Hillary Clinton ประกาศนโยบายสหรัฐต่อเอเชีย
ตีพิมพ์ในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 58 ฉบับที่ 7 วันศุกร์ที่ 5 - วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2553
เมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา Hillary Clinton รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ได้กล่าวสุนทรพจน์สำคัญที่ฮาวาย ประกาศนโยบายสหรัฐต่อเอเชีย คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ จะสรุปวิเคราะห์สุนทรพจน์ดังกล่าว ดังนี้
สุนทรพจน์ของ Hillary Clinton
สุนทรพจน์ดังกล่าว มีหัวข้อว่า “America’s Engagement in the Asia – Pacific” ในตอนแรก Clinton ได้เน้นว่า เป้าหมายใหญ่ของสหรัฐในภูมิภาคคือ การเป็นผู้นำของสหรัฐ Clinton ได้ใช้คำใหม่ สำหรับยุทธศาสตร์ใหม่ว่า “forward deployed diplomacy” ซึ่งน่าจะแปลว่า การทูตในเชิงรุก โดยจะมีการใช้เครื่องมือทางการทูตในทุกรูปแบบ เพื่อเพิ่มการปฏิสัมพันธ์กับพันธมิตร หุ้นส่วน และสถาบันในภูมิภาค
ยุทธศาสตร์ของสหรัฐในเอเชียจะเน้นความสัมพันธ์กับพันธมิตรเป็นอันดับแรก อันดับสองเป็นความสัมพันธ์กับหุ้นส่วนใหม่ๆ และอันดับสามจะเป็นปฏิสัมพันธ์กับสถาบันในภูมิภาค
สำหรับความสัมพันธ์กับพันธมิตรนั้น สหรัฐจะเน้นพันธมิตรทั้ง 5 คือ ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย ไทย และฟิลิปปินส์ ซึ่งพันธมิตรทั้ง 5 จะเป็นเสาหลักของนโยบายสหรัฐ โดยสหรัฐจะกระชับความสัมพันธ์กับพันธมิตรเหล่านี้ให้เพิ่มขึ้น สำหรับญี่ปุ่นเพิ่งครบรอบ 50 ปี ของสนธิสัญญาความร่วมมือทางความมั่นคง ส่วนเกาหลี ปีนี้ครบรอบ 60 ปีของสงครามเกาหลี ปีหน้าก็จะครบรอบ 60 ปี พันธมิตรระหว่างสหรัฐกับออสเตรเลีย ส่วนพันธมิตรของสหรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือไทยและฟิลิปปินส์นั้น สหรัฐจะร่วมมืออย่างใกล้ชิด ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคง
สำหรับความสัมพันธ์กับหุ้นส่วนใหม่ๆ นั้น อินโดนีเซียกำลังเล่นบทบาทนำในภูมิภาค ในปีหน้าจะเป็นประธานอาเซียน ในเดือนหน้า โอบามาจะเดินทางไปอินโดนีเซีย และจะมีการลงนามในข้อตกลง Comprehensive Partnership Agreement อีกประเทศที่สำคัญคือ เวียดนาม ความสัมพันธ์ทางการทูตและเศรษฐกิจได้กระชับแน่นแฟ้นมากขึ้น และขณะนี้ความร่วมมือได้ขยายไปสู่ด้านความมั่นคงทางทะเล และด้านการป้องกันประเทศ ส่วนสิงคโปร์ก็มีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้นำอาเซียน และมีบทบาทในการจัดตั้งเขตการค้าเสรีกรอบใหม่ที่เรียกว่า Trans Pacific Partnership หรือ TPP
สำหรับมหาอำนาจที่สำคัญในภูมิภาคคือ อินเดียและจีน สำหรับความสัมพันธ์กับอินเดียนั้น ถือว่ากำลังได้รับการยกระดับ ที่เรียกว่า U.S. – India Strategic Dialogue โอบามากำลังจะเดินทางไปเยือนอินเดีย สำหรับความสัมพันธ์กับจีนนั้นมีความซับซ้อน แต่จะไม่เป็นประโยชน์หากสหรัฐกับจีนเป็นศัตรูกัน ดังนั้น สหรัฐพยายามที่จะสร้างความสัมพันธ์ในเชิงบวกและร่วมมือกับจีน หลายคนในจีนอาจจะมองว่าสหรัฐกำลังดำเนินยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีน แต่ Clinton ก็เน้นว่าสหรัฐไม่มีนโยบายเช่นนั้น
