ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 17 เมษายน 2557
คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้จะมาวิเคราะห์วิกฤตยูเครนต่อเป็นตอนที่
3 ซึ่งผมจะเน้นถึงผลกระทบของวิกฤตคราวนี้ ต่อระบบการเมืองโลก ดังนี้
ระบบโลกในยุคหลังการผนวก
Crimea ของรัสเซีย
หลังจากเกิดวิกฤตยูเครน
โดยเฉพาะหลังจากที่รัสเซียได้เข้ายึดและผนวกคาบสมุทร Crimea เป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียไปแล้ว
จึงทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบการเมืองโลก ซึ่งกำลังจะเข้าสู่ยุคใหม่ที่การเมืองโลกกลับไปเหมือนศตวรรษที่
19 และ 20 ที่มีลักษณะของการต่อสู้แข่งขันกันระหว่างมหาอำนาจ การถ่วงดุลอำนาจ
และการกำหนดเขตอิทธิพลของมหาอำนาจ
บรรทัดฐานระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นในยุคหลังสงครามเย็นคือ
การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติวิธี จะไม่มีการทำสงครามเพื่อผนวกดินแดน นั่นคือสิ่งที่เราเข้าใจว่า
โลกจะเปลี่ยนไปในศตวรรษที่ 21 แต่สิ่งที่รัสเซียได้ทำในการผนวก Crimea คือการหมุนโลกให้กลับไปสู่ศตวรรษที่ 19 และ 20 ด้วยการใช้กำลังทหารบุกเข้าไปยึดและผนวก
Crimea และปูตินได้ประกาศเขตอิทธิพลของรัสเซีย
ซึ่งเท่ากับการกลับไปสู่เกมการเมืองโลกของมหาอำนาจในศตวรรษที่ 20
แต่จริงๆแล้ว
เรื่องนี้จะโทษรัสเซียแต่เพียงผู้เดียวก็ไม่ได้ เพราะตะวันตกและสหรัฐเอง ก็เป็นสาเหตุในการทำให้ระบบโลกถอยหลังลงคลอง
เพราะเราคงจำกันได้ว่า สหรัฐนั่นแหละที่ได้ละเมิดกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศอย่างรุนแรง
ในปี 2003 เมื่อสหรัฐได้ใช้กำลังทหารบุกเข้ายึดครองอิรัก โดยไม่ได้รับไฟเขียวจากคณะมนตรีความมั่นคง
และตะวันตกก็เป็นต้นเหตุ ที่ทำให้รัสเซียต้องก้าวร้าว ก็เพราะตลอดเวลา 20
ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่สงครามเย็นสิ้นสุดลง ตะวันตกได้ดำเนินยุทธศาสตร์ปิดล้อมและพยายามกดรัสเซียมาโดยตลอด
ความขัดแย้งระหว่างตะวันตกกับรัสเซีย
ผลจากวิกฤตยูเครนในครั้งนี้ โดยเฉพาะผลของการผนวก Crimea ของรัสเซีย ได้กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างตะวันตกกับรัสเซียเป็นอย่างมาก
ตะวันตกซึ่งรวมทั้งองค์กรของตะวันตก ได้แก่ สหภาพยุโรป หรือ EU และนาโต้ กำลังมีความขัดแย้งกับรัสเซียอย่างชัดเจน โดยเฉพาะนโยบายการขยายจำนวนสมาชิก ของ EU และนาโต้ ไปครอบคลุมเขตอิทธิพลเดิมของรัสเซีย
ความพยายามกลับขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลกของรัสเซีย ขั้นแรกคือ การขยายอิทธิพลเข้าครอบงำ
ประเทศที่เป็นอดีตสหภาพโซเวียต และหลังจากนั้น ก็ขยายอิทธิพลไปยังยุโรปตะวันออก
ซึ่งจะก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับตะวันตกมากขึ้นเรื่อยๆ
ผลกระทบของการผนวก
Crimea จะทำให้ตะวันตกมีปฏิกิริยาตอบโต้รัสเซีย
