แนวโน้มโลกปี
2030
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่21 กุมภาพันธ์ 2556
เมื่อเร็วๆนี้ สภาข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ ได้เผยแพร่เอกสาร “Global
Trends 2030” วิเคราะห์คาดการณ์สถานการณ์โลก ในปี 2030
ซึ่งเป็นเอกสารที่น่าสนใจ ผมจึงจะเอามาสรุปวิเคราะห์ในคอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจโลก
เอกสารดังกล่าว ได้วิเคราะห์ว่า ภายในปี 2030
จะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจของประเทศต่างๆ ครั้งใหญ่ เอเชียจะแซงอเมริกาและยุโรป
ในเชิงอำนาจโลก โดยคิดจาก GDP ขนาดของประชากร การใช้จ่ายทางทหาร
และการลงทุนในเทคโนโลยี ก่อนปี 2030 จีนจะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกแซงหน้าสหรัฐฯ
นอกจากนั้น จะมีมหาอำนาจใหม่ ผงาดขึ้นมา โดยเฉพาะ อินเดีย บราซิล อินโดนีเซีย
ไนจีเรีย แอฟริกาใต้ และตุรกี โดยเศรษฐกิจของยุโรป ญี่ปุ่นและรัสเซีย จะเสื่อมลงเรื่อยๆ
เศรษฐกิจโลก
สำหรับเศรษฐกิจโลก ภายในปี 2030 จะยังคงไร้เสถียรภาพ
เศรษฐกิจของประเทศต่างๆและของภูมิภาคต่างๆ จะเติบโตในอัตราที่แตกต่างกัน
ซึ่งจะนำไปสู่ความผันผวนของระบบเศรษฐกิจโลก
วิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ ก็อาจจะเกิดขึ้นได้อีก
โดยเฉพาะสถานการณ์ที่จะต้องจับตามองเป็นพิเศษในอนาคตอันใกล้ คือ วิกฤต Eurozone ที่ยังคงไม่จบ โดยหากกรีซล้มละลาย และต้องถูกขับออกจาก Eurozone
ก็จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก
ทิศทางของเศรษฐกิจโลกในปี 2030 จะขึ้นอยู่กับทิศทางเศรษฐกิจของมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่
ระบบเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ยุคหลายขั้วอำนาจ โดยจะมีจีนที่จะเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ที่มาแรงที่สุด
แม้ว่าในอนาคต อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนจะชะลอตัวลงก็ตาม โดยในช่วง 30
ปีที่ผ่านมา จีนมีอัตราการเจริญเติบโต เฉลี่ย 10% ต่อปี
แต่คาดว่าภายในปี 2020 การขยายตัวของเศรษฐกิจจีน น่าจะลดลงมาเหลือประมาณ 5%
ต่อปี
แต่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนก็จะมีสัดส่วนถึง 1 ใน 3
ของการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกโดยรวม
ความมั่นคงโลก
สำหรับแนวโน้มอีกเรื่องของโลก ในปี 2030
คือประเด็นด้านความมั่นคง
แนวโน้มในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า
ความขัดแย้งและสงครามได้ลดลง โดยความขัดแย้งภายในประเทศมีแนวโน้มลดลง
เช่นเดียวกับความขัดแย้งระหว่างประเทศ และความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ ก็มีแนวโน้มลดลง
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งและสงครามภายในประเทศ
กลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในประเทศที่มีปัญหาในเรื่องของชนกลุ่มน้อยต่างชาติพันธุ์
อาทิ ปัญหาชาวเคิร์ดในตุรกี และกลุ่มแบ่งแยกดินแดนชาวมุสลิม ทางภาคใต้ของไทย
นอกจากนี้ โอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งและสงครามในทวีปแอฟริกา ก็ยังสูงอยู่ ทั้งนี้
ก็เพราะความขัดแย้งในเรื่องชาติพันธุ์และเผ่าพันธุ์ ที่มีความขัดแย้งกันอย่างหนักในแอฟริกา
ส่วนความเสี่ยงของความขัดแย้งระหว่างประเทศก็ยังมีอยู่
และอาจเพิ่มมากขึ้นได้ หากเกิดความไม่สมดุลในระเบียบความมั่นคงโลก โดยเฉพาะ หากสหรัฐฯ
ไม่สามารถเล่นบทบาทเป็นผู้คุมเกมความมั่นคงโลกได้
ก็อาจนำไปสู่การไร้เสถียรภาพโดยเฉพาะ ในตะวันออกกลางและในเอเชีย
หากระบบความมั่นคงโลกระส่ำระสาย และขาดสมดุล และหากตัวแสดงสำคัญ มองว่า รูปแบบความร่วมมือในปัจจุบัน
ไม่ได้ประโยชน์ ก็จะนำไปสู่การแข่งขันและความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การก่อการร้ายสากล
น่าจะมีแนวโน้มลดลงในปี 2030
