Follow prapat1909 on Twitter

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

แนวโน้มสถานการณ์โลกในปี 2025

แนวโน้มสถานการณ์โลกในปี 2025
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 56 ฉบับที่12 วันศุกร์ที่ 12-วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม 2551

เมื่อเร็วๆนี้ สภาข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐ (National Intelligence Council) ได้เผยแพร่เอกสารการคาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์โลกถึงปี 2025 เอกสารมีชื่อภาษาอังกฤษว่า “Global Trends 2025” ผมเห็นว่า เป็นเอกสารสำคัญ จึงจะนำมาสรุปวิเคราะห์ในคอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้

ระบบโลกใหม่

เอกสารดังกล่าวได้คาดการณ์ว่า ระบบโลกในปี 2025 จะมีความเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยจะมีการผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจใหม่ โดยเฉพาะจะมีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจทางเศรษฐกิจและความร่ำรวยจากตะวันตกไปสู่ตะวันออก อิทธิพลของตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐจะเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ในปี 2025 ระบบโลกจะเปลี่ยนจากระบบหนึ่งขั้วอำนาจในปัจจุบัน ไปสู่การเป็นระบบหลายขั้วอำนาจ และช่องว่างแห่งอำนาจ จะแคบลงระหว่างประเทศรวยกับประเทศยากจน สำหรับสหรัฐ ถึงแม้ในปี 2025 จะยังคงเป็นประเทศที่มีพลังอำนาจมากที่สุดอยู่ก็ตาม แต่อำนาจของสหรัฐจะลดลงเรื่อยๆ

นอกจากนี้ ในปี 2025 ระบบโลกจะมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น โดยจะมีแนวโน้มของการกระจายอำนาจมากขึ้น ทั้งนี้ เพราะการผงาดขึ้นของมหาอำนาจใหม่ ความไร้ประสิทธิภาพขององค์กรโลก ที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ รวมทั้งจะมีการเกิดขึ้นของการรวมกลุ่มในภูมิภาคต่างๆ และการเกิดขึ้นของเครือข่ายและตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ การที่ระบบโลกจะมีการหลากหลายของตัวแสดง มีความไม่แน่นอนว่า จะนำไปสู่ การเพิ่มขึ้นของความร่วมมือระหว่างประเทศ หรือจะนำไปสู่ความสับสนวุ่นวาย

มหาอำนาจใหม่

เอกสาร Global Trends 2025 เน้นถึงการเปลี่ยนผ่านอำนาจทางเศรษฐกิจ และการผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจใหม่ ซึ่งเรียกรวมกันว่ากลุ่ม BRIC ซึ่งย่อมาจาก Brazil, Russia, India และ China โดย GDP ของกลุ่มประเทศนี้ในปี 2040-2050 จะเท่ากับ GDP ของกลุ่ม G7 โดยจีนจะเป็นประเทศที่ผงาดขึ้นมาโดดเด่นที่สุด ในช่วง 20 ปีข้างหน้า การผงาดขึ้นมาของจีนจะส่งผลกระทบต่อโลกมากที่สุด เอกสารดังกล่าวประเมินว่า ในปี 2025 จีนจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐ

สำหรับการประเมินของหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐ ในส่วนที่เกี่ยวกับการผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจใหม่นั้น ผมเห็นด้วยกับการผงาดขึ้นมาของกลุ่ม BRIC แต่ประเด็นที่ผมไม่เห็นด้วย คือ การประเมินว่า ในปี 2025 จีนจะมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 จากแหล่งข้อมูลหลายๆแหล่งได้ชี้ให้เห็นว่า ภายในปี 2025 จีนจะผงาดขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าสหรัฐ โดยเฉพาะถ้าเราปรับตัวเลขโดยคำนึงถึง Purchasing Power Parity หรือ PPP

ปัญหาข้ามชาติใหม่ๆ

ในปี 2025 เอกสารของรัฐบาลสหรัฐระบุว่า จะมีประเด็นปัญหาข้ามชาติใหม่ๆเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่เกี่ยวกับทรัพยากร โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนพลังงาน อาหาร และน้ำ

ธนาคารโลกได้ประเมินว่า ภายในปี 2030 ความต้องการอาหารจะเพิ่มขึ้นถึง 50% นอกจากนั้น ปัญหาการขาดแคลนน้ำจะเข้าสู่จุดวิกฤติ โดยในอีก 20 ปีข้างหน้า จะมีคนในโลกถึง 1,400 ล้านคนใน 36 ประเทศ ที่จะประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ

นอกจากนี้ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ หรือปัญหาภาวะโลกร้อน จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาการขาดแคลนทรัพยากร โดยหลายๆภูมิภาคจะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ซึ่งจะนำไปสู่การขาดแคลนน้ำ และการลดลงของผลผลิตด้านการเกษตร

ปัญหาข้ามชาติใหญ่อีกเรื่องหนึ่งในอีก 20 ปีข้างหน้าคือ ปัญหาการเพิ่มขึ้นของประชากร โดยปัญหานี้ จะเกิดขึ้นทั้งในทวีปเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา โดยปัญหาการเพิ่มขึ้นของประชากรจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของปัญหาอื่นๆมากมาย โดยเฉพาะปัญหาความยากจน แต่สำหรับตะวันตก โดยเฉพาะยุโรปกับญี่ปุ่น จะประสบปัญหาตรงข้ามกับประเทศยากจนคือ ปัญหาการลดลงของจำนวนประชากร ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในระยะยาว

สำหรับทวีปแอฟริกา จะยังคงเป็นทวีปที่ล้าหลังที่สุดในด้านการพัฒนาทางเศรษฐกิจ โดยทวีปแอฟริกาจะมีความเปราะบางมากที่สุด ทั้งด้านความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ วิกฤติการเพิ่มขึ้นของประชากร ความขัดแย้งและสงครามกลางเมือง และการไร้เสถียรถาพทางการเมือง

ความขัดแย้ง

เอกสาร Global Trends 2025 ได้คาดการณ์ว่า ในปี 2025 โลกจะยังประสบกับภัยคุกคาม ทั้งในรูปแบบของการก่อการร้าย การแพร่ขยายของอาวุธร้ายแรง และความขัดแย้งในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะความขัดแย้งในรูปแบบใหม่ที่จะมีสาเหตุมาจากการแย่งชิงทรัพยากร

สำหรับปัญหาการก่อการร้ายนั้น ในอีก 20 ปีข้างหน้า จะยังคงไม่หมดไป อย่างไรก็ตาม เอกสารประเมินว่า อาจจะมีแนวโน้มลดลง หากตะวันออกกลางสามารถเดินหน้าพัฒนาทางเศรษฐกิจ และปัญหาการว่างงานของคนหนุ่มสาวได้รับการแก้ไข

ในประเด็นนี้ ผมขอวิเคราะห์ขัดแย้งกับเอกสารของรัฐบาลสหรัฐว่า สหรัฐมองสาเหตุของการก่อการร้ายมาจากปัญหาความยากจนในตะวันออกกลาง ซึ่งผมคิดว่าเป็นการมองที่หยาบเกินไป และเป็นการมองปัญหาไม่ตรงจุด รากเหง้าของปัญหาการก่อการร้ายมีหลายสาเหตุ ทั้งมาจากการแพร่ขยายของอุดมการณ์หัวรุนแรง แนวโน้มการปะทะกันทางอารยธรรม และการดำเนินนโยบายผิดพลาดของสหรัฐต่อโลกมุสลิมและตะวันออกกลาง ดังนั้น หากปัญหารากเหง้าเหล่านี้ ไม่ได้รับการแก้ ปัญหาการก่อการร้ายก็จะไม่มีทางหมดไป

เอกสาร Global Trends 2025 ยังได้วิเคราะห์ต่อไปว่า ในปี 2025 การแพร่ขยายของเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ อาจจะทำให้กลุ่มก่อการร้ายมีอาวุธร้ายแรงอยู่ในครอบครอง ดังนั้น สิ่งที่หน่วยงานข่าวกรองสหรัฐวิตกกังวลมากที่สุดคือ การที่ในอนาคต กลุ่มก่อการร้าย จะใช้อาวุธชีวภาพ และอาวุธนิวเคลียร์ก่อวินาศกรรม ซึ่งจะก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

สำหรับรูปแบบของการขัดแย้งในอนาคต หน่วยข่าวกรองสหรัฐมองว่า อาจจะมีรูปแบบใหม่ เป็นลักษณะความขัดแย้งในการแย่งชิงทรัพยากร โดยเฉพาะการที่หลายๆประเทศมองถึงปัญหาการขาดแคลนพลังงาน จะทำให้มีการตื่นตัว ในเรื่องของการเข้าถึงแหล่งพลังงานในอนาคต ซึ่งในที่สุด อาจนำไปสู่การขัดแย้งระหว่างประเทศ

ผมมองว่า แม้ว่าในอนาคต ความขัดแย้งในการแย่งชิงทรัพยากร อาจจะเป็นจริง ตามการคาดการณ์ของหน่วยข่าวกรองสหรัฐ แต่สิ่งที่เอกสารฉบับนี้มองข้ามไปคือ ความขัดแย้งในรูปแบบเดิมๆ จะยังคงไม่หมดไป ซึ่งผมคิดว่า จะยังคงเป็นความขัดแย้งหลักในอีก 20 ปีข้างหน้าคือความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์และความขัดแย้งทางศาสนา ซึ่งในปัจจุบัน เป็นต้นตอของความขัดแย้งและสงครามทั่วโลก

กล่าวโดยสรุป เอกสาร Global Trends 2025 ของหน่วยข่าวกรองสหรัฐ โดยภาพรวมแล้ว การคาดการณ์ส่วนใหญ่ ผมเห็นว่า มีความเป็นไปได้สูง อย่างไรก็ตาม เอกสารฉบับนี้ มีลักษณะมองโลกในแง่ร้าย ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของหน่วยงานข่าวกรองของทุกประเทศ ที่หน้าที่หลักคือ ชี้ให้เห็นถึงภัยคุกคาม ดังนั้น เอกสารฉบับนี้ จึงค่อนข้างที่จะเน้นด้านลบมากเกินไปคือ เน้นภัยคุกคามมากจนเกินไป และมองข้ามอีกด้านหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นโลกในแง่ดีและเป็นเรื่องของความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งไม่มีการพูดถึงเลยในเอกสารฉบับนี้

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณมาก ๆ นะครับ