โดยเฉพาะคงจะมี
ยุทธศาสตร์การปิดล้อมรัสเซียใหม่ ทั้งทางด้านการทหาร การทูต และเศรษฐกิจ โดยมีแนวโน้มว่า EU จะลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย และประเทศ EU คงจะลดปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการค้าและการลงทุนกับรัสเซียลง
รัสเซีย
สำหรับยุทธศาสตร์ของรัสเซียนั้น
ล่าสุด ดูได้จากสุนทรพจน์ของปูติน ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่กล่าวที่รัฐสภาของรัสเซียหลังจากที่รัสเซียผนวก
Crimea ซึ่งดูน้ำเสียงแล้ว มีลักษณะที่เคียดแค้นและต้องการล้างแค้นตะวันตก
หลังจากที่ตะวันตกได้ทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลาย และตะวันตกได้กดรัสเซียมาตลอดในช่วง
20 ปีที่ผ่านมา ปูตินได้พูดชัดว่า รัสเซียได้กลับมาแล้ว และมีความต้องการอย่างแรงกล้า
ที่จะเอาเขตอิทธิพลเดิมของรัสเซียกลับคืนมา และการครอบงำยูเครนก็เป็นก้าวแรกของยุทธศาสตร์ดังกล่าว
ปูตินได้กล่าวโจมตีนาโต้อย่างรุนแรง โดยได้บอกว่า นาโต้ได้โกหกรัสเซียมาตลอด และได้ตัดสินใจหลายเรื่องที่เหมือนกับเป็นการแทงรัสเซียข้างหลัง
นาโต้ได้ผิดคำมั่นสัญญาที่ได้บอกว่า จะไม่ขยายสมาชิกมาทางตะวันออก ปูตินได้สรุปว่า
ขณะนี้ตะวันตกกำลังดำเนินนโยบายปิดล้อมรัสเซียอยู่
นาโต้
การผนวก
Crimea ของรัสเซีย และวิกฤตยูเครนในครั้งนี้ เป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการฟื้นคืนชีพของพันธมิตรนาโต้ หลังจากที่ซบเซามานาน ตั้งแต่สงครามเย็นสิ้นสุดลง ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา นาโต้ ดูเหมือนกับว่า สับสนและไม่มีเป้าหมายชัดเจน
แต่จากวิกฤตยูเครนในครั้งนี้ ทำให้นาโต้กลับมามีเป้าหมาย
ที่ชัดเจน นั่นก็คือ การปิดล้อมรัสเซียทางทหาร เลขาธิการนาโต้ถึงกับกล่าวว่า วิกฤตยูเครนทำให้นาโต้เผชิญ
กับภัยคุกคามที่อันตรายที่สุด นับตั้งแต่สงครามเย็นสิ้นสุดลง และว่าวิกฤตครั้งนี้ เท่ากับเป็นนาฬิกาปลุก ปลุกให้นาโต้ตื่นจากหลับ
หลังการผนวก
Crimea นาโต้ก็ได้เริ่มเคลื่อนไหวทางทหารมากขึ้นโดยเฉพาะสหรัฐได้ส่งเครื่องบินเข้าไปในโปแลนด์และประเทศ
Baltic รวมทั้งอังกฤษ เยอรมนี และเดนมาร์ก ก็ได้เสริมกองกำลังมากขึ้น
นาโต้กำลังมีแผนที่จะจัดตั้งฐานทัพถาวรในประเทศ
Baltic และนาโต้ก็พยายามที่จะให้ความช่วยเหลือทางทหารกับยูเครน
แต่ก็มีข้อจำกัดเพราะยูเครนยังไม่ได้เป็นสมาชิกนาโต้
ในอนาคต
ก็คงจะเห็นนาโต้มีบทบาทมากขึ้นในการปิดล้อมรัสเซียโดยเฉพาะการเสริมกองกำลังเข้าไปในยุโรปตะวันออกและเขต
Baltic รวมทั้งการสนับสนุนยูเครน
ซึ่งเราคงจะเห็นชัดเจนถึงการกำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ของนาโต้ ในช่วงเดือนกันยายน ซึ่งจะมีการประชุมสุดยอดนาโต้ที่แคว้น
Wales ในประเทศอังกฤษ
สหรัฐ
สำหรับบทบาทของสหรัฐ
แน่นอนก็คงจะเป็นผู้นำของตะวันตก