แต่นั่นก็ไม่หมายความว่าสถานการณ์การก่อการร้ายจะหมดไป แต่อาจจะทุเลาลง
ส่วนภูมิภาคที่น่าจะมีปัญหาด้านความมั่นคงมากที่สุดคือ
ตะวันออกกลางและเอเชียใต้
โดยเฉพาะตะวันออกกลาง
จะวุ่นวายมากขึ้นหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในอิหร่าน โดยหากอิหร่านสามารถพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จ
ก็จะทำให้ภูมิภาควุ่นวายมากขึ้น แต่หากรัฐบาลประชาธิปไตยในตะวันออกกลางมีเสถียรภาพ
และหากเกิดข้อตกลงแก้ปัญหาอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ได้สำเร็จ
ก็จะก่อให้เกิดผลกระทบในเชิงบวกต่อภูมิภาค
สำหรับในเอเชีย เอเชียใต้จะยังคงมีความวุ่นวายต่อไป
ในช่วง 15 - 20 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะในปากีสถาน และอัฟกานิสถาน สำหรับเอเชียตะวันออก
มีแนวโน้มที่ระบบความมั่นคงในภูมิภาค จะพัฒนาไปสู่ระบบหลายขั้วอำนาจ
แต่ขณะเดียวกัน เอเชียตะวันออกยังขาดสถาบันความมั่นคงในภูมิภาคที่จะจัดการกับความขัดแย้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งจะนำไปสู่ความเสี่ยงของการเกิดความขัดแย้งต่างๆ ตัวแปรสำคัญ คือ การหวาดกลัวการผงาดขึ้นมาของจีน
การเพิ่มขึ้นของลัทธิชาตินิยมในจีน และความไม่แน่นอนในเรื่องบทบาทของสหรัฐฯ
ในภูมิภาค
ปัญหาด้านประชากรและทรัพยากร
ในปี 2030 โลกจะเผชิญกับปัญหาใหญ่ๆ อื่นๆ อีก นอกจากปัญหาด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงแล้ว
ก็ยังจะมีปัญหาด้านประชากร ซึ่งภายในปี 2030 ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 8.3 พันล้านคน
และปัญหาที่จะตามมา คือ ปัญหาโครงสร้างอายุของประชากร โดยเฉพาะในโลกตะวันตก
ในประเทศอุตสาหกรรม ประชากรส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
นอกจากนี้ ก็จะมีปัญหาการย้ายถิ่นฐานเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการขยายตัวของสังคมเมืองด้วย
สำหรับปัญหาในด้านทรัพยากรนั้น ความต้องการอาหาร
น้ำ และพลังงานจะเพิ่มขึ้นถึง 35 – 50 % ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของประชากร
และการบริโภคของชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งในมิติใหม่
คือความขัดแย้งระหว่างประเทศเพื่อแย่งชิงทรัพยากรเหล่านี้
ระเบียบโลกใหม่
?
จากแนวโน้มต่างๆเหล่านี้ที่จะเกิดขึ้นใน ปี 2030
จึงนำไปสู่คำถามสำคัญว่า ระเบียบโลกใหม่จะเกิดขึ้นหรือไม่ แทนที่ระเบียบโลกเก่า ที่มีสหรัฐฯ
และตะวันตกเป็นผู้นำ
ดังนั้น บทบาทของสหรัฐฯ ในช่วง 15 – 20
ปีข้างหน้า จึงมีความสำคัญในการกำหนดทิศทางระเบียบโลกในอนาคต คำถามสำคัญ คือ
สหรัฐฯ จะสามารถที่จะร่วมมือกับมหาอำนาจใหม่ในการปฏิรูประเบียบโลกได้หรือไม่ ถึงแม้ว่า
อำนาจของสหรัฐฯ กับตะวันตกจะเสื่อมถอยลง เมื่อเทียบกับอำนาจของมหาอำนาจใหม่
แต่บทบาทของสหรัฐฯ ในอนาคตก็ยังมีความไม่แน่นอนสูง
อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่า ในปี 2030
สหรัฐฯ น่าจะยังคงเป็นมหาอำนาจอำดับ 1 อยู่ต่อไป ทั้งนี้เพราะ สหรัฐฯ
มีมิติแห่งอำนาจ ทั้งทางทหาร เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และวัฒนธรรม
และมรดกตกทอดจากการเป็นผู้นำโลกมาตลอดในช่วงศตวรรษที่ 20 – 21 จุดแข็งของสหรัฐฯ คือ
การที่มีทั้ง hard power และ soft power อย่างไรก็ตาม
การผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจใหม่ จะทำให้ระบบหนึ่งขั้วอำนาจจบสิ้นลง รวมทั้งระเบียบโลกที่อเมริกาสร้างขึ้น
ที่เรียกว่า Pax Americana ซึ่งเป็นยุคสมัยที่อเมริกาครองความเป็นเจ้า
มาตั้งแต่ ปี 1945 ก็จะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ
แต่การเสื่อมถอยของ Pax Americana หรือระเบียบโลกของอเมริกา
ก็ไม่ได้หมายความว่า จะมีระเบียบโลกใหม่เข้ามาแทนที่ได้ ภายในปี 2030
ก็ยังไม่น่าจะมีประเทศใดมาแทนที่สหรัฐฯ ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น