สำหรับบทบาทของสหรัฐในเวทีพหุภาคีนั้น Clinton ได้ประกาศจุดยืนของสหรัฐอย่างแข็งกร้าวว่า หากในเวทีไหนมีการหารือกันและเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐ สหรัฐจะต้องมีส่วนและมีที่นั่งในเวทีนั้น Clinton ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์กับอาเซียนซึงกระชับแน่นแฟ้นขึ้นมาก อีกเวทีที่สำคัญคือ เอเปค ซึ่งสหรัฐพยายามที่จะทำให้เอเปคกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดในปีหน้า นอกจากนี้ สหรัฐยังมีนโยบายในการเสริมสร้างเวทีในระดับอนุภูมิภาค หรือที่ Clinton ใช้คำว่า mini-laterals ตัวย่างสำคัญคือ เวที Lower Mekong Initiative
สำหรับเวที East Asia Summit หรือ EAS นั้น Clinton ได้ประกาศจุดยืนของสหรัฐต่อเวที EAS ว่า สหรัฐเห็นด้วยที่อาเซียนจะมีบทบาทนำ แต่สหรัฐต้องการให้ EAS เป็นเวทีปฏิสัมพันธ์ที่มีเนื้อหาสาระ โดยเฉพาะในประเด็นด้านยุทธศาสตร์และการเมือง ซึ่งรวมถึงประเด็นเรื่อง การแพร่ขยายของอาวุธนิวเคลียร์ และความมั่นคงทางทะเล
ปฏิสัมพันธ์ของสหรัฐกับพันธมิตร หุ้นส่วน และเวทีในภูมิภาคนั้น จะมีสหรัฐเล่นบทบาทนำใน 3 เรื่องด้วยกันคือ เรื่องเศรษฐกิจ ความมั่นคง และสิทธิมนุษยชน
สำหรับในด้านเศรษฐกิจ เป้าหมายของสหรัฐคือ การขยายการส่งออกและการลงทุนในภูมิภาค สหรัฐจะดำเนินนโยบายผ่านทางเอเปค G20 และความสัมพันธ์ทวิภาคี ในการเปิดตลาด และสร้างความโปร่งใส แต่ยุทธศาสตร์หลักของสหรัฐน่าจะอยู่ที่การผลักดัน Trans Pacific Partnership หรือ TPP ซึ่งเป็นข้อตกลงจัดตั้ง FTA ซึ่งขณะนี้มี 9 ประเทศเข้าร่วม และในอนาคตจะมีการขยายสมาชิกออกไปเรื่อยๆ
สำหรับทางด้านความมั่นคง ขณะนี้กระทรวงกลาโหมสหรัฐกำลังจัดทำเอกสารสำคัญเรียกว่า Global Posture Review ซึ่งจะมีการกำหนดแผนการคงกองกำลังทหารของสหรัฐในภูมิภาคต่อไป โดย Clinton เน้นว่า สหรัฐจะเพิ่มบทบาททางทหารในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจะเพิ่มบทบาทให้เกาะกวมเป็นฐานทัพทางทหารที่สำคัญ นอกจากนี้ สหรัฐได้บรรลุข้อตกลงกับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ในความร่วมมือด้านทหาร สำหรับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สหรัฐจะเพิ่มบทบาทกองทัพเรือในสิงคโปร์ และจะปฏิสัมพันธ์ทางทหารเพิ่มมากขึ้นกับฟิลิปปินส์และไทย สำหรับออสเตรเลียก็จะมีการกระชับความสัมพันธ์ทางทหารเพิ่มขึ้นเช่นกัน และสหรัฐได้มีความร่วมมือกับกองทัพเรืออินเดียในมหาสมุทรแปซิฟิกด้วย
สำหรับด้านสิทธิมนุษยชน Clinton ได้เน้นโจมตีรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า โดยเรียกร้องให้ปล่อยตัวนางอองซาน ซูจี และได้บอกว่า เอเชียขณะนี้ มีผู้ได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพ 3 คน แต่ทั้ง 3 คน ถูกจับกุมหรือไม่ก็ต้องลี้ภัย 3 คนนั้น คือ อองซาน ซูจี ดาไล ลามะ และ Liu Xiaobo ดังนั้น ในการปฏิสัมพันธ์กับหุ้นส่วนที่มีปัญหาในเรื่องสิทธิมนุษยชน สหรัฐจะพยายามกระตุ้นให้มีการปฏิรูป ในตอนท้าย Clinton ได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า การเลือกตั้งในพม่าจะไม่บริสุทธิ์ ยุติธรรม
