอเชียกำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลก
ขณะนี้ เราก็เห็นชัดว่า จีนกำลังผงาด เกาหลี อินเดีย อาเซียน ญี่ปุ่น ก็อยู่ในเอเชียหมด
ผงาดที่สาม คือ
การผงาดขึ้นมาของอาเซียน (the rise of ASEAN)
เพราะฉะนั้น ในเอเชียมีแต่
the rise มีแต่การผงาดขึ้นมา ตรงข้ามกับตะวันตก เราจะไม่ได้ยิน
the rise of America เพราะว่าไม่มีแล้ว มีแต่ the decline
of America การเสื่อมลงหรือการตกต่ำลงของสหรัฐ และเราก็ไม่ได้ยิน the
rise of Europe เพราะไม่มีแล้ว มีแต่ the decline of Europe
นี่คือบริบทที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่กำลังเกิดขึ้นในโลก
ซึ่งกระทบต่อทุกประเทศ ทั้งต่อสหรัฐฯ ต่อไทย ต่ออาเซียน แนวโน้มใหญ่นี้คือ
เอเชียกำลังเป็นช่วงขาขึ้น ในขณะที่ตะวันตกกำลังเป็นช่วงขาลง
เพราะฉะนั้น ด้วยบริบทดังกล่าว ทำให้ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา
ความสัมพันธ์จีน-อาเซียนจึงกระชับแน่นแฟ้น อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ จีนเป็นประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่งของอาเซียน
เป็นประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย เรื่องการท่องเที่ยว การลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน
สร้างถนน รถไฟ จีนมาแรงมาก ความสัมพันธ์ไทย-จีน ก็ใกล้ชิดแน่นแฟ้นมากขึ้นเรื่อยๆ
จากพัฒนาการเหล่านี้ ทำให้สหรัฐฯกังวลใจมากขึ้นเรื่อยๆว่า
อิทธิพลของตนในภูมิภาค กำลังจะเสื่อมลง และอเมริกาจะไม่ได้เป็นอันดับหนึ่งอีกต่อไป
สหรัฐไม่ได้เป็นคู่ค้า นักลงทุน นักท่องเที่ยว และไม่มีบทบาทในการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆในภูมิภาค
ตัวแสดงหลักกลายเป็น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี
เพราะฉะนั้น ในสมัยรัฐบาลโอบามา
ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา อเมริกาได้วิเคราะห์สถานการณ์ และได้ข้อสรุปที่ว่า จะต้องรีบปรับนโยบายและปรับยุทธศาสตร์ใหม่ต่อเอเชีย
นั่นคือที่มาของยุทธศาสตร์ pivot to Asia หรือ rebalancing และเป็นที่มาของการที่อเมริกากำลังจะกลับเข้ามาในภูมิภาคอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อที่จะคงสถานะการเป็นเจ้าของตนไว้ และเพื่อที่จะมาแข่งกับจีน เพราะต่อไป เอเชียจะกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก
อเมริกามองข้ามไม่ได้ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของอเมริกาอยู่ที่เอเชีย
ดังนั้น ตั้งแต่ปี 2009 เริ่มเห็นชัดว่า อเมริกาพยายามจะกลับมา ด้วยการมีการประชุมสุดยอดกับอาเซียนครั้งแรก
ในช่วงปลายปี 2009 อเมริกาได้พยายามเต็มที่ ที่จะกระชับความสัมพันธ์กับอาเซียน
อเมริกามองข้ามอาเซียนไม่ได้แล้ว เพราะอาเซียนกำลังผงาดเช่นเดียวกัน
อาเซียนกลายเป็นกลุ่มประเทศที่สำคัญที่สุดในภูมิภาค เป็นองค์กรที่สำคัญที่สุดในภูมิภาค
GDP ของ 10 ประเทศรวมกัน มีมูลค่า 2.5
ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ อันดับ 9 ของโลก
และในอนาคต ประชาคมอาเซียนจะมี GDP เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
เพราะฉะนั้น อาเซียนกำลังผงาด อเมริกามองข้ามไม่ได้ จึงต้องเดินสายมาอาเซียนอยู่เป็นประจำ
ไม่ว่าจะเป็นระดับผู้นำประเทศ โอบามาก็มาประชุมสุดยอดกับอาเซียนทุกปี
รัฐมนตรีต่างประเทศก็ต้องมา ลงมาถึงระดับล่าง อย่างนายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศก็ต้องมา
สำหรับไทย ในขณะที่สหรัฐกำลังกระชับความสัมพันธ์กับอาเซียนมากขึ้น
ในสมัยรัฐบาลโอบามา ตั้งแต่ปี 2009 แต่ก็พอดีเป็นช่วงที่ไทยกำลังตกต่ำ กำลังวุ่นวาย
เสื้อเหลืองเสื้อแดงเต็มไปหมด ปี 2009 เป็นช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์
ก็เจอเสื้อแดง ก่อนหน้านั้น ตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ มาเป็นรัฐบาลสุรยุทธ์ รัฐบาลสมัคร
รัฐบาลสมชาย ก็วุ่นมาตลอด พอเกิดรัฐประหาร ปี 2006 สหรัฐได้หยุดความสัมพันธ์กับไทย
เพราะเป็นกติกาที่สหรัฐจะไม่เจรจากับรัฐบาลทหาร พอปี 2007 มีการเลือกตั้ง
เป็นรัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย แต่ก็มีปัญหาอีก คือมีการชุมนุมของเสื้อเหลือง
แล้วเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็มาเจอเสื้อแดง ในช่วงนี้ อเมริกาก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อกับใคร
เพราะวุ่นวายตลอด ไทยได้เสียสถานะในการเป็นประตูสู่อาเซียน เป็นประตูสู่อินโดจีน
