สรุปสถานการณ์โลกในปี 2551 (ตอนที่1)
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 56 ฉบับที่ 14 วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม 2551-วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2552
หน้าที่ 25-26
คอลัมน์โลกทรรศน์ตอนนี้ เป็นตอนส่งท้ายปีเก่า ผมจึงอยากจะสรุปสถานการณ์โลกในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา โดยจะจัดอันดับเรื่องสำคัญ 10 เรื่อง ที่เป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อโลกมากที่สุด ในรอบปีที่ผ่านมา โดยเรียงลำดับดังนี้
อันดับ 1 วิกฤติการเงินโลก
อันดับ 2 การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
อันดับ 3 วิกฤติน้ำมันโลก
อับดับ 4 วิกฤติอาหารโลก
อันดับ 5 วิกฤติพายุ Nargis
อันดับ 6 สงครามรัสเซีย-จอร์เจีย
อันดับ 7 การก่อการร้ายที่มุมไบ
อันดับ 8 การประกาศเอกราชของโคโซโว
อันดับ 9 วิกฤติทิเบต
อันดับ 10 สงครามอิรัก
โดยภาพรวมแล้ว ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา เรื่องหลายเรื่องที่เคยเป็นวิกฤติได้คลี่คลายไปในทางดีขึ้น และไม่ได้กลายเป็นข่าวใหญ่ในรอบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรื่องอิหร่าน อิรัก เกาหลีเหนือ ความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ รวมทั้งปัญหาภาวะโลกร้อน แต่ก็กลายเป็นมีเรื่องใหม่เกิดขึ้น ซึ่งคาดไม่ถึง โดยเฉพาะเรื่องที่กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในรอบปีคือ เรื่องวิกฤติการเงินโลก
1. วิกฤติการเงินโลก
ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา เรื่องที่ครองอันดับ 1 อย่างไม่มีข้อกังขา คือเรื่องปัญหาวิกฤติการเงินโลก ซึ่งนับเป็นปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 70 ปี โดยที่วิกฤติการเงินสหรัฐหรือที่เราชอบเรียกกันว่าวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ได้ลุกลามระบาดไปทั่วโลก โดยนอกจากทำให้สหรัฐตกอยู่ในวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในทศวรรษ 1930 ได้ลุกลามใหญ่โตทำให้สถาบันการเงินหลายแห่งล้มละลาย จนรัฐบาล Bush ต้องอัดฉีดเงินกว่า 7 แสนล้านเหรียญเพื่อกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจ แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งการระบาด ซึ่งขณะนี้ ได้ลุกลามเข้าไปในอุตสาหกรรมต่างๆ ล่าสุดทำให้บริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่กำลังง่อนแง่นทำท่าว่าจะล้มละลาย นอกจากนี้ วิกฤติการเงินสหรัฐยังได้ลุกลามระบาดเข้าไปในยุโรป และภูมิภาคต่างๆทั่วโลก รวมทั้งเอเชีย ตลาดหุ้นเอเชียก็ได้ตกลงอย่างมาก หลายคนพูดว่า ปีนี้ อาจจะเรียกว่าเป็นปีเผาหลอก ในปีหน้า น่าจะเป็นปีเผาจริง
ภายหลังการเกิดวิกฤติการเงินลุกลามไปทั่วโลก ผู้นำโลกตะวันตกได้ตื่นตัวที่จะหาวิธีการแก้ไขอย่างจริงจัง โดยสหรัฐได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม G 20 ครั้งแรกขึ้น ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน อย่างไรก็ตาม ผลการประชุมก็ออกมาเป็นที่น่าผิดหวัง เพราะข้อตกลงต่างๆไม่ได้ออกมามีลักษณะการปฏิรูประบบการเงินโลกอย่างจริงจัง
ความล้มเหลวของการประชุม G 20 ในครั้งนี้ เป็นผลมาจากท่าทีที่ขัดแย้งกันของยุโรป สหรัฐ และเอเชีย โดยทางยุโรปมีท่าทีชัดเจนที่ต้องการให้มีการปฏิรูประบบการเงินโลกอย่างถอนรากถอนโคน แต่รัฐบาล Bush กลับมีท่าทีไม่เห็นด้วย โดยท่าทีของ Bush คือการปฏิรูปจะต้องไม่กระทบต่อระบบทุนนิยมเสรี ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของทุนนิยมแบบอเมริกัน เบื้องหลังท่าทีของสหรัฐคือ ความต้องการคงความเป็นอภิมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลกไว้ สหรัฐมีความหวาดระแวงต่อข้อเสนอที่จะทำให้อิทธิพลของสหรัฐในระบบการเงินโลกลดลง โดย Bush ยังคงยืนยันว่า สหรัฐจะต้องยังคงเล่นบทการเป็นผู้นำโลกต่อไปในการปฏิรูประบบการเงินโลก แต่สำหรับท่าทีของประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะประเทศจากเอเชียนั้น มีท่าทีไม่เห็นด้วยต่อข้อเสนอของตะวันตก ที่ต้องการผลักดันการเพิ่มบทบาทของ IMF และธนาคารโลก ทั้งนี้ เพราะเอเชียไม่มีสิทธิ์มีเสียงในองค์กรดังกล่าว และมีประวัติอันขมขื่นกับ IMF ซึ่งถูกมองว่าถูกครอบงำโดยตะวันตก โดยเฉพาะโดยสหรัฐอย่างสิ้นเชิง
2. การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
เรื่องใหญ่เรื่องที่ 2 ในรอบปีที่ผ่านมา ที่ชาวโลกให้ความสนใจเป็นอย่างมาก คือ การชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ซึ่งในตอนแรก เป็นการต่อสู้กันอย่างเข้มข้นระหว่าง Hillary Clinton กับ Barack Obama แต่หลังจาก Obama ชนะ Hillary ได้เป็นตัวแทนพรรค Democrat แล้ว ก็เป็นการต่อสู้กันระหว่าง Obama กับ John McCain จากพรรค Republican สาเหตุสำคัญที่ชาวโลกให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งสหรัฐ เพราะเมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาล นโยบายต่างประเทศของสหรัฐก็จะเปลี่ยน ซึ่งจะกระทบต่อโลกทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ
แต่ในที่สุด ผลการเลือกตั้งก็ออกมาเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน โดย Obama ชนะ McCain อย่างขาดลอย เรียกว่า ชนะแบบถล่มทลาย
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Obama ได้รับความนิยมอย่างมากคือ บุคลิกภาพของเขา ซึ่งเป็นคนหนุ่มแม้จะเป็นคนผิวสี แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงของอเมริกาไปสู่ยุคใหม่ ซึ่งสอดรับกับความต้องการของคนอเมริกาในขณะนี้ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง ในขณะที่ McCain มีบุคลิกภาพที่เป็นไปในแง่ลบ ไม่ว่าจะเป็นอายุ เป็นคนหัวเก่า สายเหยี่ยว และอนุรักษ์นิยม
ปัจจัยแห่งชัยชนะอีกประการหนึ่งคือ การนำเสนอนโยบายของ Obama ที่โดนใจคนอเมริกัน เพราะ Obama เน้นนโยบายที่เน้นการเปลี่ยนแปลง นโยบายที่จะนำอเมริกาให้ผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจ นโยบายสังคมที่เน้นให้ความช่วยเหลือแก่คนยากจนและคนชั้นกลาง และนโยบายต่างประเทศที่เน้นการกอบกู้ศักดิ์ศรีของสหรัฐกลับคืนมาในสายตาประชาคมโลก
3. วิกฤติราคาน้ำมันโลก
เรื่องใหญ่เรื่องที่ 3 ในรอบปีที่ผ่านมาคือ วิกฤติราคาน้ำมันโลก รอบปีที่ผ่านมา มีการผันผวนของราคาน้ำมันอย่างหนัก โดยในช่วงครึ่งปีแรก ราคาน้ำมันได้สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ก่อให้เกิดการแตกตื่นกันไปทั่วโลก แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง ราคาน้ำมันกลับลดลงอย่างมาก จึงทำให้สถานการณ์วิกฤติคลี่คลายลงไป
โดยในช่วงต้นปีถึงกลางปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันได้ไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงประมาณกลางปี ได้ขึ้นไปถึงระดับเกือบ 150 เหรียญต่อ 1 บาร์เรล ซึ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ผลจากราคาน้ำมันที่สูงเช่นนั้น ได้ก่อให้เกิดการแตกตื่นกันไปทั่วโลก โดยราคาน้ำมันได้ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างหนัก โดยเฉพาะประเทศที่ต้องนำเข้าน้ำมัน
ในช่วงนั้น ได้มีการวิเคราะห์กันว่า วิกฤติราคาน้ำมัน จะส่งผลกระทบต่อการเมืองโลก น้ำมันกลายเป็นสินค้าที่มีความสำคัญยิ่งต่อภูมิรัฐศาสตร์ เพราะเกือบทุกสิ่งทุกอย่างต้องพึ่งพาพลังงานจากน้ำมัน ทุกประเทศต้องการน้ำมัน ดังนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงราคาและจำนวนน้ำมันที่เหลืออยู่ จึงส่งผลกระทบต่อการเมืองโลก วิกฤติราคาน้ำมันโลกในช่วงต้นปี ได้ก่อให้เกิดผู้ชนะและผู้แพ้ในเวทีการเมืองโลก ผู้ชนะที่สำคัญคือ ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย ประเทศรอบอ่าวเปอร์เชีย และรัสเซีย มีรายได้เพิ่มขึ้นมหาศาล และจะนำไปสู่ความมั่งคั่งและอำนาจทางการเมืองระหว่างประเทศในอนาคต
สำหรับประเทศผู้แพ้ในเกมราคาน้ำมันครั้งนี้คือ ประเทศในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งต้องนำเข้าน้ำมันและพึ่งพาน้ำมันในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่ยังเน้นในเรื่องอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าส่งออก ประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักคือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลัง หลังจากเกิดวิกฤติการเงินโลก ทำให้ความต้องการน้ำมันลดลงเป็นอย่างมาก จึงทำให้ราคาน้ำมันได้ปรับตัวลดลงเรื่อยๆ จนในช่วงปลายปี ได้ตกลงมาอยู่ที่ประมาณ 40 เหรียญต่อ 1 บาร์เรลเท่านั้น ทำให้ขณะนี้ ปัญหาวิกฤติราคาน้ำมันโลกได้คลี่คลายลงไปมาก
4. วิกฤติอาหารโลก
สำหรับเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอันดับ 4 ในรอบปีที่ผ่านมาคือเรื่อง วิกฤติอาหารโลก โดยในปีนี้ สถานการณ์ราคาอาหารโลกได้เข้าสู่ขั้นวิกฤติ โดยถือว่าสถานการณ์ย่ำแย่ที่สุดในรอบ 30 ปี โดยเฉพาะราคาธัญพืชได้เพิ่มขึ้นมากที่สุด
จากราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นทำให้ประเทศยากจน ที่ต้องนำเข้าอาหารประสบวิกฤติอย่างหนัก ราคาอาหารในประเทศที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้คนจนในประเทศไม่มีเงินพอที่จะซื้ออาหาร จึงนำไปสู่การเดินขบวนประท้วงและความวุ่นวายในหลายประเทศ ที่หนักที่สุดคือ ในทวีปแอฟริกา ประเทศเอเชียใต้ก็ประสบปัญหาอย่างหนัก โดยเฉพาะอินเดียและบังกลาเทศ รวมไปถึงประเทศในอเมริกากลาง อาทิ เฮติ ก็เกิดการจลาจลวุ่นวายขึ้น
ราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นมาจากการที่อุปทานมีน้อยลง ในขณะที่อุปสงค์เพิ่มมากขึ้น สาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดอุปสงค์หรือความต้องการอาหารเพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่กำลังพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจีนและอินเดีย
นอกจากนี้ อีกปัจจัยหนึ่งเป็นผลลูกโซ่มาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าอาหารเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มที่ประเทศต่างๆหันไปหาพลังงานทางเลือก โดยเฉพาะการนำเอาพืชบางชนิดมาใช้ในการผลิตพลังงาน เป็นผลทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารขึ้น
5. วิกฤติพายุ Nargis
สำหรับเรื่องใหญ่ลำดับที่ 5 ในรอบปีที่ผ่านมาคือ วิกฤติพายุ Nargis ที่พัดถล่มพม่าถือเป็นภัยพิบัติที่ร้ายแรงที่สุดของโลกในรอบปีที่ผ่านมา โดยพายุ Nargis ได้พัดถล่มพม่าในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีผู้เสียชีวิตกว่า 1 แสนคน นอกจากนี้ ยังมีผู้ประสบความยากลำบาก ขาดแคลนอาหาร น้ำ และที่อยู่อาศัยอีกประมาณ 2 ล้าน 5 แสนคน แต่ที่ซ้ำเติมความสูญเสียในครั้งนี้คือ การไร้ประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาของรัฐบาลทหารพม่า ที่หนักไปกว่านั้นคือ ความช่วยเหลือจากนานาชาติก็ถูกกีดกันโดยเฉพาะความช่วยเหลือจากตะวันตก ที่รัฐบาลทหารพม่ากลัวว่าจะเป็นช่องทางเข้ามาแทรกแซงและอาจกระทบต่อระบอบเผด็จการของตน
สำหรับบทบาทของอาเซียน ก็เป็นที่น่าผิดหวังอย่างยิ่ง ที่ในช่วง 3 สัปดาห์แรก อาเซียนแทบไม่มีบทบาทอะไรเลย ทั้งๆที่พม่าเป็นสมาชิกของอาเซียนแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าประเทศตะวันตกและ UN กลายเป็นตัวแสดงสำคัญที่กดดันและเสนอความช่วยเหลือ จริงๆแล้ว อาเซียนมีปฏิญญาที่จะจัดการกับภัยพิบัติมาตั้งแต่ปี 1976 และต่อมาก็มีการจัดทำข้อตกลงความร่วมมือในการจัดการกับภัยพิบัติ แต่เป็นที่น่าผิดหวังอย่างยิ่งที่ข้อตกลงเหล่านี้เป็นเพียงแค่กระดาษ เพราะเมื่อเกิดภาวะวิกฤติจริงๆ อาเซียนก็ไม่สามารถดำเนินการให้ความช่วยเหลือใดๆได้
(โปรดอ่านต่อตอนจบในคอลัมน์โลกทรรศน์สัปดาห์หน้า)
วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2551
วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551
นโยบายต่างประเทศของ Obama: ผลกระทบต่อโลก (ตอนที่1)
นโยบายต่างประเทศของ Obama: ผลกระทบต่อโลก (ตอนที่ 1)
ไทยโพสต์ ปีที่ 13 ฉบับที่ 4433 วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม 2551
Barack Obama จะดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมกราคมปีหน้า มีการคาดหมายกันมากว่า รัฐบาล Obama จะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศครั้งใหญ่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง จะส่งผลกระทบต่อโลกโดยรวม คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในตอนนี้ และในอีกหลายๆตอนต่อไป จะได้วิเคราะห์ถึงแนวนโยบายต่างประเทศของ Obama และผลกระทบต่อโลก สำหรับในตอนแรกนี้ จะเน้นนโยบายในภาพรวม หรือยุทธศาสตร์ใหญ่ที่เรียกว่า Grand strategy
ปัญหาท้าทายนโยบายต่างประเทศ Obama
Obama จะเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดี ในช่วงเวลาที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบโลก และมีปัญหาใหญ่ๆเผชิญหน้าอยู่มากมาย ดังนั้น จากปัญหาท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า จึงถือเป็นโอกาสของ Obama ที่จะพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ในการผลักดันวิสัยทัศน์เพื่อปฏิรูประบบโลกในอนาคต
ในขณะนี้ โดยเฉพาะในสหรัฐ ได้มีทั้งนักการเมืองและนักวิชาการออกมาเสนอข้อเสนอต่างๆมากมาย เกี่ยวกับแนวนโยบายต่างประเทศของสหรัฐในอนาคต เพื่อเผชิญกับปัญหาสำคัญๆ ปัญหาที่เด่นชัดก็คือ นโยบายสหรัฐต่ออิรักและอัฟกานิสถาน นโยบายของสหรัฐต่อการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านและเกาหลีเหนือ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาที่มีลักษณะเป็นปัญหาที่คงจะต้องใช้เวลาในการแก้ในระยะยาว เช่น เรื่องการปฏิรูประบบการเงินโลก เรื่องความมั่นคงด้านพลังงาน การแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน การจัดการกับกระแสการต่อต้านโลกาภิวัตน์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และการปฏิรูปองค์การระหว่างประเทศ ที่ดูเหมือนกับจะไม่สามารถปรับตัวให้รวดเร็วกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป
แนวทางในการแก้ปัญหาแนวทางหนึ่งคือ การที่ Obama จะแก้ปัญหาเหล่านี้โดยเริ่มจากปัญหาที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดก่อน แล้วค่อยๆไปแก้ปัญหาที่มีความสำคัญรองลงไป แต่การแก้ปัญหาแบบนี้ มีลักษณะเป็นการแก้แบบค่อยเป็นค่อยไป และเป็นการมองปัญหาว่าแต่ละปัญหาเป็นอิสระจากกัน ซึ่งอาจจะประสบความล้มเหลวได้
Grand strategy
ดังนั้น จึงมีแนวทางในการแก้ปัญหาอีกแนวทางหนึ่ง ซึ่งผมเห็นด้วย คือ การแก้ปัญหาแบบมองปัญหาแบบองค์รวม และมองปัญหาแต่ละเรื่องว่ามีการเชื่อมโยงกัน ดังนั้น Obama จึงจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์แบบเป็นองค์รวมและสมบูรณ์เบ็ดเสร็จ
หัวใจของยุทธศาสตร์ดังกล่าวคือ สหรัฐจะต้องผลักดันให้มีการเจรจาในระดับโลก ซึ่งคงไม่ใช่การเจรจาแบบครั้งเดียวจบ แต่คงจะต้องมีลักษณะการเจรจาหลายครั้ง ที่มีลักษณะ “ยื่นหมูยื่นแมว” กับประเทศหลักๆในโลก ในสมัยรัฐบาล Bush นโยบายต่างประเทศสหรัฐเน้นนโยบาย “ข้ามาคนเดียว” โดยสหรัฐไม่ได้ให้ความสำคัญกับประชาคมโลกและประเทศอื่นเท่าที่ควร
Grand strategy ของ Obama อาจจะเริ่มด้วยการกล่าวสุนทรพจน์ประกาศนโยบายต่างประเทศของสหรัฐ โดยฉายภาพให้เห็นถึงสิ่งท้าทายประชาคมโลก และเน้นถึงความจริงใจของสหรัฐที่จะร่วมมือกับประชาคมโลกในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน หลังจากนั้น ก็จะมีการเจรจาหารือกันแบบไม่เป็นทางการกับประเทศที่สำคัญๆ โดยเฉพาะพันธมิตรยุโรป สหภาพยุโรป พันธมิตรในเอเชีย รวมทั้งประเทศมหาอำนาจเกิดใหม่คือ จีน อินเดีย และบราซิล
การเจรจาในระดับโลก จะเป็นการผสมผสานกันทั้งมาตรการที่เป็นสนธิสัญญาข้อตกลงระหว่างประเทศ และมาตรการอื่นๆที่มีลักษณะไม่ผูกพันมากนัก
หัวใจของการเจรจาระดับโลกคือ การแลกเปลี่ยนในลักษณะ “ยื่นหมูยื่นแมว” ซึ่งจะเป็นในลักษณะ สหรัฐยอมในบางเรื่อง และประเทศอื่นๆยอมในบางเรื่อง ที่ผ่านมาในสมัยรัฐบาล Bush ท่าทีของสหรัฐมีลักษณะแข็งกร้าวและไม่มีความยืดหยุ่น ทำให้ประชาคมโลกไม่สามารถหาข้อยุติใดๆได้ และล้มเหลวในการเจรจาหาทางแก้ไขปัญหาของโลก ไม่ว่าจะเป็นการเจรจารอบ Doha การปฏิรูปองค์กรโลก เช่น UN IMF และธนาคารโลก รวมทั้งความล้มเหลวในการเจรจาแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน
ตัวอย่างของการเจรจาในระดับโลกที่มีลักษณะที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า grand bargain มีดังนี้
· ในด้านการค้า: สหรัฐและยุโรป อาจจะเสนอข้อเสนอใหม่ๆในการเจรจา WTO รอบ Doha โดยเฉพาะข้อเสนอในการเปิดเสรีสินค้าเกษตร เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการที่ประเทศกำลังพัฒนา โดยการนำของบราซิลและอินเดีย อาจจะปรับเปลี่ยนท่าทีในการประนีประนอมการเปิดเสรีในด้านการค้าบริการและสินค้าอุตสาหกรรม
· ในประเด็นปัญหาด้านภาวะโลกร้อน: สหรัฐและ EU ควรจะตกลงที่จะให้มีการกำหนดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งหากสหรัฐแสดงจุดยืนดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงการประนีประนอมแล้ว (ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล Bush) ทางฝ่ายประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะจีนและอินเดีย ก็อาจจะมีท่าทีประนีประนอมมากขึ้น และอาจจะยอมที่จะตกลงที่จะมีการกำหนดระดับของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศตนลงด้วย
· ในประเด็นเรื่องการปฏิรูปองค์กรโลก: การมองประเด็นปัญหาโลกในลักษณะองค์รวม จะทำให้สหรัฐเห็นว่า ปัญหาการเจรจาเรื่องภาวะโลกร้อนนั้น เชื่อมโยงกับประเด็นปัญหาเรื่องอื่นๆด้วย โดยเฉพาะท่าทางของจีนและอินเดีย จะเชื่อมโยงกับประเด็นของการปฏิรูปองค์กรเศรษฐกิจโลกด้วย หมายความว่า มีความเป็นไปได้ว่า จีนและอินเดียจะมีท่าทีประนีประนอมมากขึ้น หากทั้งสองประเทศเห็นว่า ระบบเศรษฐกิจโลก ระบบการค้าโลก และระบบการเงินโลก มีความเป็นธรรมาภิบาลมากขึ้น คือ หากสหรัฐและยุโรปจะผลักดันให้มีการปฏิรูป IMF และธนาคารโลกอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการยกเลิกการผูกขาดตำแหน่งผู้อำนวยการ IMF ให้กับคนยุโรป และการผูกขาดประธานธนาคารโลกให้กับคนอเมริกัน
นอกจากนี้ ยุทธศาสตร์ grand bargain ของสหรัฐ นอกจากจะลดการผูกขาดองค์การสหประชาชาติ IMF และธนาคารโลกแล้ว สหรัฐควรที่จะยกระดับการเจรจา G20 มาแทนที่การเจรจา G8 อย่างถาวร ซึ่งหากสหรัฐแสดงถึงความใจกว้างเช่นนั้น ก็มีความเป็นไปได้ว่า ประเทศมหาอำนาจใหม่ โดยเฉพาะจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ก็จะให้ความร่วมมือกับสหรัฐมากขึ้น ทั้งในด้านการค้า การเงิน พลังงาน และการเจรจาสิ่งแวดล้อมโลก
การปฏิรูประบบโลกในลักษณะ grand bargain ได้ส่อเค้าให้เห็นบ้างแล้ว โดยเฉพาะข้อเรียกร้องของยุโรปที่จะให้มีการปฏิรูประบบการเงินโลกใหม่ โดยได้มีการเรียกร้องให้มีการจัดตั้งระบบการเงินโลกใหม่ที่เรียกว่า Bretton Woods II ในช่วงระหว่างการประชุมสุดยอด G20 ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
รัฐบาล Obama จึงควรจะเข้ามาสานต่อและผลักดันให้เกิดการปฏิรูประบบโลกอย่างจริงจัง ทั้งนี้ ไม่ใช่แต่สหรัฐจะได้รับประโยชน์จากการปฏิรูป แต่ประชาคมโลกโดยรวม ก็จะได้รับประโยชน์จากการสร้างระเบียบโลกใหม่ของ Obama ด้วย
ไทยโพสต์ ปีที่ 13 ฉบับที่ 4433 วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม 2551
Barack Obama จะดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมกราคมปีหน้า มีการคาดหมายกันมากว่า รัฐบาล Obama จะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศครั้งใหญ่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง จะส่งผลกระทบต่อโลกโดยรวม คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในตอนนี้ และในอีกหลายๆตอนต่อไป จะได้วิเคราะห์ถึงแนวนโยบายต่างประเทศของ Obama และผลกระทบต่อโลก สำหรับในตอนแรกนี้ จะเน้นนโยบายในภาพรวม หรือยุทธศาสตร์ใหญ่ที่เรียกว่า Grand strategy
ปัญหาท้าทายนโยบายต่างประเทศ Obama
Obama จะเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดี ในช่วงเวลาที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบโลก และมีปัญหาใหญ่ๆเผชิญหน้าอยู่มากมาย ดังนั้น จากปัญหาท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า จึงถือเป็นโอกาสของ Obama ที่จะพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ในการผลักดันวิสัยทัศน์เพื่อปฏิรูประบบโลกในอนาคต
ในขณะนี้ โดยเฉพาะในสหรัฐ ได้มีทั้งนักการเมืองและนักวิชาการออกมาเสนอข้อเสนอต่างๆมากมาย เกี่ยวกับแนวนโยบายต่างประเทศของสหรัฐในอนาคต เพื่อเผชิญกับปัญหาสำคัญๆ ปัญหาที่เด่นชัดก็คือ นโยบายสหรัฐต่ออิรักและอัฟกานิสถาน นโยบายของสหรัฐต่อการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านและเกาหลีเหนือ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาที่มีลักษณะเป็นปัญหาที่คงจะต้องใช้เวลาในการแก้ในระยะยาว เช่น เรื่องการปฏิรูประบบการเงินโลก เรื่องความมั่นคงด้านพลังงาน การแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน การจัดการกับกระแสการต่อต้านโลกาภิวัตน์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และการปฏิรูปองค์การระหว่างประเทศ ที่ดูเหมือนกับจะไม่สามารถปรับตัวให้รวดเร็วกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป
แนวทางในการแก้ปัญหาแนวทางหนึ่งคือ การที่ Obama จะแก้ปัญหาเหล่านี้โดยเริ่มจากปัญหาที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดก่อน แล้วค่อยๆไปแก้ปัญหาที่มีความสำคัญรองลงไป แต่การแก้ปัญหาแบบนี้ มีลักษณะเป็นการแก้แบบค่อยเป็นค่อยไป และเป็นการมองปัญหาว่าแต่ละปัญหาเป็นอิสระจากกัน ซึ่งอาจจะประสบความล้มเหลวได้
Grand strategy
ดังนั้น จึงมีแนวทางในการแก้ปัญหาอีกแนวทางหนึ่ง ซึ่งผมเห็นด้วย คือ การแก้ปัญหาแบบมองปัญหาแบบองค์รวม และมองปัญหาแต่ละเรื่องว่ามีการเชื่อมโยงกัน ดังนั้น Obama จึงจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์แบบเป็นองค์รวมและสมบูรณ์เบ็ดเสร็จ
หัวใจของยุทธศาสตร์ดังกล่าวคือ สหรัฐจะต้องผลักดันให้มีการเจรจาในระดับโลก ซึ่งคงไม่ใช่การเจรจาแบบครั้งเดียวจบ แต่คงจะต้องมีลักษณะการเจรจาหลายครั้ง ที่มีลักษณะ “ยื่นหมูยื่นแมว” กับประเทศหลักๆในโลก ในสมัยรัฐบาล Bush นโยบายต่างประเทศสหรัฐเน้นนโยบาย “ข้ามาคนเดียว” โดยสหรัฐไม่ได้ให้ความสำคัญกับประชาคมโลกและประเทศอื่นเท่าที่ควร
Grand strategy ของ Obama อาจจะเริ่มด้วยการกล่าวสุนทรพจน์ประกาศนโยบายต่างประเทศของสหรัฐ โดยฉายภาพให้เห็นถึงสิ่งท้าทายประชาคมโลก และเน้นถึงความจริงใจของสหรัฐที่จะร่วมมือกับประชาคมโลกในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน หลังจากนั้น ก็จะมีการเจรจาหารือกันแบบไม่เป็นทางการกับประเทศที่สำคัญๆ โดยเฉพาะพันธมิตรยุโรป สหภาพยุโรป พันธมิตรในเอเชีย รวมทั้งประเทศมหาอำนาจเกิดใหม่คือ จีน อินเดีย และบราซิล
การเจรจาในระดับโลก จะเป็นการผสมผสานกันทั้งมาตรการที่เป็นสนธิสัญญาข้อตกลงระหว่างประเทศ และมาตรการอื่นๆที่มีลักษณะไม่ผูกพันมากนัก
หัวใจของการเจรจาระดับโลกคือ การแลกเปลี่ยนในลักษณะ “ยื่นหมูยื่นแมว” ซึ่งจะเป็นในลักษณะ สหรัฐยอมในบางเรื่อง และประเทศอื่นๆยอมในบางเรื่อง ที่ผ่านมาในสมัยรัฐบาล Bush ท่าทีของสหรัฐมีลักษณะแข็งกร้าวและไม่มีความยืดหยุ่น ทำให้ประชาคมโลกไม่สามารถหาข้อยุติใดๆได้ และล้มเหลวในการเจรจาหาทางแก้ไขปัญหาของโลก ไม่ว่าจะเป็นการเจรจารอบ Doha การปฏิรูปองค์กรโลก เช่น UN IMF และธนาคารโลก รวมทั้งความล้มเหลวในการเจรจาแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน
ตัวอย่างของการเจรจาในระดับโลกที่มีลักษณะที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า grand bargain มีดังนี้
