ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 2 ตุลาคม 2557
เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ผมได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยยูนนาน ที่เมืองคุนหมิง ให้ไปเข้าร่วมในการประชุม “China-ASEAN Relations: Review and Prospect”
และได้รับเชิญให้กล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ “The Achievements of China-ASEAN
Dialogue In the Past 23 Years”
คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้ ผมจะสรุปสาระสำคัญของสุนทรพจน์ดังกล่าว ดังนี้
การผงาดขึ้นมาของจีน
ความสัมพันธ์อาเซียน-จีนได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
ซึ่งมีสาเหตุมาจากการผงาดขึ้นมาของจีน หรือ the rise of China
และการผงาดขึ้นมาของอาเซียน หรือ the rise of ASEAN
สำหรับการผงาดขึ้นมาของจีนนั้น
เศรษฐกิจจีนพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมากที่สุดในโลก โดยมีอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ย 10 % ต่อปี ขนาดเศรษฐกิจของจีนหรือ GDP ขณะนี้ใหญ่เป็นอันดับ
2 ของโลก รองจากสหรัฐ แต่ในอนาคต ประมาณ 10 ปีข้างหน้า คือประมาณปี 2025
จีนจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ขณะนี้ จีนเป็นประเทศที่ค้าขายกับโลกเป็นอันดับ
1 การลงทุนในต่างประเทศก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
เช่นเดียวกับการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ
จีนก็เป็นประเทศที่ให้ความช่วยเหลือรายใหญ่ของโลก
ดังนั้น
อิทธิพลของจีนจะเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ
โดยเฉพาะการขยายอิทธิพลเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออก และเอเชียกลาง
อิทธิพลของจีนจะมีในทุกมิติ ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม
ยุทธศาสตร์หลักของจีนคือ การเปลี่ยนระบบโลกจากระบบหนึ่งขั้วอำนาจไปเป็นระบบหลายขั้วอำนาจ
การกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน และการประกาศสโลแกน “การผงาดขึ้นมาอย่างสันติ”
หรือ peaceful rise
การผงาดขึ้นมาของอาเซียน
และอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์อาเซียน-จีนพัฒนาไปอย่างรวดเร็วคือ
การผงาดขึ้นมาของอาเซียน 47 ปีที่ผ่านมา อาเซียนได้วิวัฒนาการกลายเป็นองค์การระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุดในภูมิภาค
ความร่วมมือระหว่างประเทศอาเซียนพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในทุกๆมิติ
ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม ปลายปี 2015
จะมีการจัดตั้งประชาคมอาเซียนขึ้น โดยจะมี 3 ประชาคมย่อย ได้แก่
ประชาคมการเมืองและความมั่นคง ประชาคมเศรษฐกิจ และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม
อาเซียนจึงเป็นการรวมกลุ่มของภูมิภาคที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก
จะเป็นรองก็แต่เพียงกับสหภาพยุโรปเท่านั้น
10
ประเทศอาเซียนรวมกันมีประชากรกว่า 600 ล้านคน GDP รวมกันกว่า 2 ล้านล้านเหรียญ ทำให้อาเซียนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 9 ของโลก ขณะนี้ เศรษฐกิจของประเทศสมาชิกพัฒนา ไปอย่างรวดเร็ว
ซึ่งจะทำให้ในปี 2030 GDP ของอาเซียนจะเพิ่มขึ้นเป็น 7-8 ล้านล้านเหรียญ จะเป็นอันดับ 5 ของโลก
อาเซียนกำลังผงาดขึ้นมาเป็นตัวแสดงในระดับภูมิภาคและในระดับโลก
อาเซียนเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค เป็นศูนย์กลางของการทูตในภูมิภาค
ซึ่งใช้คำว่า ASEAN Centrality อาเซียนมีกรอบความร่วมมือหลายกรอบ
ทั้ง ASEAN + 1 ASEAN + 3 และ ASEAN + 8
ความสัมพันธ์อาเซียน-จีน
และด้วยการผงาดขึ้นมาของทั้งอาเซียนและจีนดังกล่าวข้างต้น
จึงทำให้ความสัมพันธ์อาเซียน-จีนพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
ในด้านการเมืองความมั่นคง
จีนเป็นประเทศแรกที่ให้การรับรองสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือของอาเซียน
หรือที่เราเรียกย่อๆว่า TAC รวมทั้งสนธิสัญญาเขตปลอดอาวุธนิวเครียร์หรือ
SEANWFZ ในปี 2002 มีปฏิญญาความร่วมมือความมั่นคงในรูปแบบใหม่
และปฏิญญาทะเลจีนใต้หรือ DOC ต่อมาในปี 2003 มีปฏิญญาที่ทำให้จีนเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ประเทศแรกของอาเซียน
ล่าสุดก็มีการจัดตั้ง Maritime Cooperation Fund ขึ้น
สำหรับในด้านสังคมและวัฒนธรรม
มีความร่วมมือกันหลายด้าน ทางด้านวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ในระดับประชาชนก็มีมาอย่างยาวนาน
นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือในด้านใหม่ๆเกินขึ้น เช่น ด้านสาธารณสุข วิทยาศาสตร์
การศึกษา และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