เป็นประตูสู่ภูมิภาค ที่อเมริกาได้มาปักหมุดตรงนี้ไว้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไทยเสียสถานะนี้ไป สหรัฐใช้วิธีย้ายไปที่อื่น เมื่อไทยหมดสภาพ
สหรัฐก็ไปหาอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และมาเลเซีย ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯจึงจืดจางลงเรื่อยๆ
เพราะปัญหาการเมืองของเรา ซึ่งวุ่นวายไม่จบ หลังจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ มาเป็นรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ก็กลับมาวุ่นวายหนักขึ้นอีก จนนำไปสู่การทำรัฐประหารเมื่อปีที่แล้ว
เมื่อเกิดรัฐประหารปีที่แล้ว
แน่นอนว่า อเมริกาต้องเล่นตามเกม คือต้องประณามการทำรัฐประหารและไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลทหาร
ต้องลดระดับความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นกติกาของสหรัฐอยู่แล้ว และทำมาโดยตลอด และส่งสัญญาณให้ไทย
เดินหน้ากลับคืนสู่ประชาธิปไตย และให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว
แต่รัฐบาลทหารในครั้งนี้ ต่างจากในอดีต
เพราะคราวนี้ดูจะไม่รีบร้อน ไม่รีบเลือกตั้ง รัฐบาลทหารคงได้บทเรียนจากรัฐประหารปี
2006 ครั้งนี้เลยจะใช้เวลานานในการร่างรัฐธรรมนูญ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปฏิรูป
รัฐบาลปัจจุบันได้ตัดสินใจหลายสิ่งหลายอย่าง
ที่เป็นการตัดสินใจแบบเด็ดขาด โดยเฉพาะยิ่ง ในเรื่องการทูต ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่ผ่านมา
การทูตไทยในอดีต จะเน้นการเดินสายกลาง “บัวไม่ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น” โดยพยายามมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกมหาอำนาจ
ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง แต่ในครั้งนี้ ดูเหมือนกับว่า อเมริกาจะกดดันไทยอย่างหนัก
นอกจากนี้ ไทยก็คงจะเห็นว่า โลกกำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว จากระบบขั้วอำนาจเดียว กำลังจะเปลี่ยนเป็นระบบหลายขั้วอำนาจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ที่ได้มีอำนาจและบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ดังนั้น จะเห็นว่า ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
รัฐบาลได้พยายามเข้าหาจีน และมีการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว มีข้อสรุปอย่างรวดเร็ว
ในเรื่องของการที่จีนจะเข้ามาช่วยสร้างทางรถไฟ เชื่อมจากกรุงเทพฯไปถึงเวียงจันทน์
และทะลุไปถึงคุนหมิง
หลังจากนั้น ญี่ปุ่น
ซึ่งคงเห็นแล้วว่า จีนกำลังทำอะไรอยู่ ญี่ปุ่นจึงน่าจะคิดว่า จะต้องรีบเข้ามาหาไทยเพื่อที่จะไม่เพลี่ยงพล้ำต่อการรุกคืบของจีน
ญี่ปุ่นจึงเสนอว่า อยากจะมาช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้เรา ไทยจึงเสนอให้ญี่ปุ่น ซึ่งก่อนหน้านี้ลังเลอยู่พักใหญ่
ให้เข้ามาช่วยสร้างท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมที่ทวาย และสร้างถนน และทางรถไฟ เชื่อมจากทวายมากาญจนบุรี
ผ่านกรุงเทพไปถึงกัมพูชาและเวียดนาม ซึ่งเรียกว่าระเบียงเศรษฐกิจใต้ หรือ southern economic corridor รวมทั้งเส้นระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก
หรือ east-west economic corridor จากเมียวดีมาแม่สอด
พิษณุโลก ขอนแก่น มุกดาหาร สะหวันนะเขต ไปถึงดานัง
หลังจากนั้นเกาหลีก็สนใจ และพยายามติดต่ออยากจะเข้ามามีบทบาทในการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ไทย
รัสเซียก็เริ่มขยับเข้ามา ในการที่จะกระชับความสัมพันธ์กับไทยมากขึ้น
รัสเซียขณะนี้มีปัญหากับสหรัฐฯและตะวันตก ในเรื่องยูเครน รัสเซียต้องการหาพันธมิตร
เพราะถูกตะวันตกปิดล้อม ไทยก็ต้องการหาพันธมิตร เพราะกำลังถูกสหรัฐฯกดดัน ก็เลยมีผลประโยชน์ร่วมกัน
ขณะนี้ ไทยจึงเน้นเข้าหาจีน ญี่ปุ่น
เกาหลี รัสเซีย และอาเซียนด้วย
จะเห็นได้ว่า ประเทศในเอเชียไม่ได้มีปัญหากับเรา
และแยกออกระหว่างเรื่องการเมืองภายในและเรื่องการต่างประเทศ
พลเอก ประยุทธ์ฯ ในช่วงที่ผ่านมา ก็ได้เดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน
ประชุมสุดยอด APEC ประชุมสุดยอด ASEM ได้พบปะกับผู้นำยุโรป ผู้นำอาเซียน ผู้นำของประเทศมหาอำนาจต่างๆ
เพราะฉะนั้น การยอมรับในรัฐบาลชุดนี้ ก็มีในระดับหนึ่ง
จากการที่ประเทศต่างๆ ในเอเชีย พยายามที่จะเข้ามาติดต่อกับเรา และเราก็พยายามที่จะติดต่อกับประเทศเหล่านี้
(โปรดติดตามอ่านต่อตอนที่ 2
ซึ่งจะวิเคราะห์การต่างประเทศของไทยปี 2015 (ตอนที่ 2) : ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐปี 2015 นี้)