· ในด้านการค้า: สหรัฐและยุโรป อาจจะเสนอข้อเสนอใหม่ๆในการเจรจา WTO รอบ Doha โดยเฉพาะข้อเสนอในการเปิดเสรีสินค้าเกษตร เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการที่ประเทศกำลังพัฒนา โดยการนำของบราซิลและอินเดีย อาจจะปรับเปลี่ยนท่าทีในการประนีประนอมการเปิดเสรีในด้านการค้าบริการและสินค้าอุตสาหกรรม
· ในประเด็นปัญหาด้านภาวะโลกร้อน: สหรัฐและ EU ควรจะตกลงที่จะให้มีการกำหนดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งหากสหรัฐแสดงจุดยืนดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงการประนีประนอมแล้ว (ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล Bush) ทางฝ่ายประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะจีนและอินเดีย ก็อาจจะมีท่าทีประนีประนอมมากขึ้น และอาจจะยอมที่จะตกลงที่จะมีการกำหนดระดับของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศตนลงด้วย
· ในประเด็นเรื่องการปฏิรูปองค์กรโลก: การมองประเด็นปัญหาโลกในลักษณะองค์รวม จะทำให้สหรัฐเห็นว่า ปัญหาการเจรจาเรื่องภาวะโลกร้อนนั้น เชื่อมโยงกับประเด็นปัญหาเรื่องอื่นๆด้วย โดยเฉพาะท่าทางของจีนและอินเดีย จะเชื่อมโยงกับประเด็นของการปฏิรูปองค์กรเศรษฐกิจโลกด้วย หมายความว่า มีความเป็นไปได้ว่า จีนและอินเดียจะมีท่าทีประนีประนอมมากขึ้น หากทั้งสองประเทศเห็นว่า ระบบเศรษฐกิจโลก ระบบการค้าโลก และระบบการเงินโลก มีความเป็นธรรมาภิบาลมากขึ้น คือ หากสหรัฐและยุโรปจะผลักดันให้มีการปฏิรูป IMF และธนาคารโลกอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการยกเลิกการผูกขาดตำแหน่งผู้อำนวยการ IMF ให้กับคนยุโรป และการผูกขาดประธานธนาคารโลกให้กับคนอเมริกัน
นอกจากนี้ ยุทธศาสตร์ grand bargain ของสหรัฐ นอกจากจะลดการผูกขาดองค์การสหประชาชาติ IMF และธนาคารโลกแล้ว สหรัฐควรที่จะยกระดับการเจรจา G20 มาแทนที่การเจรจา G8 อย่างถาวร ซึ่งหากสหรัฐแสดงถึงความใจกว้างเช่นนั้น ก็มีความเป็นไปได้ว่า ประเทศมหาอำนาจใหม่ โดยเฉพาะจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ก็จะให้ความร่วมมือกับสหรัฐมากขึ้น ทั้งในด้านการค้า การเงิน พลังงาน และการเจรจาสิ่งแวดล้อมโลก
การปฏิรูประบบโลกในลักษณะ grand bargain ได้ส่อเค้าให้เห็นบ้างแล้ว โดยเฉพาะข้อเรียกร้องของยุโรปที่จะให้มีการปฏิรูประบบการเงินโลกใหม่ โดยได้มีการเรียกร้องให้มีการจัดตั้งระบบการเงินโลกใหม่ที่เรียกว่า Bretton Woods II ในช่วงระหว่างการประชุมสุดยอด G20 ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
รัฐบาล Obama จึงควรจะเข้ามาสานต่อและผลักดันให้เกิดการปฏิรูประบบโลกอย่างจริงจัง ทั้งนี้ ไม่ใช่แต่สหรัฐจะได้รับประโยชน์จากการปฏิรูป แต่ประชาคมโลกโดยรวม ก็จะได้รับประโยชน์จากการสร้างระเบียบโลกใหม่ของ Obama ด้วย
มุมไบ: การก่อการร้ายระลอกใหม่
มุมไบ: การก่อการร้ายระลอกใหม่
ไทยโพสต์ ปีที่ 13 ฉบับที่ 4419 วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม 2551
เหตุการณ์การก่อการร้าย
เมื่อช่วงประมาณวันที่ 26-27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์การก่อการร้ายครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในอินเดีย ที่เมืองมุมไบ ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของอินเดีย โดยกลุ่มก่อการร้ายได้เข้าโจมตีโรงแรมชื่อดัง 2 แห่ง รวมทั้งภัตตาคาร สถานีรถไฟ และโรงพยาบาลในช่วงเวลาพร้อมๆกัน มีผู้คนเสียชีวิตไปเกือบ 200 คน
เหตุการณ์การก่อการร้ายได้เริ่มขึ้นในตอนเช้าของวันที่ 26 พฤศจิกายน โดยกลุ่มก่อการร้ายได้บุกเข้ากราดยิง และขว้างระเบิด เข้าใส่ผู้คนที่สถานีรถไฟในเมืองมุมไบ และในเวลาเดียวกัน ได้มีระเบิดใกล้กับสนามบินของเมืองมุมไบ นอกจากนี้ ยังมีการบุกเข้าไปในโรงแรมหรูชื่อดังของมุมไบ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวอยู่เป็นจำนวนมาก โรงแรมหนึ่งชื่อ Taj Mahal และอีกโรงแรมหนึ่งชื่อ Trident Oberoi โดยเฉพาะโรงแรม Taj Mahal นั้น ถือได้ว่าเป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงที่สุดโรงแรมหนึ่งของอินเดีย
ในอดีตนั้น เมืองมุมไบเคยถูกก่อวินาศกรรมหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ ถือว่ารุนแรงที่สุด โดยเมื่อปี 2003 มีคนเสียชีวิตไป 50 คนจากระเบิดนอกโรงแรม Taj Mahal และในปี 2006 มีคนเสียชีวิตไปอีก 180 คน จากระเบิดที่สถานีรถไฟ 7 แห่ง แต่การก่อวินาศกรรมครั้งล่าสุด ถือว่ารุนแรงที่สุด และถือว่าเป็นระลอกใหม่ของการก่อการร้ายสากล ที่ก่อนหน้านี้ ดูเหมือนกับว่าทำท่าจะเพลาลง
กลุ่มก่อการร้าย
หลังจากเกิดเหตุการณ์ก่อวินาศกรรม คำถามสำคัญที่ตามมาคือ การก่อการร้ายครั้งนี้ เป็นฝีมือของใคร ขณะนี้ ยังไม่ชัดเจน มีอยู่หลายทฤษฎี
ทฤษฎีแรก มุ่งเป้าไปที่กลุ่มก่อการร้ายมุสลิมหัวรุนแรงในอินเดียเอง โดยหลังจากเกิดเหตุการณ์ ก็ได้มีกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า Deccan Mujahideen ออกมาแสดงความรับผิดชอบ แต่หลายคนก็สงสัยว่า อาจจะไม่ใช่ตัวการที่แท้จริง
ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา มีการก่อวินาศกรรมในอินเดียหลายครั้ง ในกรุง New Delhi, Bangalore และ Jaipur โดยกลุ่มก่อการร้ายมุสลิมในอินเดีย ที่มีชื่อว่า Indian Mujahideen ถูกมองว่าเป็นตัวการสำคัญ กลุ่ม Indian Mujahideen นี้ เป็นกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในอินเดีย ซึ่งวิวัฒนาการมาจากกลุ่มก่อการร้ายในแคชเมียร์ โดยกลุ่มนี้ต้องการที่จะปลุกระดมคนมุสลิมในอินเดีย ซึ่งมีจำนวน 150 ล้านคน ให้ลุกฮือขึ้นต่อสู้กับชาวฮินดู
อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีที่ 2 ที่มุ่งเป้าไปที่ปากีสถาน ดูมีน้ำหนักมากกว่า โดยนายกรัฐมนตรีของอินเดีย คือ Manmohan Singh ได้กล่าวว่า การโจมตีนั้น เป็นการโจมตีจากกลุ่มก่อการร้ายภายนอกประเทศ ต่อมารัฐมนตรีต่างประเทศของอินเดียคือ Pranab Mukherjee ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า กลุ่มก่อการร้ายดังกล่าว เชื่อมโยงกับปากีสถาน โดยล่าสุด ทางตำรวจได้มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยจำนวนหนึ่ง และจากการสอบสวนได้มีรายงานข่าวว่า กลุ่มผู้ต้องสงสัยเป็นชาวปากีสถาน อย่างไรก็ตาม ผู้นำปากีสถานก็ได้ออกมาปฏิเสธว่า ปากีสถานไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ต่อมา ได้มีการระบุถึงกลุ่มก่อการร้ายที่ต้องสงสัยว่าอาจจะเป็นตัวการสำคัญ ซึ่งกลุ่มที่ถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษคือ กลุ่ม Lashkar-e-Toiba ซึ่งมีฐานอยู่ใกล้เมือง Lahore ในปากีสถาน โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อขับไล่อินเดียออกจากแคชเมียร์ และจัดตั้งรัฐอิสลามขึ้นทั่วอินเดีย กลุ่มนี้มีความสัมพันธ์กับ Taliban และ al-Qeada ทางรัฐบาลอินเดียได้กล่าวหา Lashkar และปากีสถานว่า อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายในเขตแคชเมียร์ และเป็นกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายในอินเดีย
เมื่อเร็วๆนี้ ได้มีรายงานข่าวถึงความเคลื่อนไหวของ Lashkar ว่า ได้ย้ายฐานที่ตั้งจากในเขตแคชเมียร์ของปากีสถาน เข้าไปอยู่ในเขตเดียวกับ Taliban และ al-Qeada ในแนวพรมแดนระหว่างปากีสถานและอัฟกานิสถาน Lashkar ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในการเข้าไปปฏิบัติการในอัฟกานิสถาน เพื่อโจมตีกองกำลังสหรัฐด้วย และ Lashkar ก็ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับนักวางแผนของ al-Qeada
Ayman al-Zawahiri ผู้นำ al-Qeada อันดับ 2 รองจาก Bin laden ได้เคยประกาศกร้าวว่า เป้าหมายของ al-Qeada คือ การทำลายกระบวนการสันติภาพระหว่างอินเดียกับปากีสถาน และต้องการที่จะปลุกระดมให้เกิดความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศ al-Qeada นั้น ได้เคยขู่หลายครั้งที่จะโจมตีอินเดีย ในปี 2006 กลุ่มก่อการร้ายชาวอาหรับ สมาชิก al-Qeada ได้พยายามก่อวินาศกรรมเมือง Goa ทางตะวันตกของอินเดีย เป้าหมายการโจมตีของ al-Qeada ล่าสุดในอินเดีย คือ การโจมตีศูนย์กลางทางศาสนาของชาวยิวทางตอนใต้ของเมืองมุมไบ
ผลกระทบต่อโลก
การก่อการร้ายระลอกใหม่ที่เมืองมุมไบในครั้งนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อโลกอย่างน้อย 3 ประการด้วยกัน
· ประการที่ 1 หากทฤษฎีแรกเป็นจริง นั่นก็คือ แนวโน้มของการก่อการร้ายโดยกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในอินเดีย ซึ่งมักจะหมายถึงกลุ่ม Indian Mujahideen ดังนั้น หากกลุ่มมุสลิมที่มีอยู่ในอินเดียถึง 150 ล้านคน ถ้าแนวคิดหัวรุนแรงเริ่มระบาด ก็จะก่อให้เกิดแนวรบของสงครามต่อต้านการก่อการร้ายที่ใหญ่โตมโหฬารมาก ในอดีต อินเดียเคยภาคภูมิใจว่า ชาวมุสลิมในอินเดียไม่มีกลุ่มหัวรุนแรง ถึงขั้นประธานาธิบดี Bush เคยกล่าวชมนายกรัฐมนตรีอินเดียในตอนพบปะหารือกันเมื่อ 2-3 ปีก่อนว่า “อินเดียถึงแม้จะมีชาวมุสลิมถึง 150 ล้านคน แต่ก็ไม่ได้เป็นสมาชิก al-Qeada เลยแม้แต่คนเดียว”
ชาวมุสลิมในอินเดียอยู่ในสถานะหมิ่นเหม่ที่จะถูกปลุกปั่นให้มีแนวคิดหัวรุนแรงได้ง่าย ทั้งนี้ เพราะความขัดแย้งระหว่างชาวฮินดูและมุสลิมที่ฝังรากลึกมานาน และยังมีปัญหาแคชเมียร์ที่สร้างความแตกแยกให้กับคนทั้งสองศาสนา ในอินเดียนั้น ชาวมุสลิมเป็นชนกลุ่มน้อยที่รู้สึกถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา การงาน และรายได้ เมื่อเทียบกับชาวฮินดู
· ผลกระทบประการที่ 2 เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถาน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา กำลังมีกระบวนการสันติภาพ และความขัดแย้งกำลังลดลง แต่จากเหตุการณ์ก่อการร้ายที่มุมไบ ทำให้อินเดียกล่าวหาปากีสถานว่า มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งจะนำไปสู่ความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศอีกครั้งหนึ่ง
· ผลกระทบประการสุดท้ายจากเหตุการณ์ก่อการร้ายในครั้งนี้ คือ ผลกระทบต่อสงครามต่อต้านการก่อการร้ายทั่วโลก ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ดูเหมือนกับว่า กำลังประสบความสำเร็จ และดูเหมือนกับว่า การก่อการร้ายกำลังลดลง แต่เหตุการณ์มุมไบ ถือเป็นจุดเปลี่ยนผันอีกครั้งหนึ่งในสงครามต่อต้านการก่อการร้าย โดยเฉพาะกับกลุ่ม al-Qeada ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ดูเหมือนกับว่า al-Qeada กำลังสูญเสียบทบาทลง ดังนั้น หาก al-Qeada ประสบความสำเร็จในการปลุกระดมชาวมุสลิมในอินเดีย ให้เข้าร่วมกับขบวนการหัวรุนแรงมากขึ้น ก็คงจะเป็นฝันร้ายของประชาคมโลก ในสงครามต่อต้านการก่อการร้ายในอนาคต
ไทยโพสต์ ปีที่ 13 ฉบับที่ 4419 วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม 2551
เหตุการณ์การก่อการร้าย
เมื่อช่วงประมาณวันที่ 26-27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์การก่อการร้ายครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในอินเดีย ที่เมืองมุมไบ ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของอินเดีย โดยกลุ่มก่อการร้ายได้เข้าโจมตีโรงแรมชื่อดัง 2 แห่ง รวมทั้งภัตตาคาร สถานีรถไฟ และโรงพยาบาลในช่วงเวลาพร้อมๆกัน มีผู้คนเสียชีวิตไปเกือบ 200 คน
เหตุการณ์การก่อการร้ายได้เริ่มขึ้นในตอนเช้าของวันที่ 26 พฤศจิกายน โดยกลุ่มก่อการร้ายได้บุกเข้ากราดยิง และขว้างระเบิด เข้าใส่ผู้คนที่สถานีรถไฟในเมืองมุมไบ และในเวลาเดียวกัน ได้มีระเบิดใกล้กับสนามบินของเมืองมุมไบ นอกจากนี้ ยังมีการบุกเข้าไปในโรงแรมหรูชื่อดังของมุมไบ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวอยู่เป็นจำนวนมาก โรงแรมหนึ่งชื่อ Taj Mahal และอีกโรงแรมหนึ่งชื่อ Trident Oberoi โดยเฉพาะโรงแรม Taj Mahal นั้น ถือได้ว่าเป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงที่สุดโรงแรมหนึ่งของอินเดีย
ในอดีตนั้น เมืองมุมไบเคยถูกก่อวินาศกรรมหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ ถือว่ารุนแรงที่สุด โดยเมื่อปี 2003 มีคนเสียชีวิตไป 50 คนจากระเบิดนอกโรงแรม Taj Mahal และในปี 2006 มีคนเสียชีวิตไปอีก 180 คน จากระเบิดที่สถานีรถไฟ 7 แห่ง แต่การก่อวินาศกรรมครั้งล่าสุด ถือว่ารุนแรงที่สุด และถือว่าเป็นระลอกใหม่ของการก่อการร้ายสากล ที่ก่อนหน้านี้ ดูเหมือนกับว่าทำท่าจะเพลาลง
กลุ่มก่อการร้าย
หลังจากเกิดเหตุการณ์ก่อวินาศกรรม คำถามสำคัญที่ตามมาคือ การก่อการร้ายครั้งนี้ เป็นฝีมือของใคร ขณะนี้ ยังไม่ชัดเจน มีอยู่หลายทฤษฎี
ทฤษฎีแรก มุ่งเป้าไปที่กลุ่มก่อการร้ายมุสลิมหัวรุนแรงในอินเดียเอง โดยหลังจากเกิดเหตุการณ์ ก็ได้มีกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า Deccan Mujahideen ออกมาแสดงความรับผิดชอบ แต่หลายคนก็สงสัยว่า อาจจะไม่ใช่ตัวการที่แท้จริง
ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา มีการก่อวินาศกรรมในอินเดียหลายครั้ง ในกรุง New Delhi, Bangalore และ Jaipur โดยกลุ่มก่อการร้ายมุสลิมในอินเดีย ที่มีชื่อว่า Indian Mujahideen ถูกมองว่าเป็นตัวการสำคัญ กลุ่ม Indian Mujahideen นี้ เป็นกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในอินเดีย ซึ่งวิวัฒนาการมาจากกลุ่มก่อการร้ายในแคชเมียร์ โดยกลุ่มนี้ต้องการที่จะปลุกระดมคนมุสลิมในอินเดีย ซึ่งมีจำนวน 150 ล้านคน ให้ลุกฮือขึ้นต่อสู้กับชาวฮินดู
อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีที่ 2 ที่มุ่งเป้าไปที่ปากีสถาน ดูมีน้ำหนักมากกว่า โดยนายกรัฐมนตรีของอินเดีย คือ Manmohan Singh ได้กล่าวว่า การโจมตีนั้น เป็นการโจมตีจากกลุ่มก่อการร้ายภายนอกประเทศ ต่อมารัฐมนตรีต่างประเทศของอินเดียคือ Pranab Mukherjee ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า กลุ่มก่อการร้ายดังกล่าว เชื่อมโยงกับปากีสถาน โดยล่าสุด ทางตำรวจได้มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยจำนวนหนึ่ง และจากการสอบสวนได้มีรายงานข่าวว่า กลุ่มผู้ต้องสงสัยเป็นชาวปากีสถาน อย่างไรก็ตาม ผู้นำปากีสถานก็ได้ออกมาปฏิเสธว่า ปากีสถานไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ต่อมา ได้มีการระบุถึงกลุ่มก่อการร้ายที่ต้องสงสัยว่าอาจจะเป็นตัวการสำคัญ ซึ่งกลุ่มที่ถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษคือ กลุ่ม Lashkar-e-Toiba ซึ่งมีฐานอยู่ใกล้เมือง Lahore ในปากีสถาน โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อขับไล่อินเดียออกจากแคชเมียร์ และจัดตั้งรัฐอิสลามขึ้นทั่วอินเดีย กลุ่มนี้มีความสัมพันธ์กับ Taliban และ al-Qeada ทางรัฐบาลอินเดียได้กล่าวหา Lashkar และปากีสถานว่า อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายในเขตแคชเมียร์ และเป็นกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายในอินเดีย
เมื่อเร็วๆนี้ ได้มีรายงานข่าวถึงความเคลื่อนไหวของ Lashkar ว่า ได้ย้ายฐานที่ตั้งจากในเขตแคชเมียร์ของปากีสถาน เข้าไปอยู่ในเขตเดียวกับ Taliban และ al-Qeada ในแนวพรมแดนระหว่างปากีสถานและอัฟกานิสถาน Lashkar ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในการเข้าไปปฏิบัติการในอัฟกานิสถาน เพื่อโจมตีกองกำลังสหรัฐด้วย และ Lashkar ก็ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับนักวางแผนของ al-Qeada
Ayman al-Zawahiri ผู้นำ al-Qeada อันดับ 2 รองจาก Bin laden ได้เคยประกาศกร้าวว่า เป้าหมายของ al-Qeada คือ การทำลายกระบวนการสันติภาพระหว่างอินเดียกับปากีสถาน และต้องการที่จะปลุกระดมให้เกิดความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศ al-Qeada นั้น ได้เคยขู่หลายครั้งที่จะโจมตีอินเดีย ในปี 2006 กลุ่มก่อการร้ายชาวอาหรับ สมาชิก al-Qeada ได้พยายามก่อวินาศกรรมเมือง Goa ทางตะวันตกของอินเดีย เป้าหมายการโจมตีของ al-Qeada ล่าสุดในอินเดีย คือ การโจมตีศูนย์กลางทางศาสนาของชาวยิวทางตอนใต้ของเมืองมุมไบ
ผลกระทบต่อโลก
การก่อการร้ายระลอกใหม่ที่เมืองมุมไบในครั้งนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อโลกอย่างน้อย 3 ประการด้วยกัน
· ประการที่ 1 หากทฤษฎีแรกเป็นจริง นั่นก็คือ แนวโน้มของการก่อการร้ายโดยกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในอินเดีย ซึ่งมักจะหมายถึงกลุ่ม Indian Mujahideen ดังนั้น หากกลุ่มมุสลิมที่มีอยู่ในอินเดียถึง 150 ล้านคน ถ้าแนวคิดหัวรุนแรงเริ่มระบาด ก็จะก่อให้เกิดแนวรบของสงครามต่อต้านการก่อการร้ายที่ใหญ่โตมโหฬารมาก ในอดีต อินเดียเคยภาคภูมิใจว่า ชาวมุสลิมในอินเดียไม่มีกลุ่มหัวรุนแรง ถึงขั้นประธานาธิบดี Bush เคยกล่าวชมนายกรัฐมนตรีอินเดียในตอนพบปะหารือกันเมื่อ 2-3 ปีก่อนว่า “อินเดียถึงแม้จะมีชาวมุสลิมถึง 150 ล้านคน แต่ก็ไม่ได้เป็นสมาชิก al-Qeada เลยแม้แต่คนเดียว”
ชาวมุสลิมในอินเดียอยู่ในสถานะหมิ่นเหม่ที่จะถูกปลุกปั่นให้มีแนวคิดหัวรุนแรงได้ง่าย ทั้งนี้ เพราะความขัดแย้งระหว่างชาวฮินดูและมุสลิมที่ฝังรากลึกมานาน และยังมีปัญหาแคชเมียร์ที่สร้างความแตกแยกให้กับคนทั้งสองศาสนา ในอินเดียนั้น ชาวมุสลิมเป็นชนกลุ่มน้อยที่รู้สึกถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา การงาน และรายได้ เมื่อเทียบกับชาวฮินดู
· ผลกระทบประการที่ 2 เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถาน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา กำลังมีกระบวนการสันติภาพ และความขัดแย้งกำลังลดลง แต่จากเหตุการณ์ก่อการร้ายที่มุมไบ ทำให้อินเดียกล่าวหาปากีสถานว่า มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งจะนำไปสู่ความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศอีกครั้งหนึ่ง
· ผลกระทบประการสุดท้ายจากเหตุการณ์ก่อการร้ายในครั้งนี้ คือ ผลกระทบต่อสงครามต่อต้านการก่อการร้ายทั่วโลก ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ดูเหมือนกับว่า กำลังประสบความสำเร็จ และดูเหมือนกับว่า การก่อการร้ายกำลังลดลง แต่เหตุการณ์มุมไบ ถือเป็นจุดเปลี่ยนผันอีกครั้งหนึ่งในสงครามต่อต้านการก่อการร้าย โดยเฉพาะกับกลุ่ม al-Qeada ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ดูเหมือนกับว่า al-Qeada กำลังสูญเสียบทบาทลง ดังนั้น หาก al-Qeada ประสบความสำเร็จในการปลุกระดมชาวมุสลิมในอินเดีย ให้เข้าร่วมกับขบวนการหัวรุนแรงมากขึ้น ก็คงจะเป็นฝันร้ายของประชาคมโลก ในสงครามต่อต้านการก่อการร้ายในอนาคต
วิกฤติอินเดีย-ปากีสถาน
วิกฤติอินเดีย-ปากีสถาน
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 56 ฉบับที่ 13 วันศุกร์ที่ 19-วันพฤหัสที่ 25 ธันวาคม 2551
การก่อการร้ายครั้งร้ายแรงที่มุมไบเมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งมีผู้เสียชีวิตเกือบ 200 คน แต่ผลกระทบเรื่องใหญ่ที่ตามมาก็คือ อันตรายต่อความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน ซึ่งหลังจากการก่อการร้ายที่มุมไบ ความตึงเครียดระหว่างอินเดียและปากีสถานก็เข้าขั้นวิกฤติ คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ จะได้วิเคราะห์ถึงที่มาของวิกฤติดังกล่าว โดยจะวิเคราะห์ถึงบทบาทของกลุ่มก่อการร้ายที่น่าจะเป็นตัวการการก่อวินาศกรรมที่มุมไบ และผลกระทบที่ตามมา ต่อความสัมพันธ์อินเดีย-ปากีสถาน
กลุ่มก่อการร้าย Lashkar-e-Taiba (LeT)
หลังจากเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายที่มุมไบ ในตอนแรก ยังไม่มีความแน่ชัดว่าเป็นฝีมือของใคร ตอนแรก กลุ่ม Deccan Mujahideen ได้ออกมารับผิดชอบ แต่ต่อมา ก็มีความเข้าใจว่าเป็นกลุ่มเดียวกับ Indian Mujahideen ซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายชาวมุสลิมในอินเดีย
อย่างไรก็ตาม ต่อมาได้มีการจับกุมผู้ก่อการร้ายได้ ซึ่งเป็นชาวปากีสถาน และหลังจากได้มีการสืบสวนสอบสวน หลักฐานต่างๆได้ชี้ไปว่า คงไม่ใช่ฝีมือจากกลุ่ม Indian Mujahideen แต่น่าจะเป็นฝีมือจากกลุ่มก่อการร้ายชาวปากีสถานที่อันตรายที่สุดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่า Lashkar-e-Taiba หรือเรียกย่อว่า LeT
ถึงแม้กลุ่ม LeT จะได้เคยมีฐานที่มั่นอยู่ในเขตแคชเมียร์ แต่กลุ่มดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นองค์กรของชาวแคชเมียร์ แต่สมาชิกประกอบด้วยชาวปากีสถาน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากแคว้นปัญจาบ โดยทางอินเดียได้กล่าวหาว่ากลุ่ม LeT ได้รับการสนับสนุนทั้งทางด้านการเงินและอาวุธ รวมทั้งการฝึกฝน จากหน่วยงานข่าวกรองของรัฐบาลปากีสถาน ซึ่งมีชื่อหน่วยงานว่า Inter-Service Intelligence (ISI)
สำหรับวัตถุประสงค์หลักของกลุ่มก่อการร้าย LeT ก็ไม่ได้เกี่ยวกับแคชเมียร์โดยตรง แต่กลับมีอุดมการณ์คล้ายกับกลุ่ม al-Qeada คือ การมีแนวคิดมุสลิมหัวรุนแรง และต้องการที่จะจัดตั้งรัฐอิสลามขึ้น โดยเฉพาะที่อินเดีย
ดังนั้น ในช่วงที่อินเดียค่อนข้างจะประสบความสำเร็จ ในการมีสันติภาพ ความมั่งคั่ง รวมทั้งพัฒนาการประชาธิปไตย ที่มีการแยกศาสนาออกจากการเมือง และมีระบบการเมืองที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ พัฒนาการเหล่านี้ ถือเป็นอุปสรรคสำคัญของกลุ่ม LeT ที่จะจัดตั้งรัฐอิสลามขึ้นในอินเดีย
นอกจากนี้ ในระยะหลังๆ การที่อินเดียร่วมมือกับสหรัฐและตะวันตก ในการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ทำให้ LeT ถึงกับประกาศว่า อินเดียเป็นหนึ่งใน “อักษะระหว่างสหรัฐ ยิว และฮินดู” ที่จะต้องได้รับการต่อต้านด้วยการใช้กำลัง
ด้วยอุดมการณ์ดังกล่าว การโจมตีของ LeT ในเมืองมุมไบ จึงน่าจะเป็นความพยายามที่จะทำให้เศรษฐกิจอินเดียถดถอย ทำลายความเชื่อมั่นในระบบการเมืองและสังคมเปิดของอินเดีย และก่อให้เกิดความแตกแยกกันทางเชื้อชาติศาสนา
อาจจะกล่าวได้ว่า รองจาก al-Qeada แล้ว LeT ถือได้ว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายในเอเชียใต้ที่สำคัญที่สุด และมีเครือข่ายทั่วโลกเหมือน al-Qeada โดยขอบข่ายการดำเนินการ การหาแหล่งเงิน และการหาสมาชิกนั้น ครอบคลุมประเทศต่างๆทั่วโลก โดยเฉพาะในอัฟกานิสถาน อิรัก เอเชียกลาง ยุโรป แอฟริกา และออสเตรเลีย
วิกฤติอินเดีย-ปากีสถาน
ดังนั้น หลังจาก LeT ได้ก่อวินาศกรรมในเมืองมุมไบ ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศก็ดีขึ้นเป็นลำดับ แต่หลังจากเหตุการณ์มุมไบ ความสัมพันธ์ก็เข้าขั้นวิกฤติอีกครั้งหนึ่ง ประเด็นหลักที่ทำให้เกิดวิกฤติคือ การที่อินเดียเชื่อว่า การก่อการร้ายที่มุมไบเป็นฝีมือของ LeT ซึ่งมีรัฐบาลปากีสถานรู้เห็นเป็นใจ และอาจสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศทำให้อภิมหาอำนาจอย่างสหรัฐ ก็อยู่เฉยไม่ได้ ถึงขั้น Condoleezza Rice ต้องรีบเดินทางไปเจรจาห้ามศึก เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม
ความตึงเครียดระหว่างอินเดียกับปากีสถานครั้งใหม่ อาจนำไปสู่สงคราม ซึ่งในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา มีการรบกันถึง 4 ครั้ง
รัฐบาล Bush จึงได้พยายามกดดันให้รัฐบาลปากีสถาน จัดการกับกลุ่มก่อการร้ายในประเทศ รัฐบาลปากีสถานก็ตอบสนองต่อแรงกดดันจากสหรัฐ ด้วยการกวาดจับผู้ก่อการร้ายได้หลายคน ในจำนวนผู้ก่อการร้ายที่กวาดจับได้ครั้งล่าสุดนั้นมี Zaki-ur-Rehman Lakhvi ผู้นำคนหนึ่งของกลุ่ม LeT รวมอยู่ด้วย ซึ่งทางตำรวจอินเดียระบุว่าเป็นคนวางแผนก่อวินาศกรรมที่มุมไบ
ทางฝ่ายอินเดียเรียกร้องให้รัฐบาลปากีสถานมีความจริงใจที่จะไม่ให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย ในอดีตอินเดียมองว่า รัฐบาลปากีสถานได้ใช้กลุ่มก่อการร้าย รวมทั้งกลุ่ม LeT ต่อสู้กับอินเดียในลักษณะสงครามตัวแทน โดยกลุ่มเหล่านี้ มักจะชูเรื่องความขัดแย้งแคชเมียร์เป็นประเด็นหลัก รัฐบาลปากีสถานมักจะอ้างมาตลอดว่า วิธีที่ดีที่สุดที่จะยุติขบวนการก่อการร้ายคือ การแก้ปัญหาแคชเมียร์
ทางฝ่ายอินเดียได้เรียกร้องให้ทางปากีสถานส่งตัวผู้ก่อการร้ายที่จับได้ประมาณ 20 คนให้กับอินเดีย แต่ทางฝ่ายปากีสถานก็ปฏิเสธ