บทวิเคราะห์
• สุนทรพจน์ประกาศนโยบายต่อเอเชียของ Clinton ในครั้งนี้ ดูคร่าวๆ แล้ว อาจจะดูเหมือนเป็นนโยบายและยุทธศาสตร์ใหม่ โดยมีการใช้คำใหม่ว่า forward deployed diplomacy แต่ถ้าดูในรายละเอียดแล้วจะเห็นได้ว่า ไม่มีอะไรใหม่ คือมีลักษณะเป็น “เหล้าเก่าในขวดใหม่” เสียมากกว่า เมื่อวิเคราะห์สุนทรพจน์ของ Clinton แล้วก็เห็นได้ชัดว่า ยุทธศาสตร์หลักของสหรัฐไม่เคยเปลี่ยนคือ ยุทธศาสตร์ครองความเป็นเจ้า Clinton พูดคำว่า leadership หลายครั้ง โดยเน้นว่า สหรัฐจะต้องเป็นผู้นำในภูมิภาค ถึงแม้ Clinton จะปฏิเสธ แต่ผมเชื่อว่า ลึกๆ แล้วสหรัฐมียุทธศาสตร์ในการปิดล้อมจีน โดยเฉพาะทางทหาร นอกจากนี้ สหรัฐมียุทธศาสตร์ที่จะต้องป้องกันไม่ให้เอเชียรวมกลุ่มกันโดยไม่มีสหรัฐ กล่าวโดยสรุป ยุทธศาสตร์ของสหรัฐที่ Clinton ประกาศก็เป็นไปตามบทวิเคราะห์ของผม ที่กล่าวถึงยุทธศาสตร์ของสหรัฐที่ต้องการเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้จากรูปข้างล่างนี้
• แต่ประเด็นสำคัญที่กำลังเป็นแนวโน้มเกิดขึ้นชัดเจนในเรื่องบทบาทของสหรัฐในภูมิภาคคือ นโยบายในเชิงรุกของสหรัฐ โดยเฉพาะในปีนี้ เราเห็นสหรัฐ active มากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบทวิภาคี สหรัฐก็กำลังรุกหนัก โดยเฉพาะการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศใหม่ๆ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และอินโดจีน ในเวทีพหุภาคี สหรัฐก็ active มากเป็นพิเศษ กับอาเซียน และรีบกระโดดเข้าร่วมในเวที EAS และประชุมสุดยอดกับอาเซียนไปแล้ว 2 ครั้ง ส่งทูตไปประจำอาเซียน รัฐมนตรีกลาโหมก็เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน+8 เช่นเดียวกับเวทีเอเปค สหรัฐก็กำลังรุกหนักในการผลักดัน FTA ในกรอบ TPP ทางด้านการทหาร สหรัฐก็ active มากเป็นพิเศษ อาทิ การซ้อมรบในทะเลเหลือง และการจุดประเด็นเรื่องความขัดแย้งในหมู่เกาะสแปรตลีย์ จะเห็นได้ว่า สหรัฐ ขณะนี้กำลัง active มาก ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งทั้งรัฐบาลไทยและภาควิชาการของไทย ที่จะต้องติดตามวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด และเราจะต้องตามให้ทันว่า สหรัฐกำลังทำอะไร เวลาสหรัฐจะรุก จะรุกหนักมาก จนเราอาจจะตามไม่ทัน ตั้งรับไม่ทัน ตามเกมไม่ทัน ไทยคงจะต้องเตรียมตั้งรับให้ดี กับการรุกหนักของสหรัฐต่อภูมิภาคในอนาคต
• สำหรับยุทธศาสตร์ของสหรัฐทางด้านเศรษฐกิจนั้น สิ่งที่จะต้องจับตามองและต้องวิเคราะห์กันให้ดีคือ การที่สหรัฐพยายามจะผลักดัน TPP ให้เป็น FTA ที่ใหญ่ที่สุด ในตอนแรกมีแค่ 6 ประเทศ แต่ตอนนี้เพิ่มเป็น 9 ประเทศแล้ว โดยประเทศที่ 9 ที่เข้าร่วมคือ มาเลเซีย ดังนั้น คำถามสำคัญในแง่ของไทยคือ ท่าทีของไทยจะเป็นอย่างไร ไทยควรที่จะเข้าร่วม TPP หรือไม่ จะมีข้อดีข้อเสียอย่างไรในการเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วม TPP
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น