แต่ที่เป็นหัวใจความสัมพันธ์อาเซียน-จีน
คือความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ
ด้านการค้า
ขณะนี้จีนเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 1 ของอาเซียน
ในขณะที่อาเซียนเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 3 ของจีน
มีเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีนตั้งแต่ปี 2010 การค้าขยายตัว 20 % ทุกปี จนในปี 2015 คาดว่ามูลค่าการค้าจะเพิ่มขึ้นเป็น
5 แสนล้านเหรียญ และได้มีการตั้งเป้าว่า ในปี 2020 มูลค่าการค้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1
ล้านล้านเหรียญ
สำหรับในด้านการลงทุน
ในปี 2005 ได้มีการจัดทำข้อตกลงความร่วมมือด้านการลงทุนอาเซียน-จีน ปี 2009
มีการจัดตั้ง Investment Cooperation Fund วงเงิน 1 หมื่นล้านเหรียญ เพื่อลงทุนในการสร้างโครงสร้าง พื้นฐาน เชื่อมการคมนาคมระหว่างจีนกับอาเซียน
ตามแผนแบบบทการเชื่อมโยงอาเซียน หรือ Master
Plan on ASEAN Connectivity และล่าสุดปีที่แล้ว ได้มีการเดินหน้าในการจัดตั้ง
Asian Infrastructure Investment Bank
สำหรับในด้านการท่องเที่ยว
จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนมาอาเซียนเพิ่มขึ้น 20 % ทุกปี ปีนี้น่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนมาอาเซียนมากกว่า 10 ล้านคน
สำหรับนักท่องเที่ยวจากอาเซียนไปจีน ก็มีตัวเลขใกล้เคียงกันคือประมาณเกือบ 10
ล้านคน
สำหรับความร่วมมือในการเชื่อมโยงการคมนาคมระหว่างอาเซียน-จีนนั้น มีข้อตกลง
ASEAN-China Inter Connectivity และ ASEAN-China Transportation
Linkage จีนได้กำหนดให้เมืองคุนหมิงและหนานหนิงเป็นประตูสู่อาเซียน
โดยมีโครงการสร้างถนนและทางรถไฟจากเมืองทั้ง 2 เข้ามาในอาเซียน โดยเฉพาะระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้
ที่จะมีถนนจากคุนหมิงมาถึงสิงคโปร์ นอกจากนี้ มีโครงการสร้างทางรถไฟหลายเส้นทาง
โดยเฉพาะเส้นทางรถไฟจากคุนหมิงไปถึงสิงคโปร์ผ่านทางเวียดนาม
และอีกเส้นก็จะผ่านทางพม่า มาไทยและลงไปสิงคโปร์ รวมทั้งโครงการสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมจีน
ลาว และไทยด้วย
อนาคตความสัมพันธ์อาเซียน-จีน
สำหรับแนวโน้มความสัมพันธ์อาเซียน-จีนในอนาคต
ก็จะกระชับแน่นแฟ้นขึ้นอีก โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ ปริมาณการค้าจะเพิ่มขึ้นอีกมาก
โดยในปี 2020 จะมีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านเหรียญ ในด้านการลงทุน
ในปี 2020
มูลค่าการลงทุนจากจีนมาอาเซียนจะมีมูลค่าสูงถึง 1 แสน 5 หมื่นล้านเหรียญ
โดยจะเป็นการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมจีนกับอาเซียนตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น
ซึ่งขณะนี้ จีนก็กำลังพัฒนาแผนเส้นทางถนนและรถไฟเชื่อมอาเซียนอีกหลายเส้นทาง
ซึ่งทุกเส้นทางก็จะตัดผ่านเข้ามาในประเทศไทยทั้งหมด ดังนั้น
โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอาเซียน-จีนเหล่านี้ จึงมีมีนัยอย่างสำคัญยิ่งต่อไทย
นอกจากนี้
ก็กำลังจะมีการเจรจาปรับปรุง FTA อาเซียน-จีนกันใหม่ โดยจะให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น
เน้นการเปิดเสรีด้านบริการและการลงทุน และเชื่อม FTA อาเซียน-จีนกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และมีข้อเสนอการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจอาเซียน-จีน หรือ ASEAN-China Economic Area และการจัดตั้งระเบียงเศรษฐกิจจีน-สิงคโปร์
ซึ่งจะเป็นการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งระหว่างจีนกับประเทศต่างๆในอาเซียน นอกจากนี้
จีนก็กำลังผลักดันยุทธศาสตร์ใหม่ เรียกว่า Maritime Silk Road ซึ่งจะเป็นการเชื่อมทางทะเลระหว่างจีนกับประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้ด้วย
อย่างไรก็ตาม
อุปสรรคสำคัญต่อความสัมพันธ์อาเซียน-จีนคือ ปัญหาในทะเลจีนใต้
ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาก็ลุกลามบานปลายมากขึ้น ดังนั้น ทั้งจีนและอาเซียนต้องรีบจัดการกับปัญหานี้
อย่าปล่อยให้ลุกลามบานปลายจนจะมาทำลายความสัมพันธ์อาเซียน-จีน โดยทั้ง 2
ฝ่ายจะต้องเน้นการพูดคุยเจรจา เพื่อหาสูตรข้อตกลงในลักษณะ win-win ด้วยการเดินหน้าแปลง DOC ไปสู่การปฏิบัติ
และเจรจา COC ให้ประสบความสำเร็จ
ทุกฝ่ายจะต้องยุติกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งโดยเฉพาะความเคลื่อนไหวทางทหาร โดยเน้น เจรจาในเรื่องของเขตพัฒนาร่วมหรือ JDA และร่วมมือกันในประเด็นปัญหาที่ไม่ละเอียดอ่อน แต่ที่สำคัญมากคือจะต้องมีการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันให้เกิดขึ้น
เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหานี้ในระยะยาวต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น