นอกจากนี้ ตำรวจอินเดียยังได้กล่าวหาว่า กลุ่ม LeT ได้ฝึกฝนผู้ก่อการร้ายประมาณ 30 คนมาเป็นเวลากว่า 1 ปี ในแหล่งซ่องสุม 3-4 แห่งในปากีสถาน อย่างไรก็ตาม ในการก่อวินาศกรรมที่มุมไบนั้น เป็นการปฏิบัติการโดยกลุ่ม LeT จำนวน 10 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นชาวปากีสถานและถูกทางอินเดียสังหารไป 9 คน อย่างไรก็ตาม ทางปากีสถาน ก็ยังคงยืนยันและปฏิเสธว่า กลุ่มก่อการร้ายที่มุมไบนั้น ไม่ใช่ชาวปากีสถาน
สถานการณ์ต่างๆเหล่านี้ จึงนำไปสู่ความตึงเครียด ถึงขั้นที่มีชาวอินเดียเสนอให้รัฐบาลใช้กำลังทหารโจมตีปากีสถาน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอินเดีย โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีคือ Manmohan Singh ยังแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการทำสงครามกับปากีสถาน
สำหรับทางฝ่ายปากีสถานนั้น ประธานาธิบดีปากีสถานคือ Asif Ali Zardari ก็ได้สั่งการให้กองทัพปากีสถานเตรียมพร้อม หลังจากได้รับสัญญาณ โดยเฉพาะคำขู่จากรัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย คือ นาย Pranab Mukherjee
นอกจากนี้ ความตึงเครียดล่าสุด ก็กำลังจะเปิดแผลเก่าคือ ความขัดแย้งแคชเมียร์ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน ความขัดแย้งแคชเมียร์นั้น มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่อินเดียและปากีสถานได้รับเอกราชเมื่อปี 1948 ทั้งสองประเทศได้เปิดสงครามรบกันมาแล้วหลายครั้งเพื่อแย่งชิงแคชเมียร์ เมื่อตอนปลายปี 2001 ได้มีกลุ่มก่อการร้ายโจมตีรัฐสภาของอินเดีย ซึ่งในตอนนั้น อินเดียก็กล่าวหากลุ่ม LeT ว่าอยู่เบื้องหลัง และเกือบจะทำให้ทั้งสองประเทศเข้าสู่สงครามอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น ได้มีความพยายามในการเจรจาหยุดยิง และสันติภาพก็ดูว่าจะเกิดขึ้นในแคชเมียร์ อย่างไรก็ตาม การก่อการร้ายที่มุมไบ และความตึงเครียดอินเดีย-ปากีสถานครั้งล่าสุด ก็ทำให้หลายฝ่ายกลัวว่า ความขัดแย้งแคชเมียร์กำลังจะปะทุขึ้นอีก
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 56 ฉบับที่ 13 วันศุกร์ที่ 19-วันพฤหัสที่ 25 ธันวาคม 2551
การก่อการร้ายครั้งร้ายแรงที่มุมไบเมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งมีผู้เสียชีวิตเกือบ 200 คน แต่ผลกระทบเรื่องใหญ่ที่ตามมาก็คือ อันตรายต่อความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน ซึ่งหลังจากการก่อการร้ายที่มุมไบ ความตึงเครียดระหว่างอินเดียและปากีสถานก็เข้าขั้นวิกฤติ คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ จะได้วิเคราะห์ถึงที่มาของวิกฤติดังกล่าว โดยจะวิเคราะห์ถึงบทบาทของกลุ่มก่อการร้ายที่น่าจะเป็นตัวการการก่อวินาศกรรมที่มุมไบ และผลกระทบที่ตามมา ต่อความสัมพันธ์อินเดีย-ปากีสถาน
กลุ่มก่อการร้าย Lashkar-e-Taiba (LeT)
หลังจากเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายที่มุมไบ ในตอนแรก ยังไม่มีความแน่ชัดว่าเป็นฝีมือของใคร ตอนแรก กลุ่ม Deccan Mujahideen ได้ออกมารับผิดชอบ แต่ต่อมา ก็มีความเข้าใจว่าเป็นกลุ่มเดียวกับ Indian Mujahideen ซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายชาวมุสลิมในอินเดีย
อย่างไรก็ตาม ต่อมาได้มีการจับกุมผู้ก่อการร้ายได้ ซึ่งเป็นชาวปากีสถาน และหลังจากได้มีการสืบสวนสอบสวน หลักฐานต่างๆได้ชี้ไปว่า คงไม่ใช่ฝีมือจากกลุ่ม Indian Mujahideen แต่น่าจะเป็นฝีมือจากกลุ่มก่อการร้ายชาวปากีสถานที่อันตรายที่สุดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่า Lashkar-e-Taiba หรือเรียกย่อว่า LeT
ถึงแม้กลุ่ม LeT จะได้เคยมีฐานที่มั่นอยู่ในเขตแคชเมียร์ แต่กลุ่มดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นองค์กรของชาวแคชเมียร์ แต่สมาชิกประกอบด้วยชาวปากีสถาน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากแคว้นปัญจาบ โดยทางอินเดียได้กล่าวหาว่ากลุ่ม LeT ได้รับการสนับสนุนทั้งทางด้านการเงินและอาวุธ รวมทั้งการฝึกฝน จากหน่วยงานข่าวกรองของรัฐบาลปากีสถาน ซึ่งมีชื่อหน่วยงานว่า Inter-Service Intelligence (ISI)
สำหรับวัตถุประสงค์หลักของกลุ่มก่อการร้าย LeT ก็ไม่ได้เกี่ยวกับแคชเมียร์โดยตรง แต่กลับมีอุดมการณ์คล้ายกับกลุ่ม al-Qeada คือ การมีแนวคิดมุสลิมหัวรุนแรง และต้องการที่จะจัดตั้งรัฐอิสลามขึ้น โดยเฉพาะที่อินเดีย
ดังนั้น ในช่วงที่อินเดียค่อนข้างจะประสบความสำเร็จ ในการมีสันติภาพ ความมั่งคั่ง รวมทั้งพัฒนาการประชาธิปไตย ที่มีการแยกศาสนาออกจากการเมือง และมีระบบการเมืองที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ พัฒนาการเหล่านี้ ถือเป็นอุปสรรคสำคัญของกลุ่ม LeT ที่จะจัดตั้งรัฐอิสลามขึ้นในอินเดีย
นอกจากนี้ ในระยะหลังๆ การที่อินเดียร่วมมือกับสหรัฐและตะวันตก ในการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ทำให้ LeT ถึงกับประกาศว่า อินเดียเป็นหนึ่งใน “อักษะระหว่างสหรัฐ ยิว และฮินดู” ที่จะต้องได้รับการต่อต้านด้วยการใช้กำลัง
ด้วยอุดมการณ์ดังกล่าว การโจมตีของ LeT ในเมืองมุมไบ จึงน่าจะเป็นความพยายามที่จะทำให้เศรษฐกิจอินเดียถดถอย ทำลายความเชื่อมั่นในระบบการเมืองและสังคมเปิดของอินเดีย และก่อให้เกิดความแตกแยกกันทางเชื้อชาติศาสนา
อาจจะกล่าวได้ว่า รองจาก al-Qeada แล้ว LeT ถือได้ว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายในเอเชียใต้ที่สำคัญที่สุด และมีเครือข่ายทั่วโลกเหมือน al-Qeada โดยขอบข่ายการดำเนินการ การหาแหล่งเงิน และการหาสมาชิกนั้น ครอบคลุมประเทศต่างๆทั่วโลก โดยเฉพาะในอัฟกานิสถาน อิรัก เอเชียกลาง ยุโรป แอฟริกา และออสเตรเลีย
วิกฤติอินเดีย-ปากีสถาน
ดังนั้น หลังจาก LeT ได้ก่อวินาศกรรมในเมืองมุมไบ ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศก็ดีขึ้นเป็นลำดับ แต่หลังจากเหตุการณ์มุมไบ ความสัมพันธ์ก็เข้าขั้นวิกฤติอีกครั้งหนึ่ง ประเด็นหลักที่ทำให้เกิดวิกฤติคือ การที่อินเดียเชื่อว่า การก่อการร้ายที่มุมไบเป็นฝีมือของ LeT ซึ่งมีรัฐบาลปากีสถานรู้เห็นเป็นใจ และอาจสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศทำให้อภิมหาอำนาจอย่างสหรัฐ ก็อยู่เฉยไม่ได้ ถึงขั้น Condoleezza Rice ต้องรีบเดินทางไปเจรจาห้ามศึก เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม
ความตึงเครียดระหว่างอินเดียกับปากีสถานครั้งใหม่ อาจนำไปสู่สงคราม ซึ่งในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา มีการรบกันถึง 4 ครั้ง
รัฐบาล Bush จึงได้พยายามกดดันให้รัฐบาลปากีสถาน จัดการกับกลุ่มก่อการร้ายในประเทศ รัฐบาลปากีสถานก็ตอบสนองต่อแรงกดดันจากสหรัฐ ด้วยการกวาดจับผู้ก่อการร้ายได้หลายคน ในจำนวนผู้ก่อการร้ายที่กวาดจับได้ครั้งล่าสุดนั้นมี Zaki-ur-Rehman Lakhvi ผู้นำคนหนึ่งของกลุ่ม LeT รวมอยู่ด้วย ซึ่งทางตำรวจอินเดียระบุว่าเป็นคนวางแผนก่อวินาศกรรมที่มุมไบ
ทางฝ่ายอินเดียเรียกร้องให้รัฐบาลปากีสถานมีความจริงใจที่จะไม่ให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย ในอดีตอินเดียมองว่า รัฐบาลปากีสถานได้ใช้กลุ่มก่อการร้าย รวมทั้งกลุ่ม LeT ต่อสู้กับอินเดียในลักษณะสงครามตัวแทน โดยกลุ่มเหล่านี้ มักจะชูเรื่องความขัดแย้งแคชเมียร์เป็นประเด็นหลัก รัฐบาลปากีสถานมักจะอ้างมาตลอดว่า วิธีที่ดีที่สุดที่จะยุติขบวนการก่อการร้ายคือ การแก้ปัญหาแคชเมียร์
ทางฝ่ายอินเดียได้เรียกร้องให้ทางปากีสถานส่งตัวผู้ก่อการร้ายที่จับได้ประมาณ 20 คนให้กับอินเดีย แต่ทางฝ่ายปากีสถานก็ปฏิเสธ
นอกจากนี้ ตำรวจอินเดียยังได้กล่าวหาว่า กลุ่ม LeT ได้ฝึกฝนผู้ก่อการร้ายประมาณ 30 คนมาเป็นเวลากว่า 1 ปี ในแหล่งซ่องสุม 3-4 แห่งในปากีสถาน อย่างไรก็ตาม ในการก่อวินาศกรรมที่มุมไบนั้น เป็นการปฏิบัติการโดยกลุ่ม LeT จำนวน 10 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นชาวปากีสถานและถูกทางอินเดียสังหารไป 9 คน อย่างไรก็ตาม ทางปากีสถาน ก็ยังคงยืนยันและปฏิเสธว่า กลุ่มก่อการร้ายที่มุมไบนั้น ไม่ใช่ชาวปากีสถาน
สถานการณ์ต่างๆเหล่านี้ จึงนำไปสู่ความตึงเครียด ถึงขั้นที่มีชาวอินเดียเสนอให้รัฐบาลใช้กำลังทหารโจมตีปากีสถาน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอินเดีย โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีคือ Manmohan Singh ยังแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการทำสงครามกับปากีสถาน
สำหรับทางฝ่ายปากีสถานนั้น ประธานาธิบดีปากีสถานคือ Asif Ali Zardari ก็ได้สั่งการให้กองทัพปากีสถานเตรียมพร้อม หลังจากได้รับสัญญาณ โดยเฉพาะคำขู่จากรัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย คือ นาย Pranab Mukherjee
นอกจากนี้ ความตึงเครียดล่าสุด ก็กำลังจะเปิดแผลเก่าคือ ความขัดแย้งแคชเมียร์ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน ความขัดแย้งแคชเมียร์นั้น มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่อินเดียและปากีสถานได้รับเอกราชเมื่อปี 1948 ทั้งสองประเทศได้เปิดสงครามรบกันมาแล้วหลายครั้งเพื่อแย่งชิงแคชเมียร์ เมื่อตอนปลายปี 2001 ได้มีกลุ่มก่อการร้ายโจมตีรัฐสภาของอินเดีย ซึ่งในตอนนั้น อินเดียก็กล่าวหากลุ่ม LeT ว่าอยู่เบื้องหลัง และเกือบจะทำให้ทั้งสองประเทศเข้าสู่สงครามอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น ได้มีความพยายามในการเจรจาหยุดยิง และสันติภาพก็ดูว่าจะเกิดขึ้นในแคชเมียร์ อย่างไรก็ตาม การก่อการร้ายที่มุมไบ และความตึงเครียดอินเดีย-ปากีสถานครั้งล่าสุด ก็ทำให้หลายฝ่ายกลัวว่า ความขัดแย้งแคชเมียร์กำลังจะปะทุขึ้นอีก
แนวโน้มสถานการณ์โลกในปี 2025
แนวโน้มสถานการณ์โลกในปี 2025
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 56 ฉบับที่12 วันศุกร์ที่ 12-วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม 2551
เมื่อเร็วๆนี้ สภาข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐ (National Intelligence Council) ได้เผยแพร่เอกสารการคาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์โลกถึงปี 2025 เอกสารมีชื่อภาษาอังกฤษว่า “Global Trends 2025” ผมเห็นว่า เป็นเอกสารสำคัญ จึงจะนำมาสรุปวิเคราะห์ในคอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้
ระบบโลกใหม่
เอกสารดังกล่าวได้คาดการณ์ว่า ระบบโลกในปี 2025 จะมีความเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยจะมีการผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจใหม่ โดยเฉพาะจะมีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจทางเศรษฐกิจและความร่ำรวยจากตะวันตกไปสู่ตะวันออก อิทธิพลของตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐจะเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ในปี 2025 ระบบโลกจะเปลี่ยนจากระบบหนึ่งขั้วอำนาจในปัจจุบัน ไปสู่การเป็นระบบหลายขั้วอำนาจ และช่องว่างแห่งอำนาจ จะแคบลงระหว่างประเทศรวยกับประเทศยากจน สำหรับสหรัฐ ถึงแม้ในปี 2025 จะยังคงเป็นประเทศที่มีพลังอำนาจมากที่สุดอยู่ก็ตาม แต่อำนาจของสหรัฐจะลดลงเรื่อยๆ
นอกจากนี้ ในปี 2025 ระบบโลกจะมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น โดยจะมีแนวโน้มของการกระจายอำนาจมากขึ้น ทั้งนี้ เพราะการผงาดขึ้นของมหาอำนาจใหม่ ความไร้ประสิทธิภาพขององค์กรโลก ที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ รวมทั้งจะมีการเกิดขึ้นของการรวมกลุ่มในภูมิภาคต่างๆ และการเกิดขึ้นของเครือข่ายและตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ การที่ระบบโลกจะมีการหลากหลายของตัวแสดง มีความไม่แน่นอนว่า จะนำไปสู่ การเพิ่มขึ้นของความร่วมมือระหว่างประเทศ หรือจะนำไปสู่ความสับสนวุ่นวาย
มหาอำนาจใหม่
เอกสาร Global Trends 2025 เน้นถึงการเปลี่ยนผ่านอำนาจทางเศรษฐกิจ และการผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจใหม่ ซึ่งเรียกรวมกันว่ากลุ่ม BRIC ซึ่งย่อมาจาก Brazil, Russia, India และ China โดย GDP ของกลุ่มประเทศนี้ในปี 2040-2050 จะเท่ากับ GDP ของกลุ่ม G7 โดยจีนจะเป็นประเทศที่ผงาดขึ้นมาโดดเด่นที่สุด ในช่วง 20 ปีข้างหน้า การผงาดขึ้นมาของจีนจะส่งผลกระทบต่อโลกมากที่สุด เอกสารดังกล่าวประเมินว่า ในปี 2025 จีนจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐ
สำหรับการประเมินของหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐ ในส่วนที่เกี่ยวกับการผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจใหม่นั้น ผมเห็นด้วยกับการผงาดขึ้นมาของกลุ่ม BRIC แต่ประเด็นที่ผมไม่เห็นด้วย คือ การประเมินว่า ในปี 2025 จีนจะมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 จากแหล่งข้อมูลหลายๆแหล่งได้ชี้ให้เห็นว่า ภายในปี 2025 จีนจะผงาดขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าสหรัฐ โดยเฉพาะถ้าเราปรับตัวเลขโดยคำนึงถึง Purchasing Power Parity หรือ PPP
ปัญหาข้ามชาติใหม่ๆ
ในปี 2025 เอกสารของรัฐบาลสหรัฐระบุว่า จะมีประเด็นปัญหาข้ามชาติใหม่ๆเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่เกี่ยวกับทรัพยากร โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนพลังงาน อาหาร และน้ำ
ธนาคารโลกได้ประเมินว่า ภายในปี 2030 ความต้องการอาหารจะเพิ่มขึ้นถึง 50% นอกจากนั้น ปัญหาการขาดแคลนน้ำจะเข้าสู่จุดวิกฤติ โดยในอีก 20 ปีข้างหน้า จะมีคนในโลกถึง 1,400 ล้านคนใน 36 ประเทศ ที่จะประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ
นอกจากนี้ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ หรือปัญหาภาวะโลกร้อน จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาการขาดแคลนทรัพยากร โดยหลายๆภูมิภาคจะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ซึ่งจะนำไปสู่การขาดแคลนน้ำ และการลดลงของผลผลิตด้านการเกษตร
ปัญหาข้ามชาติใหญ่อีกเรื่องหนึ่งในอีก 20 ปีข้างหน้าคือ ปัญหาการเพิ่มขึ้นของประชากร โดยปัญหานี้ จะเกิดขึ้นทั้งในทวีปเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา โดยปัญหาการเพิ่มขึ้นของประชากรจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของปัญหาอื่นๆมากมาย โดยเฉพาะปัญหาความยากจน แต่สำหรับตะวันตก โดยเฉพาะยุโรปกับญี่ปุ่น จะประสบปัญหาตรงข้ามกับประเทศยากจนคือ ปัญหาการลดลงของจำนวนประชากร ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในระยะยาว
สำหรับทวีปแอฟริกา จะยังคงเป็นทวีปที่ล้าหลังที่สุดในด้านการพัฒนาทางเศรษฐกิจ โดยทวีปแอฟริกาจะมีความเปราะบางมากที่สุด ทั้งด้านความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ วิกฤติการเพิ่มขึ้นของประชากร ความขัดแย้งและสงครามกลางเมือง และการไร้เสถียรถาพทางการเมือง
ความขัดแย้ง
เอกสาร Global Trends 2025 ได้คาดการณ์ว่า ในปี 2025 โลกจะยังประสบกับภัยคุกคาม ทั้งในรูปแบบของการก่อการร้าย การแพร่ขยายของอาวุธร้ายแรง และความขัดแย้งในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะความขัดแย้งในรูปแบบใหม่ที่จะมีสาเหตุมาจากการแย่งชิงทรัพยากร
สำหรับปัญหาการก่อการร้ายนั้น ในอีก 20 ปีข้างหน้า จะยังคงไม่หมดไป อย่างไรก็ตาม เอกสารประเมินว่า อาจจะมีแนวโน้มลดลง หากตะวันออกกลางสามารถเดินหน้าพัฒนาทางเศรษฐกิจ และปัญหาการว่างงานของคนหนุ่มสาวได้รับการแก้ไข
ในประเด็นนี้ ผมขอวิเคราะห์ขัดแย้งกับเอกสารของรัฐบาลสหรัฐว่า สหรัฐมองสาเหตุของการก่อการร้ายมาจากปัญหาความยากจนในตะวันออกกลาง ซึ่งผมคิดว่าเป็นการมองที่หยาบเกินไป และเป็นการมองปัญหาไม่ตรงจุด รากเหง้าของปัญหาการก่อการร้ายมีหลายสาเหตุ ทั้งมาจากการแพร่ขยายของอุดมการณ์หัวรุนแรง แนวโน้มการปะทะกันทางอารยธรรม และการดำเนินนโยบายผิดพลาดของสหรัฐต่อโลกมุสลิมและตะวันออกกลาง ดังนั้น หากปัญหารากเหง้าเหล่านี้ ไม่ได้รับการแก้ ปัญหาการก่อการร้ายก็จะไม่มีทางหมดไป
เอกสาร Global Trends 2025 ยังได้วิเคราะห์ต่อไปว่า ในปี 2025 การแพร่ขยายของเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ อาจจะทำให้กลุ่มก่อการร้ายมีอาวุธร้ายแรงอยู่ในครอบครอง ดังนั้น สิ่งที่หน่วยงานข่าวกรองสหรัฐวิตกกังวลมากที่สุดคือ การที่ในอนาคต กลุ่มก่อการร้าย จะใช้อาวุธชีวภาพ และอาวุธนิวเคลียร์ก่อวินาศกรรม ซึ่งจะก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
สำหรับรูปแบบของการขัดแย้งในอนาคต หน่วยข่าวกรองสหรัฐมองว่า อาจจะมีรูปแบบใหม่ เป็นลักษณะความขัดแย้งในการแย่งชิงทรัพยากร โดยเฉพาะการที่หลายๆประเทศมองถึงปัญหาการขาดแคลนพลังงาน จะทำให้มีการตื่นตัว ในเรื่องของการเข้าถึงแหล่งพลังงานในอนาคต ซึ่งในที่สุด อาจนำไปสู่การขัดแย้งระหว่างประเทศ
ผมมองว่า แม้ว่าในอนาคต ความขัดแย้งในการแย่งชิงทรัพยากร อาจจะเป็นจริง ตามการคาดการณ์ของหน่วยข่าวกรองสหรัฐ แต่สิ่งที่เอกสารฉบับนี้มองข้ามไปคือ ความขัดแย้งในรูปแบบเดิมๆ จะยังคงไม่หมดไป ซึ่งผมคิดว่า จะยังคงเป็นความขัดแย้งหลักในอีก 20 ปีข้างหน้าคือความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์และความขัดแย้งทางศาสนา ซึ่งในปัจจุบัน เป็นต้นตอของความขัดแย้งและสงครามทั่วโลก
กล่าวโดยสรุป เอกสาร Global Trends 2025 ของหน่วยข่าวกรองสหรัฐ โดยภาพรวมแล้ว การคาดการณ์ส่วนใหญ่ ผมเห็นว่า มีความเป็นไปได้สูง อย่างไรก็ตาม เอกสารฉบับนี้ มีลักษณะมองโลกในแง่ร้าย ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของหน่วยงานข่าวกรองของทุกประเทศ ที่หน้าที่หลักคือ ชี้ให้เห็นถึงภัยคุกคาม ดังนั้น เอกสารฉบับนี้ จึงค่อนข้างที่จะเน้นด้านลบมากเกินไปคือ เน้นภัยคุกคามมากจนเกินไป และมองข้ามอีกด้านหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นโลกในแง่ดีและเป็นเรื่องของความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งไม่มีการพูดถึงเลยในเอกสารฉบับนี้
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 56 ฉบับที่12 วันศุกร์ที่ 12-วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม 2551
เมื่อเร็วๆนี้ สภาข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐ (National Intelligence Council) ได้เผยแพร่เอกสารการคาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์โลกถึงปี 2025 เอกสารมีชื่อภาษาอังกฤษว่า “Global Trends 2025” ผมเห็นว่า เป็นเอกสารสำคัญ จึงจะนำมาสรุปวิเคราะห์ในคอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้
ระบบโลกใหม่
เอกสารดังกล่าวได้คาดการณ์ว่า ระบบโลกในปี 2025 จะมีความเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยจะมีการผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจใหม่ โดยเฉพาะจะมีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจทางเศรษฐกิจและความร่ำรวยจากตะวันตกไปสู่ตะวันออก อิทธิพลของตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐจะเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ในปี 2025 ระบบโลกจะเปลี่ยนจากระบบหนึ่งขั้วอำนาจในปัจจุบัน ไปสู่การเป็นระบบหลายขั้วอำนาจ และช่องว่างแห่งอำนาจ จะแคบลงระหว่างประเทศรวยกับประเทศยากจน สำหรับสหรัฐ ถึงแม้ในปี 2025 จะยังคงเป็นประเทศที่มีพลังอำนาจมากที่สุดอยู่ก็ตาม แต่อำนาจของสหรัฐจะลดลงเรื่อยๆ
นอกจากนี้ ในปี 2025 ระบบโลกจะมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น โดยจะมีแนวโน้มของการกระจายอำนาจมากขึ้น ทั้งนี้ เพราะการผงาดขึ้นของมหาอำนาจใหม่ ความไร้ประสิทธิภาพขององค์กรโลก ที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ รวมทั้งจะมีการเกิดขึ้นของการรวมกลุ่มในภูมิภาคต่างๆ และการเกิดขึ้นของเครือข่ายและตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ การที่ระบบโลกจะมีการหลากหลายของตัวแสดง มีความไม่แน่นอนว่า จะนำไปสู่ การเพิ่มขึ้นของความร่วมมือระหว่างประเทศ หรือจะนำไปสู่ความสับสนวุ่นวาย
มหาอำนาจใหม่
เอกสาร Global Trends 2025 เน้นถึงการเปลี่ยนผ่านอำนาจทางเศรษฐกิจ และการผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจใหม่ ซึ่งเรียกรวมกันว่ากลุ่ม BRIC ซึ่งย่อมาจาก Brazil, Russia, India และ China โดย GDP ของกลุ่มประเทศนี้ในปี 2040-2050 จะเท่ากับ GDP ของกลุ่ม G7 โดยจีนจะเป็นประเทศที่ผงาดขึ้นมาโดดเด่นที่สุด ในช่วง 20 ปีข้างหน้า การผงาดขึ้นมาของจีนจะส่งผลกระทบต่อโลกมากที่สุด เอกสารดังกล่าวประเมินว่า ในปี 2025 จีนจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐ
สำหรับการประเมินของหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐ ในส่วนที่เกี่ยวกับการผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจใหม่นั้น ผมเห็นด้วยกับการผงาดขึ้นมาของกลุ่ม BRIC แต่ประเด็นที่ผมไม่เห็นด้วย คือ การประเมินว่า ในปี 2025 จีนจะมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 จากแหล่งข้อมูลหลายๆแหล่งได้ชี้ให้เห็นว่า ภายในปี 2025 จีนจะผงาดขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าสหรัฐ โดยเฉพาะถ้าเราปรับตัวเลขโดยคำนึงถึง Purchasing Power Parity หรือ PPP
ปัญหาข้ามชาติใหม่ๆ
ในปี 2025 เอกสารของรัฐบาลสหรัฐระบุว่า จะมีประเด็นปัญหาข้ามชาติใหม่ๆเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่เกี่ยวกับทรัพยากร โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนพลังงาน อาหาร และน้ำ
ธนาคารโลกได้ประเมินว่า ภายในปี 2030 ความต้องการอาหารจะเพิ่มขึ้นถึง 50% นอกจากนั้น ปัญหาการขาดแคลนน้ำจะเข้าสู่จุดวิกฤติ โดยในอีก 20 ปีข้างหน้า จะมีคนในโลกถึง 1,400 ล้านคนใน 36 ประเทศ ที่จะประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ
นอกจากนี้ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ หรือปัญหาภาวะโลกร้อน จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาการขาดแคลนทรัพยากร โดยหลายๆภูมิภาคจะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ซึ่งจะนำไปสู่การขาดแคลนน้ำ และการลดลงของผลผลิตด้านการเกษตร
ปัญหาข้ามชาติใหญ่อีกเรื่องหนึ่งในอีก 20 ปีข้างหน้าคือ ปัญหาการเพิ่มขึ้นของประชากร โดยปัญหานี้ จะเกิดขึ้นทั้งในทวีปเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา โดยปัญหาการเพิ่มขึ้นของประชากรจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของปัญหาอื่นๆมากมาย โดยเฉพาะปัญหาความยากจน แต่สำหรับตะวันตก โดยเฉพาะยุโรปกับญี่ปุ่น จะประสบปัญหาตรงข้ามกับประเทศยากจนคือ ปัญหาการลดลงของจำนวนประชากร ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในระยะยาว
สำหรับทวีปแอฟริกา จะยังคงเป็นทวีปที่ล้าหลังที่สุดในด้านการพัฒนาทางเศรษฐกิจ โดยทวีปแอฟริกาจะมีความเปราะบางมากที่สุด ทั้งด้านความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ วิกฤติการเพิ่มขึ้นของประชากร ความขัดแย้งและสงครามกลางเมือง และการไร้เสถียรถาพทางการเมือง
ความขัดแย้ง
เอกสาร Global Trends 2025 ได้คาดการณ์ว่า ในปี 2025 โลกจะยังประสบกับภัยคุกคาม ทั้งในรูปแบบของการก่อการร้าย การแพร่ขยายของอาวุธร้ายแรง และความขัดแย้งในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะความขัดแย้งในรูปแบบใหม่ที่จะมีสาเหตุมาจากการแย่งชิงทรัพยากร
สำหรับปัญหาการก่อการร้ายนั้น ในอีก 20 ปีข้างหน้า จะยังคงไม่หมดไป อย่างไรก็ตาม เอกสารประเมินว่า อาจจะมีแนวโน้มลดลง หากตะวันออกกลางสามารถเดินหน้าพัฒนาทางเศรษฐกิจ และปัญหาการว่างงานของคนหนุ่มสาวได้รับการแก้ไข
ในประเด็นนี้ ผมขอวิเคราะห์ขัดแย้งกับเอกสารของรัฐบาลสหรัฐว่า สหรัฐมองสาเหตุของการก่อการร้ายมาจากปัญหาความยากจนในตะวันออกกลาง ซึ่งผมคิดว่าเป็นการมองที่หยาบเกินไป และเป็นการมองปัญหาไม่ตรงจุด รากเหง้าของปัญหาการก่อการร้ายมีหลายสาเหตุ ทั้งมาจากการแพร่ขยายของอุดมการณ์หัวรุนแรง แนวโน้มการปะทะกันทางอารยธรรม และการดำเนินนโยบายผิดพลาดของสหรัฐต่อโลกมุสลิมและตะวันออกกลาง ดังนั้น หากปัญหารากเหง้าเหล่านี้ ไม่ได้รับการแก้ ปัญหาการก่อการร้ายก็จะไม่มีทางหมดไป