ผู้นำของนาโต้ในการดำเนินยุทธศาสตร์ปิดล้อมรัสเซียในอนาคต
ฝ่ายอนุรักษ์นิยมในสหรัฐวิเคราะห์ว่า นโยบายของ Obama ที่เรียกว่า Reset เพื่อปรับความสัมพันธ์กับรัสเซียนั้น
ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง และคงไม่ต้องหวังว่า รัสเซียจะสนับสนุนสหรัฐในปัญหาต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ซีเรีย อิหร่าน และอัฟกานิสถาน และเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า รัสเซียเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคง
สหรัฐจึงต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์ระยะยาวกับรัสเซียใหม่
ขณะนี้ก็ได้เริ่มมีข้อเสนอมากมาย
โดยเฉพาะจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ให้มีการปรับยุทธศาสตร์ใหม่ต่อรัสเซีย
โดยพวกอนุรักษ์นิยมและพวกสายเหยี่ยวในสหรัฐได้มองรัสเซียในเชิงลบมาก โดยมองว่า ขณะนี้รัสเซียกำลังจะเป็นศัตรูกับสหรัฐ
ดังนั้น จึงต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อเผชิญกับภัยคุกคามจากรัสเซีย โดยข้อเสนอยุทธศาสตร์การปิดล้อมรัสเซีย
จะมีมาตรการต่างๆ อาทิ
· สหรัฐจะต้องตอกย้ำพันธกรณีที่มีต่อนาโต้ โดยจะต้องมีการยกเลิก NATO-Russia Council และสหรัฐจะต้องทำให้รัสเซียเห็นว่า
ถ้ารัสเซียใช้กำลังทางทหารต่อสมาชิกนาโต้ สหรัฐจะถือเป็นการเข้าข่ายมาตราที่ 5 ของกฎบัตรนาโต้
ซึ่งบอกว่า หากสมาชิกนาโต้ประเทศใดประเทศหนึ่งถูกโจมตีก็เท่ากับเป็นการโจมตีประเทศนาโต้ทั้งหมด
· สหรัฐควรให้ความช่วยเหลือทางทหารต่อยูเครน
โดยเฉพาะหากรัสเซียบุกเข้าไปในยูเครน สหรัฐและพันธมิตรก็ควรสนับสนุนกองกำลังของยูเครนเพื่อต่อสู้กับรัสเซีย
· สำหรับมาตรการทางการทูต
สหรัฐควรระงับความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัสเซียโดยการเรียกทูตสหรัฐประจำรัสเซียกลับประเทศ
และขับไล่ทูตรัสเซียประจำสหรัฐออกนอกประเทศ
· ควรมีการกำหนดนโยบายด้านพลังงานใหม่ โดยสหรัฐควรจะมีนโนยายใหม่ในการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติให้กับยุโรป
เพื่อให้ยุโรปลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย
· สหรัฐควรจะยกเลิกสนธิสัญญาในเรื่องอาวุธนิวเคลียร์กับรัสเซีย และรีบสร้างเสริมสมรรถนะอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐ
รวมทั้งการพัฒนาระบบป้องกันการโจมตีจากขีปนาวุธ
· นอกจากนี้ สหรัฐควรจะโดดเดี่ยวรัสเซีย ซึ่งรัสเซียได้ถูกขับออกจาก G8 แล้ว ในอนาคต ควรมี
การพิจารณาสมาชิกภาพของรัสเซียใน
G20 และใน
OSCE ด้วย
กล่าวโดยสรุป จะเห็นได้ว่า วิกฤตยูเครนในครั้งนี้
ได้ก่อให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างต่อระบบโลก ทำให้ระเบียบโลกกำลังจะเข้าสู่ยุคใหม่
ซึ่งจะเป็นยุคที่ตะวันตกจะขัดแย้งกับรัสเซียมากขึ้นเรื่อยๆ
และระบบโลกก็จะถอยหลังลงคลองกลับไปสู่ศตวรรษที่ 19 และศตวรรษที่ 20