เอกสาร Global Trends 2025 ยังได้วิเคราะห์ต่อไปว่า ในปี 2025 การแพร่ขยายของเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ อาจจะทำให้กลุ่มก่อการร้ายมีอาวุธร้ายแรงอยู่ในครอบครอง ดังนั้น สิ่งที่หน่วยงานข่าวกรองสหรัฐวิตกกังวลมากที่สุดคือ การที่ในอนาคต กลุ่มก่อการร้าย จะใช้อาวุธชีวภาพ และอาวุธนิวเคลียร์ก่อวินาศกรรม ซึ่งจะก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
สำหรับรูปแบบของการขัดแย้งในอนาคต หน่วยข่าวกรองสหรัฐมองว่า อาจจะมีรูปแบบใหม่ เป็นลักษณะความขัดแย้งในการแย่งชิงทรัพยากร โดยเฉพาะการที่หลายๆประเทศมองถึงปัญหาการขาดแคลนพลังงาน จะทำให้มีการตื่นตัว ในเรื่องของการเข้าถึงแหล่งพลังงานในอนาคต ซึ่งในที่สุด อาจนำไปสู่การขัดแย้งระหว่างประเทศ
ผมมองว่า แม้ว่าในอนาคต ความขัดแย้งในการแย่งชิงทรัพยากร อาจจะเป็นจริง ตามการคาดการณ์ของหน่วยข่าวกรองสหรัฐ แต่สิ่งที่เอกสารฉบับนี้มองข้ามไปคือ ความขัดแย้งในรูปแบบเดิมๆ จะยังคงไม่หมดไป ซึ่งผมคิดว่า จะยังคงเป็นความขัดแย้งหลักในอีก 20 ปีข้างหน้าคือความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์และความขัดแย้งทางศาสนา ซึ่งในปัจจุบัน เป็นต้นตอของความขัดแย้งและสงครามทั่วโลก
กล่าวโดยสรุป เอกสาร Global Trends 2025 ของหน่วยข่าวกรองสหรัฐ โดยภาพรวมแล้ว การคาดการณ์ส่วนใหญ่ ผมเห็นว่า มีความเป็นไปได้สูง อย่างไรก็ตาม เอกสารฉบับนี้ มีลักษณะมองโลกในแง่ร้าย ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของหน่วยงานข่าวกรองของทุกประเทศ ที่หน้าที่หลักคือ ชี้ให้เห็นถึงภัยคุกคาม ดังนั้น เอกสารฉบับนี้ จึงค่อนข้างที่จะเน้นด้านลบมากเกินไปคือ เน้นภัยคุกคามมากจนเกินไป และมองข้ามอีกด้านหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นโลกในแง่ดีและเป็นเรื่องของความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งไม่มีการพูดถึงเลยในเอกสารฉบับนี้
Obama กับการกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจ
Obama กับการกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจ
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 56 ฉบับที่ 11 วันศุกร์ที่ 5-วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม 2551
ทีมเศรษฐกิจ
หลังจากที่ Obama ชนะการเลือกตั้ง แต่ในตอนนี้ ยังต้องรอถึงเดือนมกราคมปีหน้า ถึงจะได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ ดังนั้น ในช่วงที่ระหว่างรออยู่ Obama จึงรีบเดินหน้า หาคนที่จะมาดำรงตำแหน่งต่างๆในรัฐบาล และที่คงจะมีความสำคัญมากที่สุดคือ ทีมเศรษฐกิจ
ตำแหน่งที่สำคัญที่สุดตำแหน่งหนึ่งคือ ตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ซึ่ง Obama ได้เลือก Tim Geithner ให้มาเป็นรัฐมนตรีคลังในรัฐบาลของเขา ปัจจุบัน Geithner เป็นหัวหน้าธนาคารกลางสหรัฐ สาขานิวยอร์ก Geithner มีประสบการณ์การทำงานมายาวนาน ซึ่งถือเป็นนักเศรษฐศาสตร์ฝีมือดีที่สุดคนหนึ่ง Geithner ได้ทำงานอยู่ในกระทรวงการคลังสหรัฐเป็นเวลา 13 ปี โดยเข้าทำงานตั้งแต่ปี 1988 และได้ไต่เต้าจนได้ดำรงตำแหน่งเป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง ดูแลงานด้านกิจการต่างประเทศ ในสมัยของประธานาธิบดี Clinton ในช่วงที่เกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ล่าสุด Geithner ได้มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการล้มละลายของ Lehman Brothers และการเจรจาเพื่อเข้าไปอุ้มสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่คือ AIG
สำหรับตำแหน่งที่สำคัญอีกตำแหน่งคือ ตำแหน่งผู้อำนวยการของ National Economic Council (NEC) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการประสานนโยบายเศรษฐกิจระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในสมัยรัฐบาล Clinton ได้ริเริ่มจัดตั้งกลไกนี้ขึ้นมา Clinton ได้ใช้ประโยชน์จาก NEC ค่อนข้างมากในการประสานนโยบาย แต่พอมาถึงสมัยรัฐบาล Bush NEC ก็ถูกลดความสำคัญลง พอมาถึงสมัย Obama ดูเหมือนกับว่า Obama คงจะรื้อฟื้นกลไกนี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
และคนที่ Obama เลือกให้มาคุม NEC คือ Larry Summers อดีตรัฐมนตรีคลังในสมัย Clinton Summers นั้นมีชื่อเสียงโด่งดัง และมีประวัติผลงานมากมาย ถือเป็นนักเศรษฐศาสตร์มือหนึ่งอีกคนหนึ่ง Henry Kissinger อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ถึงแม้จะเป็นคนละพรรค Kissinger แม้จะเป็น Republican แต่ก็ยังเคยกล่าวชม Summers โดย Kissinger ถึงกับเคยกล่าวว่า ประธานาธิบดีทุกคน ควรจะต้องเอา Larry Summers เข้ามาร่วมรัฐบาล และ Obama ก็ได้ทำเช่นนั้น โดย Obama ได้บอกว่า Summers จะเล่นบทบาทสำคัญ โดยเป็นตัวประสานนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล
ทั้ง Tim Geithner และ Larry Summers ถือได้ว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์สายกลาง เป็นนักปฏิบัติ ไม่ใช่นักวิชาการที่อยู่บนหอคอยงาช้าง ดังนั้น การตัดสินใจเลือกทั้ง 2 คน แสดงให้เห็นว่า Obama ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ มากกว่าอุดมการณ์ อย่างไรก็ตาม Summers ไม่ค่อยปรากฏบทบาทต่อสาธารณะเท่าไหร่ ในขณะที่ Geithner ค่อนข้างจะมีความยืดหยุ่นสูง และเข้าได้กับทั้ง Democrat และ Republican
นโยบายเศรษฐกิจของ Obama
นอกจากเรื่องการจัดทีมเศรษฐกิจแล้ว Obama ได้เดินหน้าประกาศนโยบายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะนโยบายกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในขณะนี้ โดย Obama ได้ประกาศแผนการกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจ ในช่วงเดือนแรกหลังจากได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี คือในช่วงต้นปี 2009 ซึ่งรวมถึงนโยบายด้านภาษี นโยบายการสร้างงาน นโยบายด้านพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน สวัสดิการ และการศึกษา
สำหรับมาตรการที่สำคัญที่สุดคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีการคาดการณ์ว่าจะมีการอัดฉีดเงินเพื่อกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจอีกอย่างน้อย 5 แสนล้านเหรียญ ในขณะนี้ ยังไม่มีความแน่นอนว่า วงเงินเพิ่มเติมที่จะกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจจะมีวงเงินมากเท่าใด แต่จากสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจที่ยังคงทรุดหนัก ทำให้มีกระแสข่าวออกมาว่า วงเงินอัดฉีดอาจจะขยับขึ้นไปถึง 7 แสน ล้านเหรียญ
อุปสรรค
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ Obama กำลังจะเดินเครื่องเต็มที่ในการกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะถือว่า Obama กำลังเจอการบ้านที่หนักหนาสาหัส มีอุปสรรคปัญหาหลายเรื่องที่ Obama คงจะต้องประสบ และฟันฝ่ามรสุมต่างๆ
· อุปสรรคประการแรกคือ สถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจขณะนี้ อยู่ในอาการทรุดหนัก ถือเป็นวิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุด นับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในช่วงทศวรรษ 1930 ในตอนที่ Bush ได้มาเป็นประธานาธิบดีใหม่ๆ เศรษฐกิจยังอยู่ในสภาวะที่ดี รัฐบาลมีสภาวะงบประมาณเกินดุล ในปี 2001 แต่ในปี 2009 ปีที่ Obama จะเป็นประธานาธิบดี มีการคาดการณ์กันว่า จะมีการขาดดุลงบประมาณมากถึง 1 ล้านล้านเหรียญ
· ปัญหาอีกประการที่จะตามมาคือ เมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย ก็จะมีกระแสโดยเฉพาะจากพรรค Democrat ที่จะผลักดันมาตรการกีดกันทางการค้า ซึ่งObama ก็คงจะต้องเจอศึกหนัก จากพรรค Democrat ของตัวเอง และจากสภาคองเกรส
· ปัญหาประการที่สาม ที่จะเป็นผลมาจากการเลือกทีมเศรษฐกิจของ Obama คือ กลุ่มที่สนับสนุน Obama คงจะรู้สึกถูกหักหลัง เพราะคนเป็นจำนวนมากที่เลือก Obama เพราะต้องการการเปลี่ยนแปลง การปฏิรูป แต่คนเหล่านี้ รู้สึกผิดหวังที่ทีมเศรษฐกิจของ Obama เป็นคนที่มาจากสมัยของรัฐบาล Clinton คือ ทั้ง Summers และ Geithner เคยทำงานในกระทรวงการคลังในสมัย Clinton
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนับสนุนทีมเศรษฐกิจของ Obama อาจให้เหตุผลว่า Obama ตัดสินใจถูกต้องแล้ว เพราะเมื่อดูประวัติของรัฐบาล Clinton แล้ว ก็ประสบความสำเร็จในด้านนโยบายเศรษฐกิจไม่น้อย ดังนั้น การเอาทีมของ Clinton มา ก็เท่ากับเป็นการเอาประสบการณ์อันมีค่า โดยเฉพาะประสบการณ์การกอบกู้วิกฤติการณ์ทางการเงิน เพราะทั้งสองคนเคยมีประสบการณ์ในการกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจ ทั้งที่ เม็กซิโก ละตินอเมริกา รัสเซีย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทบาทในการกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจเอเชีย หรือ วิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อ 10 ปีที่แล้ว
· สำหรับปัญหาสุดท้ายที่อาจจะเกิดขึ้นกับทีมเศรษฐกิจของ Obama คือ ยังมีความไม่แน่นอนว่า ทีมเศรษฐกิจดังกล่าว จะมี teamwork มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะตำแหน่งผู้อำนวยการ NEC ของ Summers มีคนวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่เหมาะกับ Summers เพราะ Summers นั้น เป็นคนที่ค่อนข้างจะแข็ง และไม่ประนีประนอม แต่ตำแหน่งนี้ เป็นตำแหน่งที่ต้องประสานฝ่ายต่างๆ หลายคนมองว่า จริงๆแล้ว Summers น่าจะกลับไปเป็นรัฐมนตรีคลัง น่าจะเหมาะกว่า
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 56 ฉบับที่ 11 วันศุกร์ที่ 5-วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม 2551
ทีมเศรษฐกิจ
หลังจากที่ Obama ชนะการเลือกตั้ง แต่ในตอนนี้ ยังต้องรอถึงเดือนมกราคมปีหน้า ถึงจะได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ ดังนั้น ในช่วงที่ระหว่างรออยู่ Obama จึงรีบเดินหน้า หาคนที่จะมาดำรงตำแหน่งต่างๆในรัฐบาล และที่คงจะมีความสำคัญมากที่สุดคือ ทีมเศรษฐกิจ
ตำแหน่งที่สำคัญที่สุดตำแหน่งหนึ่งคือ ตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ซึ่ง Obama ได้เลือก Tim Geithner ให้มาเป็นรัฐมนตรีคลังในรัฐบาลของเขา ปัจจุบัน Geithner เป็นหัวหน้าธนาคารกลางสหรัฐ สาขานิวยอร์ก Geithner มีประสบการณ์การทำงานมายาวนาน ซึ่งถือเป็นนักเศรษฐศาสตร์ฝีมือดีที่สุดคนหนึ่ง Geithner ได้ทำงานอยู่ในกระทรวงการคลังสหรัฐเป็นเวลา 13 ปี โดยเข้าทำงานตั้งแต่ปี 1988 และได้ไต่เต้าจนได้ดำรงตำแหน่งเป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง ดูแลงานด้านกิจการต่างประเทศ ในสมัยของประธานาธิบดี Clinton ในช่วงที่เกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ล่าสุด Geithner ได้มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการล้มละลายของ Lehman Brothers และการเจรจาเพื่อเข้าไปอุ้มสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่คือ AIG
สำหรับตำแหน่งที่สำคัญอีกตำแหน่งคือ ตำแหน่งผู้อำนวยการของ National Economic Council (NEC) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการประสานนโยบายเศรษฐกิจระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในสมัยรัฐบาล Clinton ได้ริเริ่มจัดตั้งกลไกนี้ขึ้นมา Clinton ได้ใช้ประโยชน์จาก NEC ค่อนข้างมากในการประสานนโยบาย แต่พอมาถึงสมัยรัฐบาล Bush NEC ก็ถูกลดความสำคัญลง พอมาถึงสมัย Obama ดูเหมือนกับว่า Obama คงจะรื้อฟื้นกลไกนี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
และคนที่ Obama เลือกให้มาคุม NEC คือ Larry Summers อดีตรัฐมนตรีคลังในสมัย Clinton Summers นั้นมีชื่อเสียงโด่งดัง และมีประวัติผลงานมากมาย ถือเป็นนักเศรษฐศาสตร์มือหนึ่งอีกคนหนึ่ง Henry Kissinger อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ถึงแม้จะเป็นคนละพรรค Kissinger แม้จะเป็น Republican แต่ก็ยังเคยกล่าวชม Summers โดย Kissinger ถึงกับเคยกล่าวว่า ประธานาธิบดีทุกคน ควรจะต้องเอา Larry Summers เข้ามาร่วมรัฐบาล และ Obama ก็ได้ทำเช่นนั้น โดย Obama ได้บอกว่า Summers จะเล่นบทบาทสำคัญ โดยเป็นตัวประสานนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล
ทั้ง Tim Geithner และ Larry Summers ถือได้ว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์สายกลาง เป็นนักปฏิบัติ ไม่ใช่นักวิชาการที่อยู่บนหอคอยงาช้าง ดังนั้น การตัดสินใจเลือกทั้ง 2 คน แสดงให้เห็นว่า Obama ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ มากกว่าอุดมการณ์ อย่างไรก็ตาม Summers ไม่ค่อยปรากฏบทบาทต่อสาธารณะเท่าไหร่ ในขณะที่ Geithner ค่อนข้างจะมีความยืดหยุ่นสูง และเข้าได้กับทั้ง Democrat และ Republican
นโยบายเศรษฐกิจของ Obama
นอกจากเรื่องการจัดทีมเศรษฐกิจแล้ว Obama ได้เดินหน้าประกาศนโยบายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะนโยบายกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในขณะนี้ โดย Obama ได้ประกาศแผนการกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจ ในช่วงเดือนแรกหลังจากได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี คือในช่วงต้นปี 2009 ซึ่งรวมถึงนโยบายด้านภาษี นโยบายการสร้างงาน นโยบายด้านพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน สวัสดิการ และการศึกษา
สำหรับมาตรการที่สำคัญที่สุดคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีการคาดการณ์ว่าจะมีการอัดฉีดเงินเพื่อกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจอีกอย่างน้อย 5 แสนล้านเหรียญ ในขณะนี้ ยังไม่มีความแน่นอนว่า วงเงินเพิ่มเติมที่จะกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจจะมีวงเงินมากเท่าใด แต่จากสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจที่ยังคงทรุดหนัก ทำให้มีกระแสข่าวออกมาว่า วงเงินอัดฉีดอาจจะขยับขึ้นไปถึง 7 แสน ล้านเหรียญ
อุปสรรค
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ Obama กำลังจะเดินเครื่องเต็มที่ในการกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะถือว่า Obama กำลังเจอการบ้านที่หนักหนาสาหัส มีอุปสรรคปัญหาหลายเรื่องที่ Obama คงจะต้องประสบ และฟันฝ่ามรสุมต่างๆ
· อุปสรรคประการแรกคือ สถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจขณะนี้ อยู่ในอาการทรุดหนัก ถือเป็นวิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุด นับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในช่วงทศวรรษ 1930 ในตอนที่ Bush ได้มาเป็นประธานาธิบดีใหม่ๆ เศรษฐกิจยังอยู่ในสภาวะที่ดี รัฐบาลมีสภาวะงบประมาณเกินดุล ในปี 2001 แต่ในปี 2009 ปีที่ Obama จะเป็นประธานาธิบดี มีการคาดการณ์กันว่า จะมีการขาดดุลงบประมาณมากถึง 1 ล้านล้านเหรียญ
· ปัญหาอีกประการที่จะตามมาคือ เมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย ก็จะมีกระแสโดยเฉพาะจากพรรค Democrat ที่จะผลักดันมาตรการกีดกันทางการค้า ซึ่งObama ก็คงจะต้องเจอศึกหนัก จากพรรค Democrat ของตัวเอง และจากสภาคองเกรส
· ปัญหาประการที่สาม ที่จะเป็นผลมาจากการเลือกทีมเศรษฐกิจของ Obama คือ กลุ่มที่สนับสนุน Obama คงจะรู้สึกถูกหักหลัง เพราะคนเป็นจำนวนมากที่เลือก Obama เพราะต้องการการเปลี่ยนแปลง การปฏิรูป แต่คนเหล่านี้ รู้สึกผิดหวังที่ทีมเศรษฐกิจของ Obama เป็นคนที่มาจากสมัยของรัฐบาล Clinton คือ ทั้ง Summers และ Geithner เคยทำงานในกระทรวงการคลังในสมัย Clinton
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนับสนุนทีมเศรษฐกิจของ Obama อาจให้เหตุผลว่า Obama ตัดสินใจถูกต้องแล้ว เพราะเมื่อดูประวัติของรัฐบาล Clinton แล้ว ก็ประสบความสำเร็จในด้านนโยบายเศรษฐกิจไม่น้อย ดังนั้น การเอาทีมของ Clinton มา ก็เท่ากับเป็นการเอาประสบการณ์อันมีค่า โดยเฉพาะประสบการณ์การกอบกู้วิกฤติการณ์ทางการเงิน เพราะทั้งสองคนเคยมีประสบการณ์ในการกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจ ทั้งที่ เม็กซิโก ละตินอเมริกา รัสเซีย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทบาทในการกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจเอเชีย หรือ วิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อ 10 ปีที่แล้ว
· สำหรับปัญหาสุดท้ายที่อาจจะเกิดขึ้นกับทีมเศรษฐกิจของ Obama คือ ยังมีความไม่แน่นอนว่า ทีมเศรษฐกิจดังกล่าว จะมี teamwork มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะตำแหน่งผู้อำนวยการ NEC ของ Summers มีคนวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่เหมาะกับ Summers เพราะ Summers นั้น เป็นคนที่ค่อนข้างจะแข็ง และไม่ประนีประนอม แต่ตำแหน่งนี้ เป็นตำแหน่งที่ต้องประสานฝ่ายต่างๆ หลายคนมองว่า จริงๆแล้ว Summers น่าจะกลับไปเป็นรัฐมนตรีคลัง น่าจะเหมาะกว่า
ผลการประชุม APEC 2008 ที่เปรู
ผลการประชุม APEC 2008 ที่เปรู
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 56 ฉบับที่ 10 วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน-วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม 2551
เมื่อวันที่ 22-23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้มีการประชุมสุดยอด APEC ที่กรุงลิมา ประเทศเปรู คอลัมน์โลกทรรศน์ในตอนนี้ จะวิเคราะห์ผลการประชุมดังกล่าว ดังนี้
วิกฤติเศรษฐกิจโลก
Highlight ของการประชุมครั้งนี้ หนีไม่พ้นการหารือเรื่องวิกฤติการเงิน วิกฤติเศรษฐกิจโลก โดยได้มีการจัดทำแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ต่างหาก แยกออกจากปฏิญญาสรุปผลการประชุม โดยในแถลงการณ์ดังกล่าว ได้มีการกล่าวถึงท่าทีของผู้นำ APEC ต่อสถานการณ์วิกฤติการเงินโลก โดยได้กล่าวว่า ผู้นำ APEC ได้หารือกันต่อวิกฤติการเงินโลก และมาตรการต่างๆที่สมาชิก APEC ได้ดำเนินการ
แถลงการณ์ APEC กล่าวอย่างมั่นใจว่า จะสามารถกอบกู้วิกฤติในครั้งนี้ได้ภายใน 18 เดือน โดยได้มีการดำเนินการในการสร้างเสถียรภาพให้กับภาคการเงิน และ APEC จะเดินหน้าต่อและร่วมมือกัน เพื่อดำเนินมาตรการในอนาคต
APEC สนับสนุนสถาบันการเงินระหว่างประเทศและธนาคารของภาคเอกชน เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก จะอยู่รอดได้ APEC ยังได้เน้นถึงความสำคัญของการปฏิรูปภาคการเงิน ในขณะที่ระบบการเงินมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น เครื่องมือในการตรวจสอบควบคุมก็ต้องมีประสิทธิภาพมากขึ้น วิกฤติครั้งนี้ ยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็น ในการพัฒนามาตรฐานของบรรษัทภิบาล การจัดการความเสี่ยง และความสำคัญของความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคการเงิน
APEC สนับสนุนปฏิญญา Washington (Washington Declaration) ซึ่งเป็นผลมาจากการประชุมสุดยอดกลุ่ม G 20 และ APEC สนับสนุนหลักการที่จะชี้นำแผนปฏิบัติการสำหรับการปฏิรูปตลาดการเงิน ดังนั้น APEC จึงสนับสนุนนโยบายหลักๆ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจโลก ซึ่งได้แก่ ความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดทางด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา ปฏิรูปสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงเสียงของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศเกิดใหม่ ให้มีบทบาทมากขึ้นในสถาบันการเงินระหว่างประเทศ
APEC ได้ให้ความสำคัญต่อบทบาทของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ธนาคารโลก ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย หรือ ADB และ Inter- American Development Bank และธนาคารเพื่อการพัฒนาอื่นๆ ในการที่จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการณ์การเงิน APEC สนับสนุนบทบาทของ IMF เป็นพิเศษ โดยบอกว่า IMF นอกจากจะมีบทบาทในการสอดส่องดูแลระบบการเงินแล้ว ยังควรร่วมมือกับสถาบันการเงินอื่นๆ ในการเพิ่มบทบาทในการมีมาตรการควบคุมตรวจสอบ และควรมีระบบเตือนภัยล่วงหน้า
นอกจากนี้ APEC ยังได้ย้ำว่า มีความเสี่ยงที่ เมื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกลดลง อาจนำไปสู่แนวโน้มของการออกมาตรการกีดกันการค้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะยิ่งทำให้สถานการณ์ทรุดหนักลง APEC จึงสนับสนุนปฏิญญา Washington ในการเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ระงับการเพิ่มมาตรการกีดกันทางการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะในช่วง 12 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ APEC ยังพยายามที่จะผลักดันการเจรจา WTO รอบ Doha ให้ประสบความสำเร็จโดยเร็ว
ผมประเมินว่า แถลงการณ์ของ APEC เกี่ยวกับวิกฤติการเงินโลกในครั้งนี้ ถึงแม้ดูคร่าวๆแล้ว จะมีการใช้ภาษาที่สวยหรู แต่ถ้าดูให้ละเอียดจริงๆแล้ว จะพบว่า ไม่มีอะไรใหม่ในแถลงการณ์ของ APEC โดยเกือบทั้งหมดที่ APEC พูดมา เป็นการย้ำนโยบายและมาตรการของกลุ่ม G 20 ซึ่งหลักๆแล้ว ก็เป็นแนวนโยบายของสหรัฐนั่นเอง ถ้าดูให้ละเอียดแล้ว จะเห็นได้ว่า แถลงการณ์เป็นประกาศนโยบายกว้างๆ ที่ไม่ได้มีมาตรการอะไรที่เป็นรูปธรรมเลย
ซึ่งผลการประชุมที่ออกมาเช่นนี้ สำหรับผู้ที่ติดตามการประชุม APEC มาโดยตลอด ก็จะเห็นว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย 10 ปีมาแล้ว นับตั้งแต่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ความร่วมมือ APEC แทบไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรมเลย มีเพียงแต่การแสดงหลอกคนดู มีการประกาศนโยบายที่สวยหรู และการถ่ายภาพร่วมกันเป็นประจำทุกปีเท่านั้น
บูรณาการทางเศรษฐกิจ
ผมอยากจะกล่าวว่า APEC นั้นถูกอเมริกาครอบงำมาโดยตลอด ดังนั้น เรื่องที่ APEC ให้ความสำคัญก็คือเรื่องที่อเมริกาให้ความสำคัญนั่นเอง และขณะนี้ เรื่องหนึ่งที่อเมริกาให้ความสำคัญมากใน APEC ก็คือ การผลักดันการจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิค (Free Trade Area of the Asia-Pacific: FTAAP)
ในการประชุม APEC ที่เปรูในครั้งนี้ อเมริกาก็ผลักดันเรื่องนี้อีก ในปฏิญญาผลการประชุม APEC ได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้เป็นลำดับแรก ปฏิญญาได้กล่าวว่า การประชุม APEC ปีที่แล้ว ที่ออสเตรเลีย APEC ได้ตกลงกันถึงเป้าหมายระยะยาว ที่จะส่งเสริมบูรณาการเศรษฐกิจในภูมิภาค ที่ประชุม APEC ในครั้งนี้ ได้รับรองแผนปฏิบัติการสำหรับบูรณาการทางเศรษฐกิจของ APEC (2009 work plan for the APEC Regional Economic Integration: REI) โดย APEC เน้นว่า จะเดินหน้าต่อไปในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว โดยมีเรื่องสำคัญ 3 เรื่อง คือ
· ความคืบหน้าของประเทศสมาชิก APEC ในการเดินหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมาย Bogor ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะให้ APEC เป็นเขตการค้าเสรีในปี 2010 สำหรับประเทศพัฒนาแล้ว และภายใน 2020 สำหรับประเทศกำลังพัฒนา
· เรื่องที่สอง คือ เรื่องการผลักดันเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิค หรือ FTAAP โดยที่ประชุมสุดยอด APEC ได้ขอให้เจ้าหน้าที่และรัฐมนตรี APEC ศึกษาถึงความเป็นไปได้และทางเลือกของการจัดตั้ง FTAAP รวมทั้งการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจ และลู่ทางการเจรจาจัดตั้ง FTAAP ในอนาคต
· สำหรับเรื่องที่สาม คือ การผลักดันแผนปฏิบัติการการอำนวยความสะดวกทางการค้าของ APEC แผนที่สอง (APEC’s second Trade Facilitation Action Plan: TFAP II) เพื่อบรรลุเป้าหมายที่จะลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมทางการค้าลงอีก 5% ระหว่างปี 2007-2010
สำหรับเรื่องการผลักดันบูรณาการทางเศรษฐกิจในกรอบ APEC นั้น ผมมองว่า เป็นท่าทีของสหรัฐ โดยเฉพาะการผลักดัน FTAAP นั้น วาระซ่อนเร้นของสหรัฐ คือ การจัดตั้ง FTAAP ขึ้นมาเพื่อป้องกันการร่วมกลุ่มของประเทศในเอเชียตะวันออกโดยไม่มีสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ประเทศต่างๆในเอเชีย ก็ไม่เล่นด้วยกับสหรัฐ เพราะคงรู้ว่า สหรัฐจะมาไม้ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีนมีท่าทีไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน ในขณะที่ประเทศเล็กๆอย่างไทย ก็มีท่าทีแบบสงวนท่าที ท่าทีกำกวม ในลักษณะบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า ในที่สุดแล้ว ข้อเสนอของสหรัฐในการจัดตั้ง FTAAP น่าจะไปไม่รอด
กล่าวโดยสรุป การประชุมสุดยอด APEC ที่เปรู ในปี 2008 นี้ ผลการประชุมก็เหมือนกับในหลายๆปีที่ผ่านมา คือ ไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม ดูแล้วน่าจะเป็นการเสียเวลาที่มาประชุมกันทุกปีโดยไม่ได้ประโยชน์อะไร จริงๆแล้ว ถ้าจะเลิกการประชุมสุดยอด APEC ก็คงจะไม่เสียหายอะไร แต่สาเหตุที่ APEC จะยังคงมีชีวิตรอดต่อไปได้ก็คือ แรงสนับสนุนจากสหรัฐ ลูกพี่ใหญ่ใน APEC สำหรับสหรัฐแล้ว APEC ยังคงมีประโยชน์อย่างมากต่อสหรัฐ เพราะจะเป็นกลไกสำคัญในการคงอิทธิพลของสหรัฐในภูมิภาคต่อไป และ APEC จะเป็นกลไกสำคัญในการเป็นตัวกัน ไม่ให้ประเทศในเอเชีย รวมกลุ่มกันโดยไม่มีสหรัฐ
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 56 ฉบับที่ 10 วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน-วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม 2551
เมื่อวันที่ 22-23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้มีการประชุมสุดยอด APEC ที่กรุงลิมา ประเทศเปรู คอลัมน์โลกทรรศน์ในตอนนี้ จะวิเคราะห์ผลการประชุมดังกล่าว ดังนี้
วิกฤติเศรษฐกิจโลก
Highlight ของการประชุมครั้งนี้ หนีไม่พ้นการหารือเรื่องวิกฤติการเงิน วิกฤติเศรษฐกิจโลก โดยได้มีการจัดทำแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ต่างหาก แยกออกจากปฏิญญาสรุปผลการประชุม โดยในแถลงการณ์ดังกล่าว ได้มีการกล่าวถึงท่าทีของผู้นำ APEC ต่อสถานการณ์วิกฤติการเงินโลก โดยได้กล่าวว่า ผู้นำ APEC ได้หารือกันต่อวิกฤติการเงินโลก และมาตรการต่างๆที่สมาชิก APEC ได้ดำเนินการ
แถลงการณ์ APEC กล่าวอย่างมั่นใจว่า จะสามารถกอบกู้วิกฤติในครั้งนี้ได้ภายใน 18 เดือน โดยได้มีการดำเนินการในการสร้างเสถียรภาพให้กับภาคการเงิน และ APEC จะเดินหน้าต่อและร่วมมือกัน เพื่อดำเนินมาตรการในอนาคต
APEC สนับสนุนสถาบันการเงินระหว่างประเทศและธนาคารของภาคเอกชน เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก จะอยู่รอดได้ APEC ยังได้เน้นถึงความสำคัญของการปฏิรูปภาคการเงิน ในขณะที่ระบบการเงินมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น เครื่องมือในการตรวจสอบควบคุมก็ต้องมีประสิทธิภาพมากขึ้น วิกฤติครั้งนี้ ยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็น ในการพัฒนามาตรฐานของบรรษัทภิบาล การจัดการความเสี่ยง และความสำคัญของความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคการเงิน
APEC สนับสนุนปฏิญญา Washington (Washington Declaration) ซึ่งเป็นผลมาจากการประชุมสุดยอดกลุ่ม G 20 และ APEC สนับสนุนหลักการที่จะชี้นำแผนปฏิบัติการสำหรับการปฏิรูปตลาดการเงิน ดังนั้น APEC จึงสนับสนุนนโยบายหลักๆ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจโลก ซึ่งได้แก่ ความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดทางด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา ปฏิรูปสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงเสียงของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศเกิดใหม่ ให้มีบทบาทมากขึ้นในสถาบันการเงินระหว่างประเทศ
APEC ได้ให้ความสำคัญต่อบทบาทของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ธนาคารโลก ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย หรือ ADB และ Inter- American Development Bank และธนาคารเพื่อการพัฒนาอื่นๆ ในการที่จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการณ์การเงิน APEC สนับสนุนบทบาทของ IMF เป็นพิเศษ โดยบอกว่า IMF นอกจากจะมีบทบาทในการสอดส่องดูแลระบบการเงินแล้ว ยังควรร่วมมือกับสถาบันการเงินอื่นๆ ในการเพิ่มบทบาทในการมีมาตรการควบคุมตรวจสอบ และควรมีระบบเตือนภัยล่วงหน้า
นอกจากนี้ APEC ยังได้ย้ำว่า มีความเสี่ยงที่ เมื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกลดลง อาจนำไปสู่แนวโน้มของการออกมาตรการกีดกันการค้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะยิ่งทำให้สถานการณ์ทรุดหนักลง APEC จึงสนับสนุนปฏิญญา Washington ในการเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ระงับการเพิ่มมาตรการกีดกันทางการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะในช่วง 12 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ APEC ยังพยายามที่จะผลักดันการเจรจา WTO รอบ Doha ให้ประสบความสำเร็จโดยเร็ว
ผมประเมินว่า แถลงการณ์ของ APEC เกี่ยวกับวิกฤติการเงินโลกในครั้งนี้ ถึงแม้ดูคร่าวๆแล้ว จะมีการใช้ภาษาที่สวยหรู แต่ถ้าดูให้ละเอียดจริงๆแล้ว จะพบว่า ไม่มีอะไรใหม่ในแถลงการณ์ของ APEC โดยเกือบทั้งหมดที่ APEC พูดมา เป็นการย้ำนโยบายและมาตรการของกลุ่ม G 20 ซึ่งหลักๆแล้ว ก็เป็นแนวนโยบายของสหรัฐนั่นเอง ถ้าดูให้ละเอียดแล้ว จะเห็นได้ว่า แถลงการณ์เป็นประกาศนโยบายกว้างๆ ที่ไม่ได้มีมาตรการอะไรที่เป็นรูปธรรมเลย
ซึ่งผลการประชุมที่ออกมาเช่นนี้ สำหรับผู้ที่ติดตามการประชุม APEC มาโดยตลอด ก็จะเห็นว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย 10 ปีมาแล้ว นับตั้งแต่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ความร่วมมือ APEC แทบไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรมเลย มีเพียงแต่การแสดงหลอกคนดู มีการประกาศนโยบายที่สวยหรู และการถ่ายภาพร่วมกันเป็นประจำทุกปีเท่านั้น
บูรณาการทางเศรษฐกิจ
ผมอยากจะกล่าวว่า APEC นั้นถูกอเมริกาครอบงำมาโดยตลอด ดังนั้น เรื่องที่ APEC ให้ความสำคัญก็คือเรื่องที่อเมริกาให้ความสำคัญนั่นเอง และขณะนี้ เรื่องหนึ่งที่อเมริกาให้ความสำคัญมากใน APEC ก็คือ การผลักดันการจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิค (Free Trade Area of the Asia-Pacific: FTAAP)
ในการประชุม APEC ที่เปรูในครั้งนี้ อเมริกาก็ผลักดันเรื่องนี้อีก ในปฏิญญาผลการประชุม APEC ได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้เป็นลำดับแรก ปฏิญญาได้กล่าวว่า การประชุม APEC ปีที่แล้ว ที่ออสเตรเลีย APEC ได้ตกลงกันถึงเป้าหมายระยะยาว ที่จะส่งเสริมบูรณาการเศรษฐกิจในภูมิภาค ที่ประชุม APEC ในครั้งนี้ ได้รับรองแผนปฏิบัติการสำหรับบูรณาการทางเศรษฐกิจของ APEC (2009 work plan for the APEC Regional Economic Integration: REI) โดย APEC เน้นว่า จะเดินหน้าต่อไปในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว โดยมีเรื่องสำคัญ 3 เรื่อง คือ
· ความคืบหน้าของประเทศสมาชิก APEC ในการเดินหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมาย Bogor ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะให้ APEC เป็นเขตการค้าเสรีในปี 2010 สำหรับประเทศพัฒนาแล้ว และภายใน 2020 สำหรับประเทศกำลังพัฒนา
· เรื่องที่สอง คือ เรื่องการผลักดันเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิค หรือ FTAAP โดยที่ประชุมสุดยอด APEC ได้ขอให้เจ้าหน้าที่และรัฐมนตรี APEC ศึกษาถึงความเป็นไปได้และทางเลือกของการจัดตั้ง FTAAP รวมทั้งการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจ และลู่ทางการเจรจาจัดตั้ง FTAAP ในอนาคต
· สำหรับเรื่องที่สาม คือ การผลักดันแผนปฏิบัติการการอำนวยความสะดวกทางการค้าของ APEC แผนที่สอง (APEC’s second Trade Facilitation Action Plan: TFAP II) เพื่อบรรลุเป้าหมายที่จะลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมทางการค้าลงอีก 5% ระหว่างปี 2007-2010
สำหรับเรื่องการผลักดันบูรณาการทางเศรษฐกิจในกรอบ APEC นั้น ผมมองว่า เป็นท่าทีของสหรัฐ โดยเฉพาะการผลักดัน FTAAP นั้น วาระซ่อนเร้นของสหรัฐ คือ การจัดตั้ง FTAAP ขึ้นมาเพื่อป้องกันการร่วมกลุ่มของประเทศในเอเชียตะวันออกโดยไม่มีสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ประเทศต่างๆในเอเชีย ก็ไม่เล่นด้วยกับสหรัฐ เพราะคงรู้ว่า สหรัฐจะมาไม้ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีนมีท่าทีไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน ในขณะที่ประเทศเล็กๆอย่างไทย ก็มีท่าทีแบบสงวนท่าที ท่าทีกำกวม ในลักษณะบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า ในที่สุดแล้ว ข้อเสนอของสหรัฐในการจัดตั้ง FTAAP น่าจะไปไม่รอด
กล่าวโดยสรุป การประชุมสุดยอด APEC ที่เปรู ในปี 2008 นี้ ผลการประชุมก็เหมือนกับในหลายๆปีที่ผ่านมา คือ ไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม ดูแล้วน่าจะเป็นการเสียเวลาที่มาประชุมกันทุกปีโดยไม่ได้ประโยชน์อะไร จริงๆแล้ว ถ้าจะเลิกการประชุมสุดยอด APEC ก็คงจะไม่เสียหายอะไร แต่สาเหตุที่ APEC จะยังคงมีชีวิตรอดต่อไปได้ก็คือ แรงสนับสนุนจากสหรัฐ ลูกพี่ใหญ่ใน APEC สำหรับสหรัฐแล้ว APEC ยังคงมีประโยชน์อย่างมากต่อสหรัฐ เพราะจะเป็นกลไกสำคัญในการคงอิทธิพลของสหรัฐในภูมิภาคต่อไป และ APEC จะเป็นกลไกสำคัญในการเป็นตัวกัน ไม่ให้ประเทศในเอเชีย รวมกลุ่มกันโดยไม่มีสหรัฐ
วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ผลการประชุม G 20 เพื่อปฏิรูประบบการเงินโลก
ผลการประชุม G 20 เพื่อการปฏิรูประบบการเงินโลก
ไทยโพสต์ เสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2551 ปีที่ 13 ฉบับที่ 4407
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้มีการจัดประชุมสุดยอด G 20 ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อหารือถึงการปฏิรูประบบการเงินโลก คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้ ผมจะได้วิเคราะห์ถึงผลการประชุมในครั้งนี้ และประเมินความสำเร็จและความล้มเหลว
ภูมิหลัง
ภายหลังจากเกิดวิกฤติการเงินลุกลามไปทั่วโลก ผู้นำโลกตะวันตกเริ่มตื่นตัวที่จะหาวิธีการแก้ไขอย่างจริงจัง โดยสหรัฐได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอด G 20 ครั้งแรกขึ้น ในวันที่ 15 พฤศจิกายนที่กรุง Washington D.C. การประชุมครั้งนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Summit on Financial Markets and the World Economy” การประชุมวันที่ 15 เป็นการประชุมสุดยอดครั้งแรก ซึ่งตามแผนจะมีการประชุมอีกหลายครั้ง การประชุมครั้งแรกเน้นเรื่องการตกลงหลักการกว้างๆ ส่วนรายละเอียดนั้น จะให้รัฐมนตรีคลังศึกษาและเสนอต่อการประชุมสุดยอดครั้งต่อไป
ผลการประชุม
สำหรับผลการประชุมซึ่งได้แถลงออกมาในรูปของปฏิญญา ได้เน้นว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่กำลังทรุดหนักลงทั่วโลก ที่ประชุมจึงตกลงที่จะต้องมีนโยบายเพื่อตอบสนอง โดยเน้นในเรื่องความร่วมมือเศรษฐกิจมหภาคให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น และจะร่วมมือกันผลักดันมาตรการเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับระบบการเงิน ที่ประชุม G 20 ได้เน้นบทบาทของ IMF โดยเฉพาะบทบาทในการตอบสนองต่อวิกฤติการณ์ มาตรการเสริมสภาพคล่อง และการปรับปรุงกลไกต่างๆ เพื่อให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น G 20 ยังได้เน้นบทบาทของธนาคารโลก และธนาคารเพื่อการพัฒนาพหุภาคีต่างๆ โดยย้ำว่า สถาบันเหล่านี้จะต้องมีทรัพยากรเพียงพอ ที่จะเล่นบทในการกอบกู้วิกฤติ
ที่ประชุมจะได้มีมาตรการปฏิรูปเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตลาดการเงิน และให้มีกลไกควบคุมตรวจสอบสถาบันการเงิน โดยการควบคุมตรวจสอบนั้น ถือเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม ตลาดการเงินในปัจจุบัน มีขอบเขตขยายไปทั่วโลก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีความร่วมมือระหว่างประเทศ และต้องมีการเสริมสร้างมาตรฐานระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องเสถียรภาพทางการเงินระหว่างประเทศ
ที่ประชุม G 20 ได้ตกลงหลักการ 5 ประการในการปฏิรูป
หลักการประการแรก คือ การเสริมสร้างความโปร่งใส โดยเน้นการสร้างความโปร่งใสในตลาดการเงิน
หลักการประการที่ 2 คือ การเสริมสร้างการควบคุมตรวจสอบ โดยจะต้องส่งเสริมกลไกควบคุมตรวจสอบ การบริหารจัดการความเสี่ยง
หลักการประการที่ 3 การส่งเสริมหลักธรรมาภิบาลในตลาดการเงิน โดยจะต้องมีการปกป้องทั้งผู้บริโภคและผู้ลงทุน หลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน การบิดเบือนกลไกตลาดอย่างผิดกฎหมาย
หลักการประการที่ 4 เป็นเรื่องของการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเน้นในเรื่องของการกำหนดมาตรการ กำหนดการควบคุมตรวจสอบสถาบันการเงิน โดยส่งเสริมความร่วมมือ และประสานงานในการควบคุมตรวจสอบ ซึ่งรวมถึงการไหลเวียนของเงินทุนข้ามชาติ
หลักการสุดท้าย หลักการประการที่ 5 คือ การปฏิรูปสถาบันการเงินระหว่างประเทศ G 20 ตกลงจะให้มีการปฏิรูปสถาบัน Bretton Woods (คือ IMF และธนาคารโลก) โดยจะต้องทำให้สถาบันดังกล่าว สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเศรษฐกิจโลก เพื่อจะทำให้สถาบันดังกล่าวมีความชอบธรรม และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น ประเทศกำลังพัฒนาจึงควรจะมีสิทธิ์มีเสียงในสถาบันเหล่านี้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในตอนท้ายของปฏิญญา ก็มีข้อความในลักษณะติดเบรกการปฏิรูป ซึ่งน่าจะเป็นการผลักดันจากทางฝ่ายสหรัฐ โดยในปฏิญญาได้กล่าวในตอนท้ายว่า การปฏิรูปเหล่านี้จะสำเร็จได้ จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานและหลักการของตลาดเสรี และจะต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้มีมาตรการควบคุมสถาบันการเงินมากเกินไป
ในตอนสุดท้าย กลุ่ม G 20 ได้มีการตกลงว่า จะมีการประชุมครั้งต่อไป ในช่วงเดือนเมษายน 2009
ความสำเร็จหรือความล้มเหลว?
· โดยภาพรวมแล้ว ถ้าจะให้ผมประเมิน ถ้าดูจากความคาดหวังก่อนการประชุมว่าการประชุมครั้งนี้ จะเป็นการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ โดยอาจจะมีข้อตกลงการปฏิรูประบบการเงินโลกแบบถอนรากถอนโคน แต่ผลออกมาแล้ว ปรากฏว่า เป็นที่น่าผิดหวัง เพราะข้อตกลงต่างๆไม่ได้มีลักษณะการปฏิรูปอย่างจริงจัง มาตรการส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยไม่ได้มีมาตรการที่เป็นรูปธรรม ที่จะกอบกู้วิกฤติการเงินโลกครั้งใหญ่ครั้งนี้ได้
อย่างไรก็ตาม การประชุมครั้งนี้ก็ถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์ เพราะเป็นการประชุมสุดยอดครั้งแรกของกลุ่ม G 20 โดยก่อนหน้านี้ การประชุมสุดยอดจะมีระดับ G 8 เท่านั้น ก่อนหน้านี้ ตะวันตกยังคงหวงก้าง ไม่อยากขยายวงออกไปรวมประเทศกำลังพัฒนา แต่จากวิกฤติคราวนี้ ทำให้ตะวันตกต้องกัดฟันขยายวงจาก G 8 เป็น G 20 ซึ่งเราคงต้องดูกันต่อไปว่า การประชุมสุดยอด G 20 จะกลายเป็นกลไกถาวรในอนาคตได้หรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับเป็นการยกระดับบทบาทของประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะการยกระดับบทบาทของจีนและอินเดีย แต่ผมยังไม่แน่ใจ เพราะการประชุมสุดยอด G 20 อาจจะเป็นลักษณะเฉพาะกิจก็ได้
· หลังจากการประชุมเสร็จสิ้นลง มีหลายฝ่ายมองว่า การประชุมครั้งนี้ล้มเหลว เพราะไม่ได้มีการปฏิรูปอย่างจริงจัง และมาตรการต่างๆก็ไม่ได้มีอะไรใหม่ เป็นมาตรการที่รู้ๆกันอยู่แล้ว และหลายๆเรื่องก็กำลังดำเนินการอยู่แล้ว มาตรการเหล่านี้ ดูแล้วเหมือนจะเป็นมาตรการ “ซ่อม” มากกว่าจะเป็นมาตรการปฏิรูประบบการเงินโลกอย่างจริงจัง
· นอกจากนี้ มาตรการที่ G 20 ตกลง ส่วนใหญ่เป็นหลักการกว้างๆ ไม่ค่อยมีรายละเอียด และหลายมาตรการก็กำกวมว่า จะเป็นมาตรการของแต่ละประเทศ หรือจะเป็นมาตรการความร่วมมือระหว่างประเทศ
· ดัชนีบ่งชี้ถึงความล้มเหลวของการประชุม G 20 คือ การตอบสนองของตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากทราบข่าวผลการประชุม ปรากฏว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกไม่ได้ดีขึ้น บางแห่งหุ้นก็ตกลงเสียด้วยซ้ำ โดยนักวิเคราะห์หุ้นมองว่า เป็นผลมาจากตลาดหุ้นไม่เห็นว่า การประชุมจะช่วยกอบกู้วิกฤติการเงินโลกได้อย่างไร โดยมองว่าการประชุมมีผลเพียงในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น ไม่มีผลในเชิงรูปธรรม ตลาดหุ้นรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้มีการประกาศมาตรการความร่วมมืออย่างจริงจัง โดยเฉพาะความร่วมมือในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
· ความล้มเหลวของการประชุม G 20 ในครั้งนี้ เป็นผลมาจาก ท่าทีที่ขัดแย้งกัน ระหว่างสหรัฐ ยุโรป และเอเชีย
โดยทางยุโรปนั้น มีท่าทีชัดเจน ที่ต้องการให้มีการปฏิรูประบบการเงินโลกอย่างถอนรากถอนโคน ทั้ง Gordon Brown นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และนาย Nicolas Sarkozy ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน เรียกร้องให้มีการปฏิรูป ควบคุมระบบการเงินโลก ผู้นำยุโรปหลายคนเสนอให้มีการจัดตั้งกลไกควบคุมระบบการเงินโลกขึ้นมาใหม่ ให้มีการปฏิรูประบบทุนนิยมโลกครั้งใหญ่ ยุโรปต้องการระบบการเงินโลกใหม่ หรือ Bretton Woods II
แต่รัฐบาล Bush กลับมีท่าทีไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอการปฏิรูปของยุโรป โดย Bush ได้ออกมาพูดหลายครั้งว่า การปฏิรูประบบการเงินโลกจะต้องไม่กระทบต่อระบบทุนนิยมเสรี ระบบกลไกตลาด และการค้าเสรี ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของทุนนิยมแบบอเมริกัน รัฐบาล Bush ยังคงยืนยันในหลักการว่า กลไกภาครัฐควรจะเข้าไปแทรกแซงกลไกตลาดให้น้อยที่สุด
เบื้องหลังท่าทีของสหรัฐ ก็คือ สหรัฐซึ่งเป็นอภิมหาอำนาจอำนาจอันดับ 1 ของโลก มีความหวาดระแวงต่อข้อเสนอของประเทศอื่นๆ ที่จะทำให้อิทธิพลของสหรัฐในระบบการเงินโลกลดลง โดย Bush ยังคงยืนยันว่า สหรัฐจะต้องเล่นบทเป็นผู้นำโลกต่อไปในการปฏิรูประบบการเงินโลก
แต่สำหรับท่าทีของประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะประเทศจากเอเชียนั้น มีท่าทีไม่ค่อยเห็นด้วยกับข้อเสนอของตะวันตก ที่ต้องการผลักดันการเพิ่มบทบาทของ IMF และธนาคารโลก ทั้งนี้ เพราะเอเชียไม่มีสิทธิ์มีเสียงในองค์กรดังกล่าว และมีประวัติศาสตร์อันขมขื่นกับ IMF ซึ่งถูกมองว่า ถูกครอบงำโดยตะวันตก โดยเฉพาะโดยสหรัฐอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ ประสบการณ์ของเอเชียในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 1997 นั้น IMF ก็ได้เข้ามามีอำนาจบาตรใหญ่ และบีบคั้นประเทศที่กู้เงินจาก IMF เป็นอย่างมาก ซึ่งเอเชียมองว่า มาตรการต่างๆของ IMF สอดรับกับผลประโยชน์ของสหรัฐนั่นเอง
· ความล้มเหลวของการประชุม G 20 ประการสุดท้ายที่ผมอยากจะกล่าวถึง คือ ท่าทีของสหรัฐในการประชุมครั้งนี้ เป็นท่าทีของรัฐบาล Bush ซึ่งจะบริหารประเทศได้อีกไม่กี่วัน ในขณะที่ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ คือ นาย Barack Obama กลับไม่ได้มีบทบาทในการประชุม ดังนั้น จึงดูเหมือนกับว่า การประชุมครั้งนี้ คงจะไม่มีความหมาย เพราะค่อนข้างแน่นอนว่า รัฐบาล Obama คงจะมีท่าทีที่แตกต่างจากรัฐบาล Bush ดังนั้น ในที่สุดแล้ว เราคงจะต้องรอถึงเดือนเมษายน ปีหน้า ถึงจะเห็นถึงท่าทีของรัฐบาล Obama ในการประชุม G 20 ครั้งหน้าว่า จะส่งผลกระทบต่อการปฏิรูประบบการเงินโลกได้มากน้อยแค่ไหน
ไทยโพสต์ เสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2551 ปีที่ 13 ฉบับที่ 4407
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้มีการจัดประชุมสุดยอด G 20 ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อหารือถึงการปฏิรูประบบการเงินโลก คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้ ผมจะได้วิเคราะห์ถึงผลการประชุมในครั้งนี้ และประเมินความสำเร็จและความล้มเหลว
ภูมิหลัง
ภายหลังจากเกิดวิกฤติการเงินลุกลามไปทั่วโลก ผู้นำโลกตะวันตกเริ่มตื่นตัวที่จะหาวิธีการแก้ไขอย่างจริงจัง โดยสหรัฐได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอด G 20 ครั้งแรกขึ้น ในวันที่ 15 พฤศจิกายนที่กรุง Washington D.C. การประชุมครั้งนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Summit on Financial Markets and the World Economy” การประชุมวันที่ 15 เป็นการประชุมสุดยอดครั้งแรก ซึ่งตามแผนจะมีการประชุมอีกหลายครั้ง การประชุมครั้งแรกเน้นเรื่องการตกลงหลักการกว้างๆ ส่วนรายละเอียดนั้น จะให้รัฐมนตรีคลังศึกษาและเสนอต่อการประชุมสุดยอดครั้งต่อไป
ผลการประชุม
สำหรับผลการประชุมซึ่งได้แถลงออกมาในรูปของปฏิญญา ได้เน้นว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่กำลังทรุดหนักลงทั่วโลก ที่ประชุมจึงตกลงที่จะต้องมีนโยบายเพื่อตอบสนอง โดยเน้นในเรื่องความร่วมมือเศรษฐกิจมหภาคให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น และจะร่วมมือกันผลักดันมาตรการเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับระบบการเงิน ที่ประชุม G 20 ได้เน้นบทบาทของ IMF โดยเฉพาะบทบาทในการตอบสนองต่อวิกฤติการณ์ มาตรการเสริมสภาพคล่อง และการปรับปรุงกลไกต่างๆ เพื่อให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น G 20 ยังได้เน้นบทบาทของธนาคารโลก และธนาคารเพื่อการพัฒนาพหุภาคีต่างๆ โดยย้ำว่า สถาบันเหล่านี้จะต้องมีทรัพยากรเพียงพอ ที่จะเล่นบทในการกอบกู้วิกฤติ
ที่ประชุมจะได้มีมาตรการปฏิรูปเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตลาดการเงิน และให้มีกลไกควบคุมตรวจสอบสถาบันการเงิน โดยการควบคุมตรวจสอบนั้น ถือเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม ตลาดการเงินในปัจจุบัน มีขอบเขตขยายไปทั่วโลก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีความร่วมมือระหว่างประเทศ และต้องมีการเสริมสร้างมาตรฐานระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องเสถียรภาพทางการเงินระหว่างประเทศ
ที่ประชุม G 20 ได้ตกลงหลักการ 5 ประการในการปฏิรูป
หลักการประการแรก คือ การเสริมสร้างความโปร่งใส โดยเน้นการสร้างความโปร่งใสในตลาดการเงิน
หลักการประการที่ 2 คือ การเสริมสร้างการควบคุมตรวจสอบ โดยจะต้องส่งเสริมกลไกควบคุมตรวจสอบ การบริหารจัดการความเสี่ยง
หลักการประการที่ 3 การส่งเสริมหลักธรรมาภิบาลในตลาดการเงิน โดยจะต้องมีการปกป้องทั้งผู้บริโภคและผู้ลงทุน หลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน การบิดเบือนกลไกตลาดอย่างผิดกฎหมาย
หลักการประการที่ 4 เป็นเรื่องของการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเน้นในเรื่องของการกำหนดมาตรการ กำหนดการควบคุมตรวจสอบสถาบันการเงิน โดยส่งเสริมความร่วมมือ และประสานงานในการควบคุมตรวจสอบ ซึ่งรวมถึงการไหลเวียนของเงินทุนข้ามชาติ
หลักการสุดท้าย หลักการประการที่ 5 คือ การปฏิรูปสถาบันการเงินระหว่างประเทศ G 20 ตกลงจะให้มีการปฏิรูปสถาบัน Bretton Woods (คือ IMF และธนาคารโลก) โดยจะต้องทำให้สถาบันดังกล่าว สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเศรษฐกิจโลก เพื่อจะทำให้สถาบันดังกล่าวมีความชอบธรรม และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น ประเทศกำลังพัฒนาจึงควรจะมีสิทธิ์มีเสียงในสถาบันเหล่านี้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในตอนท้ายของปฏิญญา ก็มีข้อความในลักษณะติดเบรกการปฏิรูป ซึ่งน่าจะเป็นการผลักดันจากทางฝ่ายสหรัฐ โดยในปฏิญญาได้กล่าวในตอนท้ายว่า การปฏิรูปเหล่านี้จะสำเร็จได้ จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานและหลักการของตลาดเสรี และจะต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้มีมาตรการควบคุมสถาบันการเงินมากเกินไป
ในตอนสุดท้าย กลุ่ม G 20 ได้มีการตกลงว่า จะมีการประชุมครั้งต่อไป ในช่วงเดือนเมษายน 2009
ความสำเร็จหรือความล้มเหลว?
· โดยภาพรวมแล้ว ถ้าจะให้ผมประเมิน ถ้าดูจากความคาดหวังก่อนการประชุมว่าการประชุมครั้งนี้ จะเป็นการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ โดยอาจจะมีข้อตกลงการปฏิรูประบบการเงินโลกแบบถอนรากถอนโคน แต่ผลออกมาแล้ว ปรากฏว่า เป็นที่น่าผิดหวัง เพราะข้อตกลงต่างๆไม่ได้มีลักษณะการปฏิรูปอย่างจริงจัง มาตรการส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยไม่ได้มีมาตรการที่เป็นรูปธรรม ที่จะกอบกู้วิกฤติการเงินโลกครั้งใหญ่ครั้งนี้ได้
อย่างไรก็ตาม การประชุมครั้งนี้ก็ถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์ เพราะเป็นการประชุมสุดยอดครั้งแรกของกลุ่ม G 20 โดยก่อนหน้านี้ การประชุมสุดยอดจะมีระดับ G 8 เท่านั้น ก่อนหน้านี้ ตะวันตกยังคงหวงก้าง ไม่อยากขยายวงออกไปรวมประเทศกำลังพัฒนา แต่จากวิกฤติคราวนี้ ทำให้ตะวันตกต้องกัดฟันขยายวงจาก G 8 เป็น G 20 ซึ่งเราคงต้องดูกันต่อไปว่า การประชุมสุดยอด G 20 จะกลายเป็นกลไกถาวรในอนาคตได้หรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับเป็นการยกระดับบทบาทของประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะการยกระดับบทบาทของจีนและอินเดีย แต่ผมยังไม่แน่ใจ เพราะการประชุมสุดยอด G 20 อาจจะเป็นลักษณะเฉพาะกิจก็ได้
· หลังจากการประชุมเสร็จสิ้นลง มีหลายฝ่ายมองว่า การประชุมครั้งนี้ล้มเหลว เพราะไม่ได้มีการปฏิรูปอย่างจริงจัง และมาตรการต่างๆก็ไม่ได้มีอะไรใหม่ เป็นมาตรการที่รู้ๆกันอยู่แล้ว และหลายๆเรื่องก็กำลังดำเนินการอยู่แล้ว มาตรการเหล่านี้ ดูแล้วเหมือนจะเป็นมาตรการ “ซ่อม” มากกว่าจะเป็นมาตรการปฏิรูประบบการเงินโลกอย่างจริงจัง
· นอกจากนี้ มาตรการที่ G 20 ตกลง ส่วนใหญ่เป็นหลักการกว้างๆ ไม่ค่อยมีรายละเอียด และหลายมาตรการก็กำกวมว่า จะเป็นมาตรการของแต่ละประเทศ หรือจะเป็นมาตรการความร่วมมือระหว่างประเทศ
· ดัชนีบ่งชี้ถึงความล้มเหลวของการประชุม G 20 คือ การตอบสนองของตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากทราบข่าวผลการประชุม ปรากฏว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกไม่ได้ดีขึ้น บางแห่งหุ้นก็ตกลงเสียด้วยซ้ำ โดยนักวิเคราะห์หุ้นมองว่า เป็นผลมาจากตลาดหุ้นไม่เห็นว่า การประชุมจะช่วยกอบกู้วิกฤติการเงินโลกได้อย่างไร โดยมองว่าการประชุมมีผลเพียงในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น ไม่มีผลในเชิงรูปธรรม ตลาดหุ้นรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้มีการประกาศมาตรการความร่วมมืออย่างจริงจัง โดยเฉพาะความร่วมมือในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
· ความล้มเหลวของการประชุม G 20 ในครั้งนี้ เป็นผลมาจาก ท่าทีที่ขัดแย้งกัน ระหว่างสหรัฐ ยุโรป และเอเชีย
โดยทางยุโรปนั้น มีท่าทีชัดเจน ที่ต้องการให้มีการปฏิรูประบบการเงินโลกอย่างถอนรากถอนโคน ทั้ง Gordon Brown นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และนาย Nicolas Sarkozy ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน เรียกร้องให้มีการปฏิรูป ควบคุมระบบการเงินโลก ผู้นำยุโรปหลายคนเสนอให้มีการจัดตั้งกลไกควบคุมระบบการเงินโลกขึ้นมาใหม่ ให้มีการปฏิรูประบบทุนนิยมโลกครั้งใหญ่ ยุโรปต้องการระบบการเงินโลกใหม่ หรือ Bretton Woods II
แต่รัฐบาล Bush กลับมีท่าทีไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอการปฏิรูปของยุโรป โดย Bush ได้ออกมาพูดหลายครั้งว่า การปฏิรูประบบการเงินโลกจะต้องไม่กระทบต่อระบบทุนนิยมเสรี ระบบกลไกตลาด และการค้าเสรี ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของทุนนิยมแบบอเมริกัน รัฐบาล Bush ยังคงยืนยันในหลักการว่า กลไกภาครัฐควรจะเข้าไปแทรกแซงกลไกตลาดให้น้อยที่สุด
เบื้องหลังท่าทีของสหรัฐ ก็คือ สหรัฐซึ่งเป็นอภิมหาอำนาจอำนาจอันดับ 1 ของโลก มีความหวาดระแวงต่อข้อเสนอของประเทศอื่นๆ ที่จะทำให้อิทธิพลของสหรัฐในระบบการเงินโลกลดลง โดย Bush ยังคงยืนยันว่า สหรัฐจะต้องเล่นบทเป็นผู้นำโลกต่อไปในการปฏิรูประบบการเงินโลก
แต่สำหรับท่าทีของประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะประเทศจากเอเชียนั้น มีท่าทีไม่ค่อยเห็นด้วยกับข้อเสนอของตะวันตก ที่ต้องการผลักดันการเพิ่มบทบาทของ IMF และธนาคารโลก ทั้งนี้ เพราะเอเชียไม่มีสิทธิ์มีเสียงในองค์กรดังกล่าว และมีประวัติศาสตร์อันขมขื่นกับ IMF ซึ่งถูกมองว่า ถูกครอบงำโดยตะวันตก โดยเฉพาะโดยสหรัฐอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ ประสบการณ์ของเอเชียในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 1997 นั้น IMF ก็ได้เข้ามามีอำนาจบาตรใหญ่ และบีบคั้นประเทศที่กู้เงินจาก IMF เป็นอย่างมาก ซึ่งเอเชียมองว่า มาตรการต่างๆของ IMF สอดรับกับผลประโยชน์ของสหรัฐนั่นเอง
· ความล้มเหลวของการประชุม G 20 ประการสุดท้ายที่ผมอยากจะกล่าวถึง คือ ท่าทีของสหรัฐในการประชุมครั้งนี้ เป็นท่าทีของรัฐบาล Bush ซึ่งจะบริหารประเทศได้อีกไม่กี่วัน ในขณะที่ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ คือ นาย Barack Obama กลับไม่ได้มีบทบาทในการประชุม ดังนั้น จึงดูเหมือนกับว่า การประชุมครั้งนี้ คงจะไม่มีความหมาย เพราะค่อนข้างแน่นอนว่า รัฐบาล Obama คงจะมีท่าทีที่แตกต่างจากรัฐบาล Bush ดังนั้น ในที่สุดแล้ว เราคงจะต้องรอถึงเดือนเมษายน ปีหน้า ถึงจะเห็นถึงท่าทีของรัฐบาล Obama ในการประชุม G 20 ครั้งหน้าว่า จะส่งผลกระทบต่อการปฏิรูประบบการเงินโลกได้มากน้อยแค่ไหน
Obama กับสถานการณ์การเมืองโลก
Obama กับสถานการณ์การเมืองโลก
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 56 ฉบับที่ 9 วันศุกร์ที่ 21-พฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน 2551
คอลัมน์โลกทรรศน์ตอนที่แล้ว ผมได้วิเคราะห์ถึงนโยบายต่างประเทศของ Obama และผลกระทบต่อโลกไปแล้ว คอลัมน์ในวันนี้ ผมจะมาวิเคราะห์ต่อ เกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง ความมั่นคงโลก ที่จะเป็นเรื่องใหญ่ๆ และเป็นการบ้านใหญ่สำหรับประธานาธิบดี Obama ถึงแม้ว่าเรื่องการกอบกู้วิกฤติการเงินสหรัฐ คงจะเป็นเรื่องที่ Obama ให้ความสำคัญมากที่สุด แต่สถานการณ์การเมืองโลก ก็คงจะไม่ปล่อยให้ Obama อยู่เฉยๆได้
อิรัก
การบ้านชิ้นแรกของประธานาธิบดี Obama คือการแก้ปัญหาอิรัก
ในปี 2006 สถานการณ์ในอิรักทรุดหนักลงอย่างมาก โดยทั้งกลุ่มก่อการร้ายซุนหนี่และชีอะฮ์ ก็โจมตีกองกำลังสหรัฐ และทั้งกลุ่มซุนหนี่และชีอะฮ์ก็ต่อสู้กันเอง จนถึงขั้นกำลังจะเกิดสงครามกลางเมือง ต่อมาหลังจากที่พรรค Democrat ได้ครองเสียงข้างมากในสภา Congress ได้มีกระแสกดดันให้ถอนทหารออกจากอิรัก
อย่างไรก็ตาม รัฐบาล Bush กลับสวนทาง ด้วยการเพิ่มกองกำลังทหารเข้าไปในอิรัก และดูเหมือนกับว่าจะได้ผลในระดับหนึ่ง เพราะหลังจากนั้น ความปั่นป่วนวุ่นวายก็สงบลง นอกจากนี้ รัฐบาล Bush ยังได้เริ่มเจรจากับกลุ่มก่อการร้ายซุนหนี่ ทั้งสหรัฐและกลุ่มซุนหนี่ต้องการให้ฝ่ายชีอะฮ์จัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้น
นอกจากนี้ ยังได้เริ่มมีการเจรจาอย่างลับๆกับฝ่ายอิหร่าน ซึ่งสำหรับอิหร่านนั้น ตระหนักดีว่า ความเป็นไปได้ที่จะมีรัฐบาลอิรักที่ pro อิหร่านนั้น คงจะยาก สิ่งที่อิหร่านกลัวที่สุดคือ การกลับคืนมาของรัฐบาลอิรัก นำโดยกลุ่มซุนหนี่ ซึ่งจะกลับไปเหมือนสมัยรัฐบาล Saddam Hussain ซึ่งได้ทำสงครามกับอิหร่านเป็นเวลาเกือบ 10 ปี อิหร่านจึงมองว่า รัฐบาลผสมที่เป็นกลาง น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ผลพวงของความพยายามของรัฐบาล Bush จึงทำให้กลุ่มก่อการร้ายลดบทบาทลง และได้มีรัฐบาลผสมเกิดขึ้น โดยการสนับสนุนจากทั้งทางสหรัฐและอิหร่าน แม้สถานการณ์ในอิรักยังคงเปราะบาง แต่ในปัจจุบันสถานการณ์ก็ดีกว่าเมื่อปี 2006
ดังนั้น โจทย์ใหญ่ของประธานาธิบดี Obama คือ การตัดสินใจว่าจะถอนทหารออกจากอิรักเมื่อไหร่ และอย่างไร Obama ประกาศมาโดยตลอดในช่วงหาเสียงเลือกตั้งว่า ถ้าเขาได้เป็นประธานาธิบดี จะถอนทหารออกจากอิรักภายใน 16 เดือน
ในแง่ยุทธศาสตร์ทางทหารนั้น มีความเร่งด่วนที่จะต้องถอนทหารออกจากอิรักและเพิ่มกำลังทหารในอัฟกานิสถาน ต้องมีกองกำลังสำรองสำหรับสถานการณ์ในปากีสถาน และตอบสนองต่อสถานการณ์ในเขตสหภาพโซเวียตเดิม อย่างเช่นในกรณีสงครามจอร์เจีย
อย่างไรก็ตาม พวกที่ไม่เห็นด้วยกับการถอนทหาร อย่างเช่น McCain และ Bush ก็จะตอกย้ำว่า การถอนทหารออกมาเร็วเกินไป จะทำให้อิรักลุกเป็นไฟ และทำให้เกิดสงครามกลางเมืองในอิรัก ดังนั้น ประเด็นเรื่องการถอนทหารจึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่รอการตัดสินใจจาก Obama
อิหร่าน
การบ้านชิ้นที่ 2 ของประธานาธิบดี Obama คือ อิหร่าน
ปัญหาความขัดแย้งเรื่องการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน ยืดเยื้อมาหลายปี ถึงแม้ว่านักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองว่า ศักยภาพของอิหร่านในขณะนี้ จะยังคงต้องใช้เวลาอีกหลายปี กว่าจะผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้
Obama ได้เคยประกาศว่า หากเขาได้เป็นประธานาธิบดี เขาพร้อมที่จะเจรจากับผู้นำอิหร่าน เพื่อยุติความขัดแย้ง แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ก็ไม่มีหลักประกันว่า การเจรจาดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ และหากมีการเจรจาเกิดขึ้นจริง ก็ไม่มีหลักประกันว่า จะนำไปสู่การยุติความขัดแย้ง
หาก Obama ต้องการจะถอนทหารจากอิรัก และเพิ่มทหารในอัฟกานิสถาน นั่นหมายความว่า สหรัฐจะต้องได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน เพราะหากอิหร่านไม่เล่นด้วย อิหร่านจะสามารถสร้างความปั่นป่วนในอิรักได้ ดังนั้น โจทย์ใหญ่ของ Obama คือ จะเอาอย่างไรกับอิหร่าน
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาแทรกซ้อนเกิดขึ้นมาอีก คือ บทบาทของรัสเซีย ซึ่งกำลังพยายามผงาดขึ้นมาแข่งกับสหรัฐ มีความเป็นไปได้ว่า รัสเซียอาจจะมาตีสนิทกับอิหร่าน ดังนั้น โจทย์อีกเรื่องของ Obama คือ จะทำอย่างไรที่จะไม่ทำให้อิหร่านไปเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย
อัฟกานิสถาน
การบ้านชิ้นที่ 3 ของ Obama คือ นโยบายต่ออัฟกานิสถาน
ในตอนหาเสียงเลือกตั้ง Obama ย้ำมาตลอดว่า ยุทธศาสตร์สงครามต่อต้านการก่อการร้ายของรัฐบาล Bush นั้น ผิดพลาดเพราะไปเน้นที่อิรัก แทนที่จะเน้นที่อัฟกานิสถาน ซึ่ง Obama มองว่า เป็นศูนย์กลางของขบวนการก่อการร้าย Obama จึงได้เสนอว่า จะต้องเพิ่มกองกำลังทหารเข้าไปในอัฟกานิสถาน
แต่ในทางปฏิบัติ ผมมองว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะเพิ่มกองกำลังเข้าไปในอัฟกานิสถาน เพราะหลายประเทศใน NATO ก็อยากจะถอนทหารกลับ ขณะนี้ สหรัฐและ NATO มีกองกำลังอยู่ในอัฟกานิสถานประมาณ 50,000 คน ประเด็นทางการทหารก็คือ จะต้องมีกองกำลังทหารเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ หากย้อนไปดูในประวัติศาสตร์ ในช่วงที่รัสเซียยึดอัฟกานิสถาน รัสเซียใช้ทหารถึง 120,000 คน แต่ก็ยังไม่พอ ในที่สุด รัสเซียก็พ่ายแพ้ ต้องถอนทหารกลับไป
นอกจากนี้ โจทย์ใหญ่ในอัฟกานิสถานก็คือ กองกำลังนักรบ Taliban ซึ่งได้ชนะสงครามกลางเมืองในทศวรรษ 90 และสามารถยึดกุมอำนาจรัฐได้ ทั้งนี้ ก็เพราะ Taliban เป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้น เป็นไปได้มากเลยที่ ถ้าไม่มีทหารสหรัฐ กลุ่ม Taliban ก็จะกลับมายึดอำนาจรัฐได้อีก จริงๆแล้ว สหรัฐไม่เคยชนะ Taliban เพราะตอนที่สหรัฐบุกยึดครองอัฟกานิสถานเมื่อ
ปลายปี 2001 นั้น Taliban ก็ไม่ได้สู้กับสหรัฐ แต่ได้อันตรธานหายไปหมด ดังนั้น Obama จะมีนโยบายอย่างไร เพื่อจะเอาชนะ Taliban ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ปากีสถาน
การบ้านชิ้นที่ 4 ของ Obama คือ นโยบายต่อปากีสถาน
ประเด็นสำคัญคือ ขณะนี้ al-Qaeda ได้มีฐานที่มั่นอยู่ทางตอนเหนือของปากีสถาน ดังนั้น การบ้านที่ยากที่สุดของ Obama คือ ทำอย่างไรถึงจะเอาชนะ และกำจัด al-Qaeda ให้สิ้นซาก
นอกจากนี้ ยังมีปัญหานักรบ Taliban ในปากีสถานด้วย สหรัฐคงจะต้องได้รับความร่วมมือจากกองทัพปากีสถานในการโจมตีกลุ่ม Taliban หรือไม่ สหรัฐจะต้องได้รับอนุญาตจากรัฐบาลปากีสถานให้ไล่ล่ากลุ่ม Taliban
Obama ในตอนหาเสียงเลือกตั้งได้เคยประกาศกร้าวว่า หากเขาได้เป็นประธานาธิบดี ก็พร้อมที่จะส่งกองกำลังเข้าไปในปากีสถาน เพื่อไล่ล่า al-Qaeda และ Taliban ถึงแม้จะไม่ได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลปากีสถานก็ตาม ดังนั้น คำถามใหญ่คือ ประธานาธิบดี Obama จะกล้าทำเช่นนั้นหรือ Obama คงจะต้องชั่งน้ำหนักให้ดี ระหว่างการไล่ล่ากลุ่มก่อการร้าย กับผลลบที่จะเกิดขึ้น ที่อาจทำให้ปากีสถานลุกเป็นไฟ และอย่าลืมว่า ปากีสถานนั้น มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครอง
รัสเซีย
การบ้านชิ้นยากชิ้นที่ 5 ของ Obama ก็คือ นโยบายต่อรัสเซีย
ตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต สหรัฐก็ดูถูกดูแคลนรัสเซีย มองว่ากำลังแตกสลาย อ่อนแอ และคงไม่มีความสำคัญในการเมืองโลก สหรัฐจึงได้ดำเนินยุทธศาสตร์ในการปิดล้อมและลดอิทธิพลของรัสเซียเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะการขยายสมาชิก NATO เข้าไปในเขตอิทธิพลเดิมของสหภาพโซเวียต ซึ่งล่าสุดก็คือการจะรับยูเครนและจอร์เจียเข้าเป็นสมาชิก NATO จุดนี้เอง จึงเป็นจุดแตกหัก รัสเซีย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็กลับมาผงาดอีกครั้ง ด้วยพลังงานอำนาจที่ได้จากการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ รัสเซียจึงประกาศศักดาการกลับมาเป็นมหาอำนาจด้วยการทำสงครามบุกจอร์เจีย
ดังนั้น โจทย์ใหญ่สำหรับประธานาธิบดี Obama ก็คือ จะทำอย่างไรกับรัสเซีย จะป้องกันการขยายอำนาจของรัสเซียได้อย่างไร ถึงแม้ในตอนหาเสียงเลือกตั้ง Obama จะพูดจาภาษาดอกไม้โดยไม่ได้มองว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคาม แต่ในทางปฏิบัติ Obama คงจะต้องเผชิญกับรัสเซียที่จะแข็งกร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 56 ฉบับที่ 9 วันศุกร์ที่ 21-พฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน 2551
คอลัมน์โลกทรรศน์ตอนที่แล้ว ผมได้วิเคราะห์ถึงนโยบายต่างประเทศของ Obama และผลกระทบต่อโลกไปแล้ว คอลัมน์ในวันนี้ ผมจะมาวิเคราะห์ต่อ เกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง ความมั่นคงโลก ที่จะเป็นเรื่องใหญ่ๆ และเป็นการบ้านใหญ่สำหรับประธานาธิบดี Obama ถึงแม้ว่าเรื่องการกอบกู้วิกฤติการเงินสหรัฐ คงจะเป็นเรื่องที่ Obama ให้ความสำคัญมากที่สุด แต่สถานการณ์การเมืองโลก ก็คงจะไม่ปล่อยให้ Obama อยู่เฉยๆได้
อิรัก
การบ้านชิ้นแรกของประธานาธิบดี Obama คือการแก้ปัญหาอิรัก
ในปี 2006 สถานการณ์ในอิรักทรุดหนักลงอย่างมาก โดยทั้งกลุ่มก่อการร้ายซุนหนี่และชีอะฮ์ ก็โจมตีกองกำลังสหรัฐ และทั้งกลุ่มซุนหนี่และชีอะฮ์ก็ต่อสู้กันเอง จนถึงขั้นกำลังจะเกิดสงครามกลางเมือง ต่อมาหลังจากที่พรรค Democrat ได้ครองเสียงข้างมากในสภา Congress ได้มีกระแสกดดันให้ถอนทหารออกจากอิรัก
อย่างไรก็ตาม รัฐบาล Bush กลับสวนทาง ด้วยการเพิ่มกองกำลังทหารเข้าไปในอิรัก และดูเหมือนกับว่าจะได้ผลในระดับหนึ่ง เพราะหลังจากนั้น ความปั่นป่วนวุ่นวายก็สงบลง นอกจากนี้ รัฐบาล Bush ยังได้เริ่มเจรจากับกลุ่มก่อการร้ายซุนหนี่ ทั้งสหรัฐและกลุ่มซุนหนี่ต้องการให้ฝ่ายชีอะฮ์จัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้น
นอกจากนี้ ยังได้เริ่มมีการเจรจาอย่างลับๆกับฝ่ายอิหร่าน ซึ่งสำหรับอิหร่านนั้น ตระหนักดีว่า ความเป็นไปได้ที่จะมีรัฐบาลอิรักที่ pro อิหร่านนั้น คงจะยาก สิ่งที่อิหร่านกลัวที่สุดคือ การกลับคืนมาของรัฐบาลอิรัก นำโดยกลุ่มซุนหนี่ ซึ่งจะกลับไปเหมือนสมัยรัฐบาล Saddam Hussain ซึ่งได้ทำสงครามกับอิหร่านเป็นเวลาเกือบ 10 ปี อิหร่านจึงมองว่า รัฐบาลผสมที่เป็นกลาง น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ผลพวงของความพยายามของรัฐบาล Bush จึงทำให้กลุ่มก่อการร้ายลดบทบาทลง และได้มีรัฐบาลผสมเกิดขึ้น โดยการสนับสนุนจากทั้งทางสหรัฐและอิหร่าน แม้สถานการณ์ในอิรักยังคงเปราะบาง แต่ในปัจจุบันสถานการณ์ก็ดีกว่าเมื่อปี 2006
ดังนั้น โจทย์ใหญ่ของประธานาธิบดี Obama คือ การตัดสินใจว่าจะถอนทหารออกจากอิรักเมื่อไหร่ และอย่างไร Obama ประกาศมาโดยตลอดในช่วงหาเสียงเลือกตั้งว่า ถ้าเขาได้เป็นประธานาธิบดี จะถอนทหารออกจากอิรักภายใน 16 เดือน
ในแง่ยุทธศาสตร์ทางทหารนั้น มีความเร่งด่วนที่จะต้องถอนทหารออกจากอิรักและเพิ่มกำลังทหารในอัฟกานิสถาน ต้องมีกองกำลังสำรองสำหรับสถานการณ์ในปากีสถาน และตอบสนองต่อสถานการณ์ในเขตสหภาพโซเวียตเดิม อย่างเช่นในกรณีสงครามจอร์เจีย
อย่างไรก็ตาม พวกที่ไม่เห็นด้วยกับการถอนทหาร อย่างเช่น McCain และ Bush ก็จะตอกย้ำว่า การถอนทหารออกมาเร็วเกินไป จะทำให้อิรักลุกเป็นไฟ และทำให้เกิดสงครามกลางเมืองในอิรัก ดังนั้น ประเด็นเรื่องการถอนทหารจึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่รอการตัดสินใจจาก Obama
อิหร่าน
การบ้านชิ้นที่ 2 ของประธานาธิบดี Obama คือ อิหร่าน
ปัญหาความขัดแย้งเรื่องการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน ยืดเยื้อมาหลายปี ถึงแม้ว่านักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองว่า ศักยภาพของอิหร่านในขณะนี้ จะยังคงต้องใช้เวลาอีกหลายปี กว่าจะผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้
Obama ได้เคยประกาศว่า หากเขาได้เป็นประธานาธิบดี เขาพร้อมที่จะเจรจากับผู้นำอิหร่าน เพื่อยุติความขัดแย้ง แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ก็ไม่มีหลักประกันว่า การเจรจาดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ และหากมีการเจรจาเกิดขึ้นจริง ก็ไม่มีหลักประกันว่า จะนำไปสู่การยุติความขัดแย้ง
หาก Obama ต้องการจะถอนทหารจากอิรัก และเพิ่มทหารในอัฟกานิสถาน นั่นหมายความว่า สหรัฐจะต้องได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน เพราะหากอิหร่านไม่เล่นด้วย อิหร่านจะสามารถสร้างความปั่นป่วนในอิรักได้ ดังนั้น โจทย์ใหญ่ของ Obama คือ จะเอาอย่างไรกับอิหร่าน
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาแทรกซ้อนเกิดขึ้นมาอีก คือ บทบาทของรัสเซีย ซึ่งกำลังพยายามผงาดขึ้นมาแข่งกับสหรัฐ มีความเป็นไปได้ว่า รัสเซียอาจจะมาตีสนิทกับอิหร่าน ดังนั้น โจทย์อีกเรื่องของ Obama คือ จะทำอย่างไรที่จะไม่ทำให้อิหร่านไปเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย
อัฟกานิสถาน
การบ้านชิ้นที่ 3 ของ Obama คือ นโยบายต่ออัฟกานิสถาน
ในตอนหาเสียงเลือกตั้ง Obama ย้ำมาตลอดว่า ยุทธศาสตร์สงครามต่อต้านการก่อการร้ายของรัฐบาล Bush นั้น ผิดพลาดเพราะไปเน้นที่อิรัก แทนที่จะเน้นที่อัฟกานิสถาน ซึ่ง Obama มองว่า เป็นศูนย์กลางของขบวนการก่อการร้าย Obama จึงได้เสนอว่า จะต้องเพิ่มกองกำลังทหารเข้าไปในอัฟกานิสถาน
แต่ในทางปฏิบัติ ผมมองว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะเพิ่มกองกำลังเข้าไปในอัฟกานิสถาน เพราะหลายประเทศใน NATO ก็อยากจะถอนทหารกลับ ขณะนี้ สหรัฐและ NATO มีกองกำลังอยู่ในอัฟกานิสถานประมาณ 50,000 คน ประเด็นทางการทหารก็คือ จะต้องมีกองกำลังทหารเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ หากย้อนไปดูในประวัติศาสตร์ ในช่วงที่รัสเซียยึดอัฟกานิสถาน รัสเซียใช้ทหารถึง 120,000 คน แต่ก็ยังไม่พอ ในที่สุด รัสเซียก็พ่ายแพ้ ต้องถอนทหารกลับไป
นอกจากนี้ โจทย์ใหญ่ในอัฟกานิสถานก็คือ กองกำลังนักรบ Taliban ซึ่งได้ชนะสงครามกลางเมืองในทศวรรษ 90 และสามารถยึดกุมอำนาจรัฐได้ ทั้งนี้ ก็เพราะ Taliban เป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้น เป็นไปได้มากเลยที่ ถ้าไม่มีทหารสหรัฐ กลุ่ม Taliban ก็จะกลับมายึดอำนาจรัฐได้อีก จริงๆแล้ว สหรัฐไม่เคยชนะ Taliban เพราะตอนที่สหรัฐบุกยึดครองอัฟกานิสถานเมื่อ
ปลายปี 2001 นั้น Taliban ก็ไม่ได้สู้กับสหรัฐ แต่ได้อันตรธานหายไปหมด ดังนั้น Obama จะมีนโยบายอย่างไร เพื่อจะเอาชนะ Taliban ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ปากีสถาน
การบ้านชิ้นที่ 4 ของ Obama คือ นโยบายต่อปากีสถาน
ประเด็นสำคัญคือ ขณะนี้ al-Qaeda ได้มีฐานที่มั่นอยู่ทางตอนเหนือของปากีสถาน ดังนั้น การบ้านที่ยากที่สุดของ Obama คือ ทำอย่างไรถึงจะเอาชนะ และกำจัด al-Qaeda ให้สิ้นซาก
นอกจากนี้ ยังมีปัญหานักรบ Taliban ในปากีสถานด้วย สหรัฐคงจะต้องได้รับความร่วมมือจากกองทัพปากีสถานในการโจมตีกลุ่ม Taliban หรือไม่ สหรัฐจะต้องได้รับอนุญาตจากรัฐบาลปากีสถานให้ไล่ล่ากลุ่ม Taliban
Obama ในตอนหาเสียงเลือกตั้งได้เคยประกาศกร้าวว่า หากเขาได้เป็นประธานาธิบดี ก็พร้อมที่จะส่งกองกำลังเข้าไปในปากีสถาน เพื่อไล่ล่า al-Qaeda และ Taliban ถึงแม้จะไม่ได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลปากีสถานก็ตาม ดังนั้น คำถามใหญ่คือ ประธานาธิบดี Obama จะกล้าทำเช่นนั้นหรือ Obama คงจะต้องชั่งน้ำหนักให้ดี ระหว่างการไล่ล่ากลุ่มก่อการร้าย กับผลลบที่จะเกิดขึ้น ที่อาจทำให้ปากีสถานลุกเป็นไฟ และอย่าลืมว่า ปากีสถานนั้น มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครอง
รัสเซีย
การบ้านชิ้นยากชิ้นที่ 5 ของ Obama ก็คือ นโยบายต่อรัสเซีย
ตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต สหรัฐก็ดูถูกดูแคลนรัสเซีย มองว่ากำลังแตกสลาย อ่อนแอ และคงไม่มีความสำคัญในการเมืองโลก สหรัฐจึงได้ดำเนินยุทธศาสตร์ในการปิดล้อมและลดอิทธิพลของรัสเซียเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะการขยายสมาชิก NATO เข้าไปในเขตอิทธิพลเดิมของสหภาพโซเวียต ซึ่งล่าสุดก็คือการจะรับยูเครนและจอร์เจียเข้าเป็นสมาชิก NATO จุดนี้เอง จึงเป็นจุดแตกหัก รัสเซีย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็กลับมาผงาดอีกครั้ง ด้วยพลังงานอำนาจที่ได้จากการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ รัสเซียจึงประกาศศักดาการกลับมาเป็นมหาอำนาจด้วยการทำสงครามบุกจอร์เจีย
ดังนั้น โจทย์ใหญ่สำหรับประธานาธิบดี Obama ก็คือ จะทำอย่างไรกับรัสเซีย จะป้องกันการขยายอำนาจของรัสเซียได้อย่างไร ถึงแม้ในตอนหาเสียงเลือกตั้ง Obama จะพูดจาภาษาดอกไม้โดยไม่ได้มองว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคาม แต่ในทางปฏิบัติ Obama คงจะต้องเผชิญกับรัสเซียที่จะแข็งกร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ
วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
นโยบายต่างประเทศของ Obama และผลกระทบต่อโลก
นโยบายต่างประเทศของ Obama และผลกระทบต่อโลก
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 56 ฉบับที่ 8 วันศุกร์ที่ 14 - พฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน 2551
คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ ผมจะวิเคราะห์ถึงนโยบายต่างประเทศของ Obama และผลกระทบต่อโลก รวมทั้งข้อจำกัดที่ Obama จะประสบในการดำเนินนโยบายดังกล่าว
นโยบายต่างประเทศของ Obama
หลังจากที่ Obama ชนะการเลือกตั้ง กำลังจะเป็นประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐ ประชาคมโลกก็กำลังสนใจอย่างยิ่งว่า Obama จะมีนโยบายต่างประเทศอย่างไร และจะส่งผลกระทบต่อโลกอย่างไร
โดยภาพรวมแล้ว Obama มีแนวอุดมการณ์เสรีนิยม มีแนวนโยบายสายพิราบ ตลอดเวลาที่ผ่านมา Obama ได้เน้นว่า นโยบายต่างประเทศจะต้องมีการยกเครื่องใหม่ ต้องมีการปฏิรูป และเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือจากนโยบายของ Bush
Obama มองโลกในแง่ดี และพยายามย้ำการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ และการกอบกู้ชื่อเสียงของสหรัฐที่ได้เสียหายไปมากจาก 8 ปีของรัฐบาล Bush ดังนั้น หาก Obama สามารถบรรลุการปฏิรูปนโยบายต่างประเทศได้จริง ก็น่าจะเป็นผลดีต่อโลก โดยน่าจะทำให้โลกมีเสถียรภาพและสันติภาพมากขึ้น
สำหรับนโยบายต่อตะวันออกกลางนั้น นโยบายต่ออิรักก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนอเมริกัน Obama หาเสียงมาโดยตลอดว่า หากเขาได้เป็นประธานาธิบดี เขาจะยุติสงครามอิรัก และเน้นการแก้ปัญหาโดยวิถีทางอื่นที่ไม่ใช่การใช้กำลังทางทหาร โดยจะค่อยๆถอนทหารออกมา
สำหรับในกรณีของอัฟกานิสถานนั้น Obama ได้เน้นมาตลอดว่า นี่คือจุดที่รัฐบาล Bush ละเลย และอัฟกานิสถานน่าจะเป็นสมรภูมิหลักของสงครามต่อต้านการก่อการร้าย เพื่อไล่ล่านักรบTaliban al-Qaeda และ Bin laden โดย Obama มีแผนที่จะเพิ่มกองกำลังเข้าไปในอัฟกานิสถาน โดยการสนับสนุนจาก NATO
สำหรับในกรณีวิกฤตินิวเคลียร์อิหร่านนั้น Obama ได้โจมตีนโยบายของ Bush มาตลอด โดยมองว่าจะต้องปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ หันมาเน้นการเจรจาทางการทูตอย่างจริงจัง รวมทั้งการเจรจาโดยตรงกับผู้นำอิหร่านด้วย
Obama มองว่า สงครามต่อต้านการก่อการร้ายของรัฐบาล Bush ประสบความล้มเหลว ดังนั้น จึงจะต้องมีการปรับยุทธศาสตร์ใหม่ ซึ่งจะต้องเป็นยุทธศาสตร์ที่มีลักษณะสมบูรณ์เบ็ดเสร็จ ที่ไม่เน้นแต่การใช้กำลังทางทหาร แต่ต้องมุ่งแก้ที่รากเหง้าของปัญหา รวมทั้งการสนับสนุนกลุ่มปฏิรูป กลุ่มสายกลางในโลกมุสลิม การให้การศึกษา และการส่งเสริมการค้าและการลงทุน
เป้าหมายใหญ่ของนโยบายต่างประเทศของ Obama อีกเรื่องหนึ่ง คือการกลับไปฟื้นฟูพันธมิตร หุ้นส่วน และสถาบันระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการปฏิรูปองค์การสหประชาชาติ
สำหรับในเอเชีย Obama มองว่า รัฐบาล Bush ให้ความสำคัญกับพันธมิตรทวิภาคีมากเกินไป Obama จึงมีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับเวทีพหุภาคีในเอเชียมากขึ้น ในช่วงการรณรงค์หาเสียง Obama ไม่ได้พูดถึงเอเชียมากนัก ผมจึงอยากจะคิดต่อไปว่า การเน้นเวทีพหุภาคีของ Obama จะมีนัยอย่างไรต่อเอเชีย ผมมองว่า มีความเป็นไปได้ว่า Obama จะให้ความสำคัญกับเวทีอาเซียนมากขึ้น โดยสมัยรัฐบาล Bush สหรัฐไม่ค่อยให้ความสำคัญกับอาเซียน เพราะฉะนั้น ในสมัยของ Obama ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับอาเซียนน่าจะดีขึ้น โดยเฉพาะอาจมีการประชุมสุดยอดระหว่างสหรัฐกับอาเซียนครั้งแรกขึ้น อาจมีการเจรจา FTA ระหว่างสหรัฐกับอาเซียนทั้งกลุ่ม ดังนั้น จึงเป็นโอกาสสำคัญที่อาเซียนและไทยในฐานะประธานอาเซียน ที่จะต้องรีบดำเนินนโยบายในเชิงรุกเพื่อกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐ
สำหรับนโยบายต่อมหาอำนาจอื่นๆนั้น Obama มีแนวโน้มที่จะลดความตึงเครียดกับมหาอำนาจใหญ่ๆโดยเฉพาะกับรัสเซียและจีน ในสมัย Bush ความสัมพันธ์สหรัฐ-รัสเซีย เข้าขั้นวิกฤติ บางคนถึงกับกล่าวว่ากำลังจะเกิดสงครามเย็นภาคสอง ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีน ก็มีปัญหา Obama ซึ่งเป็นสายพิราบน่าจะมองรัสเซียกับจีนดีขึ้น และน่าจะผูกมิตรกับรัสเซียและจีนมากขึ้น แทนที่จะมองทั้งสองประเทศเป็นศัตรูเหมือนทางฟากพรรค Republican ซึ่งเป็นสายเหยี่ยว
นอกจากนี้ Obama ยังได้ประกาศนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาความยากจน โดยประกาศว่าจะมีการตั้งวงเงินถึง 5 หมื่นล้านเหรียญภายในปี 2012 เพื่อช่วยเหลือประเทศยากจน
อย่างไรก็ตาม นโยบายการค้าของ Obama ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีแนวโน้มปกป้องทางการค้า โดยในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง Obama ได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์ FTA ว่าส่งผลกระทบต่อคนงานอเมริกัน
ข้อจำกัด
ถึงแม้ว่า การประกาศนโยบายต่างประเทศของ Obama ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ตามที่ผมได้กล่าวข้างต้นนั้น อาจจะสร้างความหวังให้กับชาวโลกว่า โลกกำลังจะเข้าสู่ยุคใหม่ อย่างไรก็ตาม ในโลกแห่งความเป็นจริง ผมมองว่า มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่ายเลย ที่ Obama จะประสบความสำเร็จ พูดง่ายๆก็คือ ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งนั้น Obama ขายฝันให้กับทั้งคนอเมริกันและชาวโลก และ Obama ก็ขายฝันสำเร็จได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี แต่สิ่งที่ยากกว่าการได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ก็คือ การทำหน้าที่เป็นประธานาธิบดี สิ่งที่ยากกว่าการขายฝัน ก็คือ การสานฝันให้เป็นจริง
อุปสรรคสำคัญที่จะทำให้ Obama ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายนโยบายต่างประเทศ คือ วิกฤติเศรษฐกิจภายในประเทศสหรัฐที่คงจะทำให้ Obama จะต้องทุ่มเทเวลา ให้กับการกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจภายใน มากกว่าที่จะมาเน้นการดำเนินนโยบายต่างประเทศในเชิงรุก
อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ของ Obama ในการสานฝันนโยบายต่างประเทศ คือ การขาดแรงสนับสนุนจากประชาชนคนอเมริกัน ซึ่งขณะนี้ มองตรงกันว่า Obama ต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในก่อน ไม่ใช่นโยบายต่างประเทศ
นอกจากนี้ นโยบายในหลายๆเรื่อง หากทำจริงก็คงจะไม่ง่ายเลย ตัวอย่างเช่น การประกาศว่าจะถอนทหารออกจากอิรักภายใน 16 เดือน ในความเป็นจริง หากสถานการณ์อิรักยังไม่นิ่ง Obama ก็คงจะไม่สามารถบรรลุตารางเวลาดังกล่าวได้
เช่นเดียวกับในกรณีอัฟกานิสถาน ซึ่ง Obama ประกาศจะเพิ่มกองกำลัง แต่ทางฝ่ายพันธมิตร NATO หลายๆประเทศ กลับมีนโยบายสวนทาง อาทิ ฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน โปแลนด์และตุรกีได้ประกาศว่า อยากจะถอนทหารกลับประเทศตน
นอกจากนี้ ตามที่ Obama ได้ประกาศว่าจะกอบกู้ภาพลักษณ์ของสหรัฐ แต่ก็มีอุปสรรคในเรื่องการสนับสนุนจากสาธารณชน โดยเฉพาะในกรณีการปิดเรือนจำที่อ่าว Guantanamo
อีกตัวอย่างหนึ่ง ก็คือเรื่องที่ Obama ประกาศจะเปลี่ยนนโยบายในเรื่องภาวะโลกร้อน แต่คนอเมริกันส่วนใหญ่กลับมองว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เรื่องสุดท้ายที่ผมอยากจะพูดคือ เรื่องนโยบายการค้า ซึ่งมีแนวโน้มว่าประชาชนอเมริกันจะสนับสนุนการค้าเสรีน้อยลง ทั้งนี้ เพราะปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ Obama เองก็มีแนวคิดที่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการเจรจา FTA ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่า สหรัฐคงจะมีนโยบายการค้าที่แข็งกร้าวมากขึ้นกับประเทศคู้ค้าต่างๆ
กล่าวโดยสรุป ถึงแม้ Obama จะขายฝันได้สำเร็จในเรื่องของความหวังและการเปลี่ยนแปลง ในเรื่องนโยบายต่างประเทศ แต่อุปสรรคที่จะสานฝันให้เป็นจริง ก็คงจะทำให้ Obama คงจะอยู่ในสถานะ “เข็นครกขึ้นภูเขา” ทีเดียว
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 56 ฉบับที่ 8 วันศุกร์ที่ 14 - พฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน 2551
คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ ผมจะวิเคราะห์ถึงนโยบายต่างประเทศของ Obama และผลกระทบต่อโลก รวมทั้งข้อจำกัดที่ Obama จะประสบในการดำเนินนโยบายดังกล่าว
นโยบายต่างประเทศของ Obama
หลังจากที่ Obama ชนะการเลือกตั้ง กำลังจะเป็นประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐ ประชาคมโลกก็กำลังสนใจอย่างยิ่งว่า Obama จะมีนโยบายต่างประเทศอย่างไร และจะส่งผลกระทบต่อโลกอย่างไร
โดยภาพรวมแล้ว Obama มีแนวอุดมการณ์เสรีนิยม มีแนวนโยบายสายพิราบ ตลอดเวลาที่ผ่านมา Obama ได้เน้นว่า นโยบายต่างประเทศจะต้องมีการยกเครื่องใหม่ ต้องมีการปฏิรูป และเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือจากนโยบายของ Bush
Obama มองโลกในแง่ดี และพยายามย้ำการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ และการกอบกู้ชื่อเสียงของสหรัฐที่ได้เสียหายไปมากจาก 8 ปีของรัฐบาล Bush ดังนั้น หาก Obama สามารถบรรลุการปฏิรูปนโยบายต่างประเทศได้จริง ก็น่าจะเป็นผลดีต่อโลก โดยน่าจะทำให้โลกมีเสถียรภาพและสันติภาพมากขึ้น
สำหรับนโยบายต่อตะวันออกกลางนั้น นโยบายต่ออิรักก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนอเมริกัน Obama หาเสียงมาโดยตลอดว่า หากเขาได้เป็นประธานาธิบดี เขาจะยุติสงครามอิรัก และเน้นการแก้ปัญหาโดยวิถีทางอื่นที่ไม่ใช่การใช้กำลังทางทหาร โดยจะค่อยๆถอนทหารออกมา
สำหรับในกรณีของอัฟกานิสถานนั้น Obama ได้เน้นมาตลอดว่า นี่คือจุดที่รัฐบาล Bush ละเลย และอัฟกานิสถานน่าจะเป็นสมรภูมิหลักของสงครามต่อต้านการก่อการร้าย เพื่อไล่ล่านักรบTaliban al-Qaeda และ Bin laden โดย Obama มีแผนที่จะเพิ่มกองกำลังเข้าไปในอัฟกานิสถาน โดยการสนับสนุนจาก NATO
สำหรับในกรณีวิกฤตินิวเคลียร์อิหร่านนั้น Obama ได้โจมตีนโยบายของ Bush มาตลอด โดยมองว่าจะต้องปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ หันมาเน้นการเจรจาทางการทูตอย่างจริงจัง รวมทั้งการเจรจาโดยตรงกับผู้นำอิหร่านด้วย
Obama มองว่า สงครามต่อต้านการก่อการร้ายของรัฐบาล Bush ประสบความล้มเหลว ดังนั้น จึงจะต้องมีการปรับยุทธศาสตร์ใหม่ ซึ่งจะต้องเป็นยุทธศาสตร์ที่มีลักษณะสมบูรณ์เบ็ดเสร็จ ที่ไม่เน้นแต่การใช้กำลังทางทหาร แต่ต้องมุ่งแก้ที่รากเหง้าของปัญหา รวมทั้งการสนับสนุนกลุ่มปฏิรูป กลุ่มสายกลางในโลกมุสลิม การให้การศึกษา และการส่งเสริมการค้าและการลงทุน
เป้าหมายใหญ่ของนโยบายต่างประเทศของ Obama อีกเรื่องหนึ่ง คือการกลับไปฟื้นฟูพันธมิตร หุ้นส่วน และสถาบันระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการปฏิรูปองค์การสหประชาชาติ
สำหรับในเอเชีย Obama มองว่า รัฐบาล Bush ให้ความสำคัญกับพันธมิตรทวิภาคีมากเกินไป Obama จึงมีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับเวทีพหุภาคีในเอเชียมากขึ้น ในช่วงการรณรงค์หาเสียง Obama ไม่ได้พูดถึงเอเชียมากนัก ผมจึงอยากจะคิดต่อไปว่า การเน้นเวทีพหุภาคีของ Obama จะมีนัยอย่างไรต่อเอเชีย ผมมองว่า มีความเป็นไปได้ว่า Obama จะให้ความสำคัญกับเวทีอาเซียนมากขึ้น โดยสมัยรัฐบาล Bush สหรัฐไม่ค่อยให้ความสำคัญกับอาเซียน เพราะฉะนั้น ในสมัยของ Obama ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับอาเซียนน่าจะดีขึ้น โดยเฉพาะอาจมีการประชุมสุดยอดระหว่างสหรัฐกับอาเซียนครั้งแรกขึ้น อาจมีการเจรจา FTA ระหว่างสหรัฐกับอาเซียนทั้งกลุ่ม ดังนั้น จึงเป็นโอกาสสำคัญที่อาเซียนและไทยในฐานะประธานอาเซียน ที่จะต้องรีบดำเนินนโยบายในเชิงรุกเพื่อกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐ
สำหรับนโยบายต่อมหาอำนาจอื่นๆนั้น Obama มีแนวโน้มที่จะลดความตึงเครียดกับมหาอำนาจใหญ่ๆโดยเฉพาะกับรัสเซียและจีน ในสมัย Bush ความสัมพันธ์สหรัฐ-รัสเซีย เข้าขั้นวิกฤติ บางคนถึงกับกล่าวว่ากำลังจะเกิดสงครามเย็นภาคสอง ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีน ก็มีปัญหา Obama ซึ่งเป็นสายพิราบน่าจะมองรัสเซียกับจีนดีขึ้น และน่าจะผูกมิตรกับรัสเซียและจีนมากขึ้น แทนที่จะมองทั้งสองประเทศเป็นศัตรูเหมือนทางฟากพรรค Republican ซึ่งเป็นสายเหยี่ยว
นอกจากนี้ Obama ยังได้ประกาศนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาความยากจน โดยประกาศว่าจะมีการตั้งวงเงินถึง 5 หมื่นล้านเหรียญภายในปี 2012 เพื่อช่วยเหลือประเทศยากจน
อย่างไรก็ตาม นโยบายการค้าของ Obama ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีแนวโน้มปกป้องทางการค้า โดยในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง Obama ได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์ FTA ว่าส่งผลกระทบต่อคนงานอเมริกัน
ข้อจำกัด
ถึงแม้ว่า การประกาศนโยบายต่างประเทศของ Obama ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ตามที่ผมได้กล่าวข้างต้นนั้น อาจจะสร้างความหวังให้กับชาวโลกว่า โลกกำลังจะเข้าสู่ยุคใหม่ อย่างไรก็ตาม ในโลกแห่งความเป็นจริง ผมมองว่า มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่ายเลย ที่ Obama จะประสบความสำเร็จ พูดง่ายๆก็คือ ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งนั้น Obama ขายฝันให้กับทั้งคนอเมริกันและชาวโลก และ Obama ก็ขายฝันสำเร็จได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี แต่สิ่งที่ยากกว่าการได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ก็คือ การทำหน้าที่เป็นประธานาธิบดี สิ่งที่ยากกว่าการขายฝัน ก็คือ การสานฝันให้เป็นจริง
อุปสรรคสำคัญที่จะทำให้ Obama ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายนโยบายต่างประเทศ คือ วิกฤติเศรษฐกิจภายในประเทศสหรัฐที่คงจะทำให้ Obama จะต้องทุ่มเทเวลา ให้กับการกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจภายใน มากกว่าที่จะมาเน้นการดำเนินนโยบายต่างประเทศในเชิงรุก
อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ของ Obama ในการสานฝันนโยบายต่างประเทศ คือ การขาดแรงสนับสนุนจากประชาชนคนอเมริกัน ซึ่งขณะนี้ มองตรงกันว่า Obama ต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในก่อน ไม่ใช่นโยบายต่างประเทศ
นอกจากนี้ นโยบายในหลายๆเรื่อง หากทำจริงก็คงจะไม่ง่ายเลย ตัวอย่างเช่น การประกาศว่าจะถอนทหารออกจากอิรักภายใน 16 เดือน ในความเป็นจริง หากสถานการณ์อิรักยังไม่นิ่ง Obama ก็คงจะไม่สามารถบรรลุตารางเวลาดังกล่าวได้
เช่นเดียวกับในกรณีอัฟกานิสถาน ซึ่ง Obama ประกาศจะเพิ่มกองกำลัง แต่ทางฝ่ายพันธมิตร NATO หลายๆประเทศ กลับมีนโยบายสวนทาง อาทิ ฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน โปแลนด์และตุรกีได้ประกาศว่า อยากจะถอนทหารกลับประเทศตน
นอกจากนี้ ตามที่ Obama ได้ประกาศว่าจะกอบกู้ภาพลักษณ์ของสหรัฐ แต่ก็มีอุปสรรคในเรื่องการสนับสนุนจากสาธารณชน โดยเฉพาะในกรณีการปิดเรือนจำที่อ่าว Guantanamo
อีกตัวอย่างหนึ่ง ก็คือเรื่องที่ Obama ประกาศจะเปลี่ยนนโยบายในเรื่องภาวะโลกร้อน แต่คนอเมริกันส่วนใหญ่กลับมองว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เรื่องสุดท้ายที่ผมอยากจะพูดคือ เรื่องนโยบายการค้า ซึ่งมีแนวโน้มว่าประชาชนอเมริกันจะสนับสนุนการค้าเสรีน้อยลง ทั้งนี้ เพราะปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ Obama เองก็มีแนวคิดที่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการเจรจา FTA ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่า สหรัฐคงจะมีนโยบายการค้าที่แข็งกร้าวมากขึ้นกับประเทศคู้ค้าต่างๆ
กล่าวโดยสรุป ถึงแม้ Obama จะขายฝันได้สำเร็จในเรื่องของความหวังและการเปลี่ยนแปลง ในเรื่องนโยบายต่างประเทศ แต่อุปสรรคที่จะสานฝันให้เป็นจริง ก็คงจะทำให้ Obama คงจะอยู่ในสถานะ “เข็นครกขึ้นภูเขา” ทีเดียว
วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ชัยชนะของ Obama
ชัยชนะของ Obama
ไทยโพสต์ วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน 2551 ปีที่ 13 ฉบับที่ 4391
ในที่สุด การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ก็ได้ปรากฏผลออกมาแล้ว โดยนาย Barack Obama ผู้สมัครจากพรรค Democrat ได้มีชัยเหนือ John McCain ผู้สมัครจากพรรค Republican โดยชัยชนะก็เป็นไปตามความคาดหมาย แต่ที่เกินความคาดหมายคือ การที่ Obama ชนะอย่างขาดลอย หรือที่เราเรียกว่า ชนะแบบถล่มถลาย
ขณะที่ผมเขียนบทความนี้ ยังไม่ได้ยอดคะแนนทั้งหมด โดย Obama ได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งถึง 349 เสียง ในขณะที่ McCainได้เพียง 147 เสียง โดย Obama ได้กวาดคะแนนจากรัฐต่างๆทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งรัฐต่างๆทางแถบ Midwest และรัฐริมฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกทั้งหมด
สำหรับสาเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้ Obama ชนะ McCain อย่างขาดลอยนั้น มีอยู่ด้วยกัน 8ปัจจัยด้วยกัน ดังนี้
1. บุคลิกภาพ
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Obama ได้รับความนิยมอย่างมากก็คือ บุคลิกภาพของ Obama ซึ่งเป็นคนหนุ่ม แม้จะเป็นคนผิวสี แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงของอเมริกาไปสู่ยุคใหม่ ซึ่งสอดรับกับความต้องการของคนอเมริกันในขณะนี้ ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง ทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และนโยบายต่างประเทศ
ในขณะที่ McCain มีบุคลิกภาพที่เป็นไปในแง่ลบ ไม่ว่าจะเป็นอายุของ McCain และเป็นคนหัวเก่า สายเหยี่ยว อนุรักษ์นิยม แม้ว่า McCain จะพยายามเอาประสบการณ์มาเป็นจุดขาย แต่คนอเมริกันก็คงจะคิดว่า พอแล้วสำหรับประสบการณ์ 8 ปีของรัฐบาลพรรค Republican รัฐบาล Bush
2. นโยบาย
ปัจจัยแห่งชัยชนะอีกประการหนึ่งคือ การนำเสนอนโยบายของ Obama ที่โดนใจคนอเมริกัน เพราะ Obama เน้นนโยบายที่เน้นการเปลี่ยนแปลง นโยบายที่จะนำอเมริกาให้ผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจ นโยบายสังคมที่เน้นให้ความช่วยเหลือแก่คนชั้นกลางและคนยากจน และนโยบายต่างประเทศ ที่มุ่งเน้นการกอบกู้ศักดิ์ศรีของสหรัฐกลับคืนมาในสายตาประชาคมโลก
3. กลุ่มผู้สนับสนุน
Obama ได้รับคะแนนนิยมจากกลุ่มต่างๆในสังคมอเมริกา โดยเฉพาะจากกลุ่มเสรีนิยมที่เป็นฐานเสียงพรรค Democrat อยู่แล้ว แต่กลุ่มที่ทำให้ Obama ชนะอย่างขาดลอย คือกลุ่มอิสระที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ที่เราเรียกว่ากลุ่ม Independents กลุ่มนี้จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามกระแส บางครั้งก็เลือก Republican บางครั้งก็เลือก Democrat แต่ในครั้งนี้ กลุ่มนี้เทเสียงให้กับ Obama อย่างเต็มที่ จนทำให้ Obama ชนะในรัฐที่เคยเป็นฐานเสียงของพรรค Republican ที่สำคัญคือ ชัยชนะที่รัฐ Ohio และรัฐ Florida ที่ถือเป็นรัฐชี้ขาดการเลือกตั้ง
4. ประเด็นปัญหา
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ Obama ชนะ McCain อย่างขาดลอย คือ เรื่องปัญหาที่คนอเมริกันคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในขณะนี้ คือ เรื่อง วิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งก็เข้าทาง Obama เพราะเมื่อคนอเมริกันคิดว่าเรื่องใหญ่ที่สุดขณะนี้ คือ เรื่องการกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจ ดังนั้น คำถามที่สำคัญที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็คือ ระหว่าง Obama กับ McCain ใครจะมีความสามารถดีกว่ากันในการกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจ ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า วิกฤติการเงินครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น เป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลพรรค Republican รัฐบาล Bush ซึ่งเป็นพรรคเดียวกับ McCain พูดง่ายๆก็คือ คนอเมริกันโทษ Bush ว่าเป็นคนทำให้เกิดวิกฤติครั้งนี้ และไม่เชื่อมือ McCain ในขณะที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่า Obama น่าจะมีทีมเศรษฐกิจและนโยบายเศรษฐกิจที่ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม หากไม่มีวิกฤติเศรษฐกิจเกิดขึ้น และหากคนอเมริกันคิดว่าเรื่องสำคัญคือเรื่อง ความมั่นคง เรื่องการก่อการร้าย McCain ก็คงจะไม่แพ้ Obama อย่างถล่มถลายเช่นนี้ หรือดีไม่ดีอาจจะพลิกล็อกกลับมาชนะเสียด้วยซ้ำ
5. ความล้มเหลวของรัฐบาล Bush
ปัจจัยอีกประการที่ช่วยให้ Obama ชนะ McCain คือ ความล้มเหลวของรัฐบาล Bush ในการบริหารประเทศ ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ในสายตาคนอเมริกัน ได้พิพากษาแล้วว่า รัฐบาล Bush ประสบความล้มเหลวอย่างมาก ในเกือบจะทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายเศรษฐกิจที่ได้นำประเทศดิ่งลงสู่ก้นเหวแห่งวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในทศวรรษ 1930 นโยบายสังคมก็ล้มเหลว โดยเฉพาะสวัสดิการสำหรับคนจนและคนชั้นกลาง รวมทั้งนโยบายต่างประเทศ ก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวในสงครามต่อต้านการก่อการร้าย
ผลงานชิ้นโบว์ดำของรัฐบาล Bush คือการทำสงครามบุกยึดอิรัก ซึ่งคนอเมริกันส่วนใหญ่มองว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ของ Bush ไม่ใช่แต่คนอเมริกันเท่านั้น แต่ชาวโลก ก็มองเช่นนั้น และมองว่าสงครามอิรักเป็นสงครามที่ไม่มีความชอบธรรม อเมริกาถูกมองว่าเป็นอันธพาล รังแกคนที่อ่อนแอกว่าที่ไม่มีทางสู้ จึงทำให้ชื่อเสียงของอเมริกาในการเป็นผู้นำโลกตกต่ำลงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ความล้มเหลวต่างๆเหล่านี้ ทำให้คนอเมริกันตัดสินใจว่า 8 ปี ของรัฐบาลพรรค Republican พอแล้ว และคงจะยอมรับไม่ไหวแล้วสำหรับรัฐบาลพรรค Republican ที่จะนำโดย John McCain
สำหรับ McCain ในตอนหลังๆก็คงจะรู้ตัวดีว่า Bush ซึ่งเป็นประธานาธิบดีที่มีคะแนนนิยมตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ คงจะเป็นลบมากกว่าจะเป็นบวก ในช่วงหลังๆ McCain จึงได้พยายามประกาศนโยบายที่จะไม่สานต่อนโยบายของ Bush แต่ดูเหมือนกับว่ามันสายไปแล้ว และคนอเมริกันก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ให้โอกาสรัฐบาลที่มาจากพรรค Republican อีกแล้ว คนอเมริกันตัดสินใจแล้วว่าจะให้โอกาสพรรค Democrat นำโดย Obama มาบริหารประเทศแทน
6. กระแสหลัก
ปัจจัยประการที่ 6 ที่ช่วยให้ Obama ชนะ McCain คือ กระแสหลักของสังคมอเมริกันที่กำลังเปลี่ยนจากขวาไปซ้าย จากกระแสอนุรักษ์นิยมไปสู่กระแสเสรีนิยม ในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกา จะมีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของกระแสดังกล่าว เหมือนลูกตุ้มนาฬิกา คือ ในช่วงหนึ่งจะนิยมอุดมการณ์เสรีนิยม และสนับสนุนพรรค Democrat แต่เมื่อพรรค Democrat บริหารประเทศไปได้ซักพักหนึ่ง คนอเมริกันจะเริ่มเบื่อ และหันไปหาอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม และเลือกพรรค Republican แต่เมื่อรัฐบาล Republican บริหารไปได้ซักพักหนึ่ง คนอเมริกันก็จะเริ่มเบื่ออีก และหันไปเลือกพรรค Democrat อีก ก็จะเป็นแบบนี้ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เหมือนการแกว่งไปแกว่งมาของลูกตุ้มนาฬิกานั่นเอง
ขณะนี้ลูกตุ้มนาฬิกาของสังคมอเมริกา กำลังเหวี่ยงกลับมาที่อุดมการณ์เสรีนิยมและพรรค Democrat
7. Palin factor
ปัจจัยประการที่ 7 ที่ช่วยให้ Obama ชนะ McCain คือ การัดสินใจที่ผิดพลาดของ McCain ในการเลือก Sarah Palin มาลงชิงชัยในตำแหน่งรองประธานาธิบดีคู่กับ McCain ในตอนแรก McCain คงหวังว่า Palin คงจะมาช่วยอุดจุดอ่อนของตน โดย Palin จะทำให้ภาพของ McCain ดูดีขึ้นเพราะ Palin เป็นสตรีและมีบุคลิกภาพดึงดูดคน ในตอนแรก จึงมีกระแส Palin fever ขึ้นอยู่พักหนึ่ง แต่หลังจากนั้น คนอเมริกันได้เริ่มตรวจสอบคุณสมบัติของ Palin อย่างละเอียด และได้พบจุดอ่อนมากขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะความอ่อนหัดทางด้านนโยบายต่างๆ โดยเฉพาะนโยบายต่างประเทศ
ในที่สุดก็กลับตาลปัตร เพราะแทนที่ Palin จะเป็นตัวช่วย McCain กลับมาเป็นตัวฉุด เพราะเมื่อคนอเมริกันได้เริ่มตั้งคำถามว่า หาก McCain เป็นประธานาธิบดีแล้วเป็นอะไรไป ตามระบบของอเมริกา รองประธานาธิบดีจะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน คำถามใหญ่ก็คือ แล้ว Palin จะมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐได้หรือ คำตอบก็คือ Palin ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเป็นประธานาธิบดีได้
8. สีผิว
ปัจจัยสุดท้ายที่ช่วย Obama ชนะ McCain คือการที่ปัจจัยเรื่องสีผิว ไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก่อนหน้าที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 4 พฤศจิกายน หลายคนยังมีคำถามอยู่ในใจว่า คนอเมริกันพร้อมแล้วหรือ ที่จะมีประธานาธิบดีผิวสี ความรู้สึกเหยียดผิวในอเมริกา ในที่สุดจะทำให้คนผิวขาวไม่เลือกประธานาธิบดีผิวดำหรือไม่ แต่ในที่สุด การเลือกตั้งในวันที่ 4 พฤศจิกายน ก็ได้ตอบคำถามเหล่านี้อย่างชัดเจนแล้วว่า สังคมอเมริกันได้เปลี่ยนไปมากในลักษณะที่เหลือเชื่อ และกลายเป็นว่า เรื่องสีผิวไม่ได้กลายเป็นปัจจัยในการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างที่หลายคนกลัวกัน
ไทยโพสต์ วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน 2551 ปีที่ 13 ฉบับที่ 4391
ในที่สุด การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ก็ได้ปรากฏผลออกมาแล้ว โดยนาย Barack Obama ผู้สมัครจากพรรค Democrat ได้มีชัยเหนือ John McCain ผู้สมัครจากพรรค Republican โดยชัยชนะก็เป็นไปตามความคาดหมาย แต่ที่เกินความคาดหมายคือ การที่ Obama ชนะอย่างขาดลอย หรือที่เราเรียกว่า ชนะแบบถล่มถลาย
ขณะที่ผมเขียนบทความนี้ ยังไม่ได้ยอดคะแนนทั้งหมด โดย Obama ได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งถึง 349 เสียง ในขณะที่ McCainได้เพียง 147 เสียง โดย Obama ได้กวาดคะแนนจากรัฐต่างๆทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งรัฐต่างๆทางแถบ Midwest และรัฐริมฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกทั้งหมด
สำหรับสาเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้ Obama ชนะ McCain อย่างขาดลอยนั้น มีอยู่ด้วยกัน 8ปัจจัยด้วยกัน ดังนี้
1. บุคลิกภาพ
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Obama ได้รับความนิยมอย่างมากก็คือ บุคลิกภาพของ Obama ซึ่งเป็นคนหนุ่ม แม้จะเป็นคนผิวสี แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงของอเมริกาไปสู่ยุคใหม่ ซึ่งสอดรับกับความต้องการของคนอเมริกันในขณะนี้ ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง ทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และนโยบายต่างประเทศ
ในขณะที่ McCain มีบุคลิกภาพที่เป็นไปในแง่ลบ ไม่ว่าจะเป็นอายุของ McCain และเป็นคนหัวเก่า สายเหยี่ยว อนุรักษ์นิยม แม้ว่า McCain จะพยายามเอาประสบการณ์มาเป็นจุดขาย แต่คนอเมริกันก็คงจะคิดว่า พอแล้วสำหรับประสบการณ์ 8 ปีของรัฐบาลพรรค Republican รัฐบาล Bush
2. นโยบาย
ปัจจัยแห่งชัยชนะอีกประการหนึ่งคือ การนำเสนอนโยบายของ Obama ที่โดนใจคนอเมริกัน เพราะ Obama เน้นนโยบายที่เน้นการเปลี่ยนแปลง นโยบายที่จะนำอเมริกาให้ผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจ นโยบายสังคมที่เน้นให้ความช่วยเหลือแก่คนชั้นกลางและคนยากจน และนโยบายต่างประเทศ ที่มุ่งเน้นการกอบกู้ศักดิ์ศรีของสหรัฐกลับคืนมาในสายตาประชาคมโลก
3. กลุ่มผู้สนับสนุน
Obama ได้รับคะแนนนิยมจากกลุ่มต่างๆในสังคมอเมริกา โดยเฉพาะจากกลุ่มเสรีนิยมที่เป็นฐานเสียงพรรค Democrat อยู่แล้ว แต่กลุ่มที่ทำให้ Obama ชนะอย่างขาดลอย คือกลุ่มอิสระที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ที่เราเรียกว่ากลุ่ม Independents กลุ่มนี้จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามกระแส บางครั้งก็เลือก Republican บางครั้งก็เลือก Democrat แต่ในครั้งนี้ กลุ่มนี้เทเสียงให้กับ Obama อย่างเต็มที่ จนทำให้ Obama ชนะในรัฐที่เคยเป็นฐานเสียงของพรรค Republican ที่สำคัญคือ ชัยชนะที่รัฐ Ohio และรัฐ Florida ที่ถือเป็นรัฐชี้ขาดการเลือกตั้ง
4. ประเด็นปัญหา
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ Obama ชนะ McCain อย่างขาดลอย คือ เรื่องปัญหาที่คนอเมริกันคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในขณะนี้ คือ เรื่อง วิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งก็เข้าทาง Obama เพราะเมื่อคนอเมริกันคิดว่าเรื่องใหญ่ที่สุดขณะนี้ คือ เรื่องการกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจ ดังนั้น คำถามที่สำคัญที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็คือ ระหว่าง Obama กับ McCain ใครจะมีความสามารถดีกว่ากันในการกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจ ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า วิกฤติการเงินครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น เป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลพรรค Republican รัฐบาล Bush ซึ่งเป็นพรรคเดียวกับ McCain พูดง่ายๆก็คือ คนอเมริกันโทษ Bush ว่าเป็นคนทำให้เกิดวิกฤติครั้งนี้ และไม่เชื่อมือ McCain ในขณะที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่า Obama น่าจะมีทีมเศรษฐกิจและนโยบายเศรษฐกิจที่ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม หากไม่มีวิกฤติเศรษฐกิจเกิดขึ้น และหากคนอเมริกันคิดว่าเรื่องสำคัญคือเรื่อง ความมั่นคง เรื่องการก่อการร้าย McCain ก็คงจะไม่แพ้ Obama อย่างถล่มถลายเช่นนี้ หรือดีไม่ดีอาจจะพลิกล็อกกลับมาชนะเสียด้วยซ้ำ
5. ความล้มเหลวของรัฐบาล Bush
ปัจจัยอีกประการที่ช่วยให้ Obama ชนะ McCain คือ ความล้มเหลวของรัฐบาล Bush ในการบริหารประเทศ ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ในสายตาคนอเมริกัน ได้พิพากษาแล้วว่า รัฐบาล Bush ประสบความล้มเหลวอย่างมาก ในเกือบจะทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายเศรษฐกิจที่ได้นำประเทศดิ่งลงสู่ก้นเหวแห่งวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในทศวรรษ 1930 นโยบายสังคมก็ล้มเหลว โดยเฉพาะสวัสดิการสำหรับคนจนและคนชั้นกลาง รวมทั้งนโยบายต่างประเทศ ก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวในสงครามต่อต้านการก่อการร้าย
ผลงานชิ้นโบว์ดำของรัฐบาล Bush คือการทำสงครามบุกยึดอิรัก ซึ่งคนอเมริกันส่วนใหญ่มองว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ของ Bush ไม่ใช่แต่คนอเมริกันเท่านั้น แต่ชาวโลก ก็มองเช่นนั้น และมองว่าสงครามอิรักเป็นสงครามที่ไม่มีความชอบธรรม อเมริกาถูกมองว่าเป็นอันธพาล รังแกคนที่อ่อนแอกว่าที่ไม่มีทางสู้ จึงทำให้ชื่อเสียงของอเมริกาในการเป็นผู้นำโลกตกต่ำลงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ความล้มเหลวต่างๆเหล่านี้ ทำให้คนอเมริกันตัดสินใจว่า 8 ปี ของรัฐบาลพรรค Republican พอแล้ว และคงจะยอมรับไม่ไหวแล้วสำหรับรัฐบาลพรรค Republican ที่จะนำโดย John McCain
สำหรับ McCain ในตอนหลังๆก็คงจะรู้ตัวดีว่า Bush ซึ่งเป็นประธานาธิบดีที่มีคะแนนนิยมตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ คงจะเป็นลบมากกว่าจะเป็นบวก ในช่วงหลังๆ McCain จึงได้พยายามประกาศนโยบายที่จะไม่สานต่อนโยบายของ Bush แต่ดูเหมือนกับว่ามันสายไปแล้ว และคนอเมริกันก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ให้โอกาสรัฐบาลที่มาจากพรรค Republican อีกแล้ว คนอเมริกันตัดสินใจแล้วว่าจะให้โอกาสพรรค Democrat นำโดย Obama มาบริหารประเทศแทน
6. กระแสหลัก
ปัจจัยประการที่ 6 ที่ช่วยให้ Obama ชนะ McCain คือ กระแสหลักของสังคมอเมริกันที่กำลังเปลี่ยนจากขวาไปซ้าย จากกระแสอนุรักษ์นิยมไปสู่กระแสเสรีนิยม ในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกา จะมีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของกระแสดังกล่าว เหมือนลูกตุ้มนาฬิกา คือ ในช่วงหนึ่งจะนิยมอุดมการณ์เสรีนิยม และสนับสนุนพรรค Democrat แต่เมื่อพรรค Democrat บริหารประเทศไปได้ซักพักหนึ่ง คนอเมริกันจะเริ่มเบื่อ และหันไปหาอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม และเลือกพรรค Republican แต่เมื่อรัฐบาล Republican บริหารไปได้ซักพักหนึ่ง คนอเมริกันก็จะเริ่มเบื่ออีก และหันไปเลือกพรรค Democrat อีก ก็จะเป็นแบบนี้ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เหมือนการแกว่งไปแกว่งมาของลูกตุ้มนาฬิกานั่นเอง
ขณะนี้ลูกตุ้มนาฬิกาของสังคมอเมริกา กำลังเหวี่ยงกลับมาที่อุดมการณ์เสรีนิยมและพรรค Democrat
7. Palin factor
ปัจจัยประการที่ 7 ที่ช่วยให้ Obama ชนะ McCain คือ การัดสินใจที่ผิดพลาดของ McCain ในการเลือก Sarah Palin มาลงชิงชัยในตำแหน่งรองประธานาธิบดีคู่กับ McCain ในตอนแรก McCain คงหวังว่า Palin คงจะมาช่วยอุดจุดอ่อนของตน โดย Palin จะทำให้ภาพของ McCain ดูดีขึ้นเพราะ Palin เป็นสตรีและมีบุคลิกภาพดึงดูดคน ในตอนแรก จึงมีกระแส Palin fever ขึ้นอยู่พักหนึ่ง แต่หลังจากนั้น คนอเมริกันได้เริ่มตรวจสอบคุณสมบัติของ Palin อย่างละเอียด และได้พบจุดอ่อนมากขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะความอ่อนหัดทางด้านนโยบายต่างๆ โดยเฉพาะนโยบายต่างประเทศ
ในที่สุดก็กลับตาลปัตร เพราะแทนที่ Palin จะเป็นตัวช่วย McCain กลับมาเป็นตัวฉุด เพราะเมื่อคนอเมริกันได้เริ่มตั้งคำถามว่า หาก McCain เป็นประธานาธิบดีแล้วเป็นอะไรไป ตามระบบของอเมริกา รองประธานาธิบดีจะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน คำถามใหญ่ก็คือ แล้ว Palin จะมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐได้หรือ คำตอบก็คือ Palin ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเป็นประธานาธิบดีได้
8. สีผิว
ปัจจัยสุดท้ายที่ช่วย Obama ชนะ McCain คือการที่ปัจจัยเรื่องสีผิว ไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก่อนหน้าที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 4 พฤศจิกายน หลายคนยังมีคำถามอยู่ในใจว่า คนอเมริกันพร้อมแล้วหรือ ที่จะมีประธานาธิบดีผิวสี ความรู้สึกเหยียดผิวในอเมริกา ในที่สุดจะทำให้คนผิวขาวไม่เลือกประธานาธิบดีผิวดำหรือไม่ แต่ในที่สุด การเลือกตั้งในวันที่ 4 พฤศจิกายน ก็ได้ตอบคำถามเหล่านี้อย่างชัดเจนแล้วว่า สังคมอเมริกันได้เปลี่ยนไปมากในลักษณะที่เหลือเชื่อ และกลายเป็นว่า เรื่องสีผิวไม่ได้กลายเป็นปัจจัยในการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างที่หลายคนกลัวกัน
วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
การประชุมสุดยอดปฏิรูประบบการเงินโลก
การประชุมสุดยอดปฏิรูประบบการเงินโลก
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 56 ฉบับที่ 7 วันศุกร์ที่ 7 - วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน 2551
แผนการจัดประชุมสุดยอด
ภายหลังจากเกิดวิกฤติการเงินลุกลามไปทั่วโลก ผู้นำของโลกตะวันตกเริ่มตื่นตัวที่จะหามาตรการแก้ไขอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำของยุโรป โดยประธานาธิบดีของฝรั่งเศส Nicolas Sarkozy และ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป คือ นาย Jose Manuel Barroso ได้เดินทางไปพบปะกับประธานาธิบดี Bush เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อหว่านล้อมให้ประธานาธิบดี Bush จัดการประชุมสุดยอดเพื่อปฏิรูประบบการเงินโลก
ต่อมาเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม Dana Perino โฆษกทำเนียบขาว ได้ออกมาประกาศว่าการประชุมสุดยอดครั้งแรก กำหนดจะมีขึ้นในวันที่ 15 พฤศจิกายน ที่ Washington D.C. โดยจะเป็นการประชุมสุดยอดกลุ่ม G-20 เป็นครั้งแรก ทำเนียบขาวได้บอกว่า ผู้นำของสมาชิกกลุ่ม G-20 ได้รับเชิญให้มาร่วมประชุมสุดยอด เพื่อหารือเรื่องวิกฤติการเงินในขณะนี้ รวมทั้งสาเหตุและมาตรการการปฏิรูประบบการเงินโลก การประชุมสุดยอดคงจะหารือถึงผลกระทบของวิกฤติต่อประเทศกำลังพัฒนาด้วย
การประชุมสุดยอดครั้งนี้ จะมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Summit on Financial Markets and the World Economy” การประชุมในวันที่ 15 พฤศจิกายนจะเป็นการประชุมสุดยอดครั้งแรก ซึ่งต่อไปจะมีการประชุมอีกหลายครั้ง ในการประชุมครั้งแรกนั้น คงจะเน้นตกลงกันในเรื่องของหลักการหลักๆ ส่วนในเรื่องรายละเอียดนั้น คงจะจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมา เพื่อศึกษาและเสนอต่อการประชุมสุดยอดครั้งต่อไป
ทางทำเนียบขาวมองว่า ในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ คงจะมีแนวคิดหลายแนวคิดเกี่ยวกับข้อเสนอการปฏิรูป และมองว่าในการประชุมครั้งแรก คงจะยังไม่มีรายละเอียดในเรื่องมาตรการ คงจะเป็นการตกลงกันกว้างๆ
ส่วนประเทศที่เข้าประชุมนั้น ตามที่ได้กล่าวแล้ว คือกลุ่ม G-20 ซึ่งเป็นกลุ่มที่สหรัฐตั้งขึ้นมาในช่วงหลังเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 1999 โดยเป็นการขยายวงออกไปจากกลุ่ม G-8 เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มมหาอำนาจใหม่ และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยนอกจากกลุ่ม G-8 แล้ว มี 3 ประเทศจากละตินอเมริกา ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล และเม็กซิโก ส่วนประเทศจากเอเชีย มีจีน อินเดีย เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย ตะวันออกกลางมี ซาอุดีอาระเบีย และตุรกี ส่วนแอฟริกา มีประเทศแอฟริกาใต้
นอกจากนี้ ทางสหรัฐได้เชิญผู้อำนวยการ IMF ประธานธนาคารโลก และเลขาธิการ UN เข้าร่วมประชุมด้วย แต่โดยที่ในวันที่ 15 พฤศจิกายนนั้น จะรู้แล้วว่าใครจะเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ แต่ทางทำเนียบขาว ก็ยังไม่แน่ใจว่า ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ จะได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุมสุดยอดครั้งนี้หรือไม่
ท่าทีของตะวันตก
โดยภาพรวมแล้ว สหรัฐมีท่าทีไม่ค่อยเห็นด้วยกับการปฏิรูประบบการเงินโลก โดย Bush ได้ออกมาพูดหลายครั้งว่า การปฏิรูประบบการเงินโลกจะต้องไม่กระทบต่อระบบทุนนิยมเสรี ระบบกลไกตลาดและการค้าเสรี ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของระบบทุนนิยมแบบอเมริกัน โดยสหรัฐมีท่าทีไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของทางยุโรป ที่ต้องการให้มีการปฏิรูปแบบถอนรากถอนโคน
ผมดูแล้ว ท่าทีของสหรัฐน่าจะออกมาในลักษณะสนับสนุนให้มีการปฏิรูปบ้างเล็กน้อย โดยคงจะเน้นในเรื่องของการเพิ่มความเข้มงวดการทำธุรกรรมทางการเงิน การเพิ่มความโปร่งใสให้กับระบบการเงิน และการเพิ่มบทบาทของ IMF
อย่างไรก็ตาม ท่าทีของสหรัฐคงจะได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากประเทศยุโรปและประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมองว่าต้นตอของวิกฤติคราวนี้ ก็คือ ทุนนิยมแบบอเมริกันนั่นเอง โดยกระแสโลกในขณะนี้ คือ การต้องการจะถอยห่างจากระบบทุนนิยมแบบอเมริกัน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐก็คงจะคัดค้านอย่างเต็มที่ต่อข้อเสนอการปฏิรูป ที่จะเป็นการทำลายทุนนิยมแบบอเมริกัน โดยสหรัฐคงจะยืนยันในหลักการว่า กลไกภาครัฐควรจะเข้าไปแทรกแซงกลไกตลาดให้น้อยที่สุด
อย่างไรก็ดี เราคงจะต้องจับตาดูกันต่อว่า ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐ จะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายอย่างไร โดยผมมองว่า หาก Obama ชนะการเลือกตั้งคราวนี้ นโยบายของ Obama ในการปฏิรูประบบการเงินโลก น่าจะมีท่าทีประนีประนอมกว่าท่าทีของรัฐบาล Bush หรือของ McCain
หันมามองท่าทีของฝั่งยุโรป จะเห็นชัดเจนว่า แตกต่างจากท่าทีของสหรัฐอย่างมาก โดยผู้นำของยุโรปหลายคนได้ออกมาเสนอให้มีการปฏิรูประบบการเงินโลกอย่างถอนรากถอนโคน Gordon Brown นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้กล่าวว่า วิกฤติการเงินครั้งนี้ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบอย่างมาก เช่นเดียวกับ นาย Sarkozy ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ได้เรียกร้องให้มีการปฏิรูป การควบคุมระบบการเงินโลก การควบคุมสอดส่องการทำธุรกรรมทางการเงินและธนาคาร ผู้นำยุโรปหลายคนเสนอให้มีการจัดตั้งกลไกควบคุมระบบการเงินโลกขึ้นมาใหม่ Sarkozy ได้ย้ำว่าต้องมีการปฏิรูประบบทุนนิยมโลกครั้งใหญ่ โดย Sarkozy ถึงกับประกาศว่า ยุโรปต้องการระบบการเงินโลกใหม่ หรือ เรียกว่า Bretton Woods II แต่ข้อเสนอของทางยุโรป ก็คงจะได้รับการต่อต้านจากสหรัฐอย่างแน่นอน
ท่าทีของเอเชีย
จากการวิเคราะห์ข้างต้น อาจจะทำให้มองว่า การปฏิรูประบบการเงินโลกครั้งนี้ คงจะเป็นการถกเถียงกันระหว่างยุโรปกับอเมริกาเท่านั้น แต่จริงๆแล้ว ยังมีประเทศอีกกลุ่มหนึ่งที่มีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือ กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่ใช่ตะวันตก
ซึ่งหากจะแยกแยะกลุ่ม G-20 แล้ว จะมีประเทศตะวันตกเพียง 7 ประเทศ รวม EU ก็อาจจะเป็น 8 แต่ 12 ประเทศที่เหลือ เป็นประเทศที่ไม่ใช่ตะวันตก และส่วนใหญ่เป็นประเทศกำลังพัฒนามหาอำนาจใหม่ ซึ่งกลุ่มประเทศเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นประเทศจากเอเชีย ซึ่งมีมุมมองการปฏิรูประบบการเงินโลกที่ต่างจากตะวันตก
แนวโน้มที่สำคัญอย่างยิ่งของวิวัฒนาการของระบบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน คือ แนวโน้มการผงาดขึ้นมาของเอเชีย ซึ่งมีประชากรเกินกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรโลก และมีขนาดเศรษฐกิจ 1 ใน 3 ของขนาดเศรษฐกิจโลก
ดังนั้น ในขณะที่ตะวันตกซึ่งน่าจะมีท่าทีผลักดันการเพิ่มบทบาทของ IMF และธนาคารโลกในการปฏิรูประบบการเงินโลกนั้น แต่สำหรับเอเชียนั้น มีความรู้สึกขมขื่นกับ IMF และธนาคารโลกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ทั้ง IMF และธนาคารโลกถูกครอบงำโดยตะวันตกอย่างสิ้นเชิง ผู้อำนวยการ IMF จะเป็นชาวยุโรปมาโดยตลอด ในขณะที่ประธานธนาคารโลก จะเป็นคนอเมริกันมาโดยตลอด สหรัฐเป็นประเทศที่ครอบงำสถาบันทั้งสอง และเป็นประเทศเดียวที่มีสิทธิยับยั้งในประเด็นสำคัญๆของทั้งสององค์กร
ประสบการณ์ของเอเชียนั้น มีความขมขื่นกับ IMF มาโดยตลอด โดยไม่ใช่แต่จะถูกกีดกัน ไม่มีสิทธิ์มีเสียงใน IMF เท่านั้น แต่เอเชียจำได้ดีว่า ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 1997 IMF ได้เข้ามามีอำนาจบาตรใหญ่ในการกอบกู้วิกฤติต้มยำกุ้ง และมีมาตรการต่างๆที่บีบคั้นประเทศที่กู้เงินจาก IMF เป็นอย่างมาก ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า IMF นั้น ดำเนินมาตรการต่างๆ ก็เพื่อสอดรับกับผลประโยชน์ของสหรัฐนั่นเอง ในช่วงนั้น ญี่ปุ่น ได้เคยเสนอจัดตั้งกองทุนการเงินแห่งเอเชีย แต่ก็ถูกสหรัฐคัดค้านอย่างเต็มที่ เพราะมองว่าจะมาเป็นคู่แข่งของ IMF
ดังนั้น เราคงจะต้องจับตามองว่า ในการประชุมสุดยอดในวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ ประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะจากเอเชีย จะมีท่าทีอย่างไร โดยเฉพาะต่อข้อเสนอของตะวันตกที่จะให้มีการเพิ่มบทบาทของ IMF ดังกล่าวข้างต้น
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 56 ฉบับที่ 7 วันศุกร์ที่ 7 - วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน 2551
แผนการจัดประชุมสุดยอด
ภายหลังจากเกิดวิกฤติการเงินลุกลามไปทั่วโลก ผู้นำของโลกตะวันตกเริ่มตื่นตัวที่จะหามาตรการแก้ไขอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำของยุโรป โดยประธานาธิบดีของฝรั่งเศส Nicolas Sarkozy และ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป คือ นาย Jose Manuel Barroso ได้เดินทางไปพบปะกับประธานาธิบดี Bush เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อหว่านล้อมให้ประธานาธิบดี Bush จัดการประชุมสุดยอดเพื่อปฏิรูประบบการเงินโลก
ต่อมาเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม Dana Perino โฆษกทำเนียบขาว ได้ออกมาประกาศว่าการประชุมสุดยอดครั้งแรก กำหนดจะมีขึ้นในวันที่ 15 พฤศจิกายน ที่ Washington D.C. โดยจะเป็นการประชุมสุดยอดกลุ่ม G-20 เป็นครั้งแรก ทำเนียบขาวได้บอกว่า ผู้นำของสมาชิกกลุ่ม G-20 ได้รับเชิญให้มาร่วมประชุมสุดยอด เพื่อหารือเรื่องวิกฤติการเงินในขณะนี้ รวมทั้งสาเหตุและมาตรการการปฏิรูประบบการเงินโลก การประชุมสุดยอดคงจะหารือถึงผลกระทบของวิกฤติต่อประเทศกำลังพัฒนาด้วย
การประชุมสุดยอดครั้งนี้ จะมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Summit on Financial Markets and the World Economy” การประชุมในวันที่ 15 พฤศจิกายนจะเป็นการประชุมสุดยอดครั้งแรก ซึ่งต่อไปจะมีการประชุมอีกหลายครั้ง ในการประชุมครั้งแรกนั้น คงจะเน้นตกลงกันในเรื่องของหลักการหลักๆ ส่วนในเรื่องรายละเอียดนั้น คงจะจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมา เพื่อศึกษาและเสนอต่อการประชุมสุดยอดครั้งต่อไป
ทางทำเนียบขาวมองว่า ในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ คงจะมีแนวคิดหลายแนวคิดเกี่ยวกับข้อเสนอการปฏิรูป และมองว่าในการประชุมครั้งแรก คงจะยังไม่มีรายละเอียดในเรื่องมาตรการ คงจะเป็นการตกลงกันกว้างๆ
ส่วนประเทศที่เข้าประชุมนั้น ตามที่ได้กล่าวแล้ว คือกลุ่ม G-20 ซึ่งเป็นกลุ่มที่สหรัฐตั้งขึ้นมาในช่วงหลังเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 1999 โดยเป็นการขยายวงออกไปจากกลุ่ม G-8 เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มมหาอำนาจใหม่ และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยนอกจากกลุ่ม G-8 แล้ว มี 3 ประเทศจากละตินอเมริกา ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล และเม็กซิโก ส่วนประเทศจากเอเชีย มีจีน อินเดีย เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย ตะวันออกกลางมี ซาอุดีอาระเบีย และตุรกี ส่วนแอฟริกา มีประเทศแอฟริกาใต้
นอกจากนี้ ทางสหรัฐได้เชิญผู้อำนวยการ IMF ประธานธนาคารโลก และเลขาธิการ UN เข้าร่วมประชุมด้วย แต่โดยที่ในวันที่ 15 พฤศจิกายนนั้น จะรู้แล้วว่าใครจะเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ แต่ทางทำเนียบขาว ก็ยังไม่แน่ใจว่า ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ จะได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุมสุดยอดครั้งนี้หรือไม่
ท่าทีของตะวันตก
โดยภาพรวมแล้ว สหรัฐมีท่าทีไม่ค่อยเห็นด้วยกับการปฏิรูประบบการเงินโลก โดย Bush ได้ออกมาพูดหลายครั้งว่า การปฏิรูประบบการเงินโลกจะต้องไม่กระทบต่อระบบทุนนิยมเสรี ระบบกลไกตลาดและการค้าเสรี ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของระบบทุนนิยมแบบอเมริกัน โดยสหรัฐมีท่าทีไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของทางยุโรป ที่ต้องการให้มีการปฏิรูปแบบถอนรากถอนโคน
ผมดูแล้ว ท่าทีของสหรัฐน่าจะออกมาในลักษณะสนับสนุนให้มีการปฏิรูปบ้างเล็กน้อย โดยคงจะเน้นในเรื่องของการเพิ่มความเข้มงวดการทำธุรกรรมทางการเงิน การเพิ่มความโปร่งใสให้กับระบบการเงิน และการเพิ่มบทบาทของ IMF
อย่างไรก็ตาม ท่าทีของสหรัฐคงจะได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากประเทศยุโรปและประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมองว่าต้นตอของวิกฤติคราวนี้ ก็คือ ทุนนิยมแบบอเมริกันนั่นเอง โดยกระแสโลกในขณะนี้ คือ การต้องการจะถอยห่างจากระบบทุนนิยมแบบอเมริกัน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐก็คงจะคัดค้านอย่างเต็มที่ต่อข้อเสนอการปฏิรูป ที่จะเป็นการทำลายทุนนิยมแบบอเมริกัน โดยสหรัฐคงจะยืนยันในหลักการว่า กลไกภาครัฐควรจะเข้าไปแทรกแซงกลไกตลาดให้น้อยที่สุด
อย่างไรก็ดี เราคงจะต้องจับตาดูกันต่อว่า ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐ จะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายอย่างไร โดยผมมองว่า หาก Obama ชนะการเลือกตั้งคราวนี้ นโยบายของ Obama ในการปฏิรูประบบการเงินโลก น่าจะมีท่าทีประนีประนอมกว่าท่าทีของรัฐบาล Bush หรือของ McCain
หันมามองท่าทีของฝั่งยุโรป จะเห็นชัดเจนว่า แตกต่างจากท่าทีของสหรัฐอย่างมาก โดยผู้นำของยุโรปหลายคนได้ออกมาเสนอให้มีการปฏิรูประบบการเงินโลกอย่างถอนรากถอนโคน Gordon Brown นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้กล่าวว่า วิกฤติการเงินครั้งนี้ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบอย่างมาก เช่นเดียวกับ นาย Sarkozy ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ได้เรียกร้องให้มีการปฏิรูป การควบคุมระบบการเงินโลก การควบคุมสอดส่องการทำธุรกรรมทางการเงินและธนาคาร ผู้นำยุโรปหลายคนเสนอให้มีการจัดตั้งกลไกควบคุมระบบการเงินโลกขึ้นมาใหม่ Sarkozy ได้ย้ำว่าต้องมีการปฏิรูประบบทุนนิยมโลกครั้งใหญ่ โดย Sarkozy ถึงกับประกาศว่า ยุโรปต้องการระบบการเงินโลกใหม่ หรือ เรียกว่า Bretton Woods II แต่ข้อเสนอของทางยุโรป ก็คงจะได้รับการต่อต้านจากสหรัฐอย่างแน่นอน
ท่าทีของเอเชีย
จากการวิเคราะห์ข้างต้น อาจจะทำให้มองว่า การปฏิรูประบบการเงินโลกครั้งนี้ คงจะเป็นการถกเถียงกันระหว่างยุโรปกับอเมริกาเท่านั้น แต่จริงๆแล้ว ยังมีประเทศอีกกลุ่มหนึ่งที่มีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือ กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่ใช่ตะวันตก
ซึ่งหากจะแยกแยะกลุ่ม G-20 แล้ว จะมีประเทศตะวันตกเพียง 7 ประเทศ รวม EU ก็อาจจะเป็น 8 แต่ 12 ประเทศที่เหลือ เป็นประเทศที่ไม่ใช่ตะวันตก และส่วนใหญ่เป็นประเทศกำลังพัฒนามหาอำนาจใหม่ ซึ่งกลุ่มประเทศเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นประเทศจากเอเชีย ซึ่งมีมุมมองการปฏิรูประบบการเงินโลกที่ต่างจากตะวันตก
แนวโน้มที่สำคัญอย่างยิ่งของวิวัฒนาการของระบบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน คือ แนวโน้มการผงาดขึ้นมาของเอเชีย ซึ่งมีประชากรเกินกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรโลก และมีขนาดเศรษฐกิจ 1 ใน 3 ของขนาดเศรษฐกิจโลก
ดังนั้น ในขณะที่ตะวันตกซึ่งน่าจะมีท่าทีผลักดันการเพิ่มบทบาทของ IMF และธนาคารโลกในการปฏิรูประบบการเงินโลกนั้น แต่สำหรับเอเชียนั้น มีความรู้สึกขมขื่นกับ IMF และธนาคารโลกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ทั้ง IMF และธนาคารโลกถูกครอบงำโดยตะวันตกอย่างสิ้นเชิง ผู้อำนวยการ IMF จะเป็นชาวยุโรปมาโดยตลอด ในขณะที่ประธานธนาคารโลก จะเป็นคนอเมริกันมาโดยตลอด สหรัฐเป็นประเทศที่ครอบงำสถาบันทั้งสอง และเป็นประเทศเดียวที่มีสิทธิยับยั้งในประเด็นสำคัญๆของทั้งสององค์กร
ประสบการณ์ของเอเชียนั้น มีความขมขื่นกับ IMF มาโดยตลอด โดยไม่ใช่แต่จะถูกกีดกัน ไม่มีสิทธิ์มีเสียงใน IMF เท่านั้น แต่เอเชียจำได้ดีว่า ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 1997 IMF ได้เข้ามามีอำนาจบาตรใหญ่ในการกอบกู้วิกฤติต้มยำกุ้ง และมีมาตรการต่างๆที่บีบคั้นประเทศที่กู้เงินจาก IMF เป็นอย่างมาก ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า IMF นั้น ดำเนินมาตรการต่างๆ ก็เพื่อสอดรับกับผลประโยชน์ของสหรัฐนั่นเอง ในช่วงนั้น ญี่ปุ่น ได้เคยเสนอจัดตั้งกองทุนการเงินแห่งเอเชีย แต่ก็ถูกสหรัฐคัดค้านอย่างเต็มที่ เพราะมองว่าจะมาเป็นคู่แข่งของ IMF
ดังนั้น เราคงจะต้องจับตามองว่า ในการประชุมสุดยอดในวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ ประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะจากเอเชีย จะมีท่าทีอย่างไร โดยเฉพาะต่อข้อเสนอของตะวันตกที่จะให้มีการเพิ่มบทบาทของ IMF ดังกล่าวข้างต้น
การปฏิรูประบบการเงินโลก
การปฏิรูประบบการเงินโลก
ไทยโพสต์ ปีที่ 12 ฉบับที่ 4377 วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม 2551
หลังจากที่วิกฤติการเงินสหรัฐได้ลุกลามกลายเป็นวิกฤติการเงินโลกไปแล้ว ล่าสุดได้มีความพยายามจากผู้นำตะวันตก ที่จะผลักดันให้มีการปฏิรูประบบการเงินโลกขึ้น คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้ จะวิเคราะห์ถึงความพยายามผลักดันการปฏิรูประบบการเงินโลก ท่าทีของประเทศต่างๆ รูปร่างหน้าตาของการปฏิรูป รวมทั้งอุปสรรคต่อการปฏิรูป
แถลงการณ์ร่วม
ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางฝ่ายยุโรปได้เดินหน้าผลักดันให้มีการปฏิรูประบบการเงินโลก โดยประธานาธิบดีฝรั่งเศส Nicolas Sarkozy ในฐานะประธาน EU และ นาย Jose Manuel Barroso ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ได้เดินทางไปกรุง Washington D.C. เพื่อหารือกับประธานาธิบดี Bush โดยภายหลังการหารือกันได้มีการออกแถลงการณ์ร่วมแจ้งว่า จะมีการจัดประชุมสุดยอดเพื่อการปฏิรูประบบการเงินโลกขึ้น สถานที่คงเป็นในสหรัฐ และช่วงเวลา คงเป็นภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยมีแผนที่จะจัดประชุมสุดยอดหลายครั้ง โดยทั้งยุโรปและสหรัฐเห็นพ้องว่า ควรจะต้องมีการผลักดันให้มีการปฏิรูประบบการเงินโลกขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อลงไปรายละเอียด ท่าทีของสหรัฐและยุโรปก็แตกต่างกัน
ท่าทีของสหรัฐ
ในการประชุมดังกล่าวข้างต้น ประธานาธิบดี Bush ได้แถลงว่า วิกฤติการณ์การเงินในครั้งนี้ จำเป็นจะต้องมีการปฏิรูประบบการเงินโลก แต่ Bush ก็ได้กล่าวว่า การปฏิรูประบบการเงินโลกจะต้องไม่ทำลายระบบกลไกตลาดเสรี และต้องไม่กระทบต่อระบบทุนนิยมเสรีในแนวที่สหรัฐสนับสนุนมาโดยตลอด Bush ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของทางฝ่ายยุโรป ที่ต้องการให้มีการปฏิรูปแบบถอนรากถอนโคน โดยกล่าวย้ำว่าการปฏิรูปจะต้องไม่กระเทือนถึงระบบทุนนิยมประชาธิปไตย ตลาดเสรี และการค้าเสรี
ในเบื้องลึกนั้น สหรัฐซึ่งยังเป็นอภิมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก ยังคงมีความหวาดระแวงต่อข้อเสนอของประเทศอื่นๆ ที่อาจจะทำให้อิทธิพลของสหรัฐในโลกลดลง และอาจจะทำให้โลกเปลี่ยนจากระบบหนึ่งขั้วอำนาจไปเป็นระบบหลายขั้วอำนาจ โดย Bush ยังคงยืนยันว่า สหรัฐจะต้องเล่นบทเป็นผู้นำโลกต่อไปในการปฏิรูประบบการเงินโลก หลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าสหรัฐยังคงหวงแหนสถานะการเป็นผู้นำโลก คือ การบอกปัดข้อเสนอของเลขาธิการสหประชาชาติ คือ นาย Ban Kee Mun ที่เสนอจะให้มีการประชุมสุดยอดในกรอบของ UN
ท่าทีของสหรัฐนั้น ก็คงออกมาในลักษณะให้มีการปฏิรูปบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เป็นการถอนรากถอนโคน โดยสหรัฐน่าจะเน้นเรื่องของการสร้างความโปร่งใสในระบบการเงินโลก การกำหนดกฎเกณฑ์การเคลื่อนย้ายของเงินทุน การลงทุน และการปรับปรุงบทบาทการควบคุมดูแลระบบการเงินโลกโดยสถาบันการเงินโลก
ท่าทีของยุโรป
แต่สำหรับผู้นำยุโรปนั้น มีท่าทีต่างจากท่าทีของสหรัฐค่อนข้างมาก โดยยุโรปต้องการให้มีการปฏิรูปแบบถอนรากถอนโคน มีการพูดถึงขั้นให้มีการจัดระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ ที่เรียกว่า “Bretton Woods II” โดยนาย Barroso ถึงกลับประกาศกร้าวว่า เราต้องการระเบียบการเงินโลกใหม่ โดยยุโรปเน้นที่จะต้องมีการแทรกแซงกลไกตลาด และมีกฎระเบียบควบคุมระบบการเงินโลกที่เข้มงวด ยุโรปต้องการให้การประชุมสุดยอดที่จะมีขึ้น หารือถึงการสร้างรูปแบบใหม่ของทุนนิยม และให้มีการควบคุมระบบการเงินอย่างมีประสิทธิภาพทั่วโลก
นาย Sarkozy ได้ย้ำถึงความเร่งด่วนของวิกฤติการณ์การเงินโลก ที่มีความจำเป็นที่จะต้องมีการแก้ไขวิกฤติในระดับโลก โดยกล่าวย้ำว่า พวก hedge fund และธุรกรรมที่ไม่โปร่งใสต่างๆ เป็นต้นตอของวิกฤติ และต่อไป จะต้องเข้าไปควบคุมอย่างจริงจัง Sarkozy ย้ำว่า “ระบบการเงินโลกและระบบทุนนิยมโลกในปัจจุบัน เป็นสิ่งยอมรับไม่ได้ ระบบทุนนิยมปัจจุบันถือเป็นการทรยศหักหลังต่อระบบทุนนิยมที่เรายึดมั่นอยู่”
ในขณะที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษ Gordon Brown ซึ่งมาจากพรรคแรงงานของอังกฤษ มีอุดมการณ์แนวปฏิรูปอยู่แล้ว จึงได้เสนอที่จะให้มีการปฏิรูประบบทุนนิยมโลกอย่างถอนรากถอนโคน โดยนาย Brown ได้เสนอให้มีการจัดตั้งกลไกเพื่อที่จะเข้ามาควบคุมตรวจสอบสถาบันการเงิน 30 สถาบันที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสถาบันของสหรัฐ Brown เสนอว่าน่าจะต้องมีการปฏิรูปองค์กรการเงินโลกที่ตั้งขึ้นมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เรารู้จักกันในชื่อว่า Bretton Woods Brown ยังได้เสนอให้มีการปฏิรูป IMF โดยให้เล่นบทบาทเป็นระบบเตือนภัยล่วงหน้า สำหรับป้องกันไม่ให้วิกฤติเกิดขึ้นอีก Brown ได้เสนอว่า ขณะนี้โลกต้องการความโปร่งใสมากขึ้น และระบบโลกาภิบาลทางด้านการเงิน
ข้อเสนอการปฏิรูประบบการเงินโลก
สำหรับแผนการจัดประชุมสุดยอดเพื่อปฏิรูประบบการเงินโลกนั้น ผู้นำตะวันตกได้กำหนดว่าควรจะมีหลายครั้ง โดยครั้งแรก จะเน้นในเรื่องของการพิจารณาความคืบหน้าในการกอบกู้วิกฤติการเงินโลกในขณะนี้ และจะพยายามตกลงกันในเรื่องของหลักการปฏิรูประบบการเงินโลก ส่วนการประชุมสุดยอดครั้งต่อๆไป จะเป็นการหารือถึงมาตรการต่างๆในรายละเอียดเพื่อนำไปสู่การปฏิรูป
สำหรับประเทศที่จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดนั้น ทางตะวันตกวางแผนว่า กลุ่มแกนหลักคือ G-8 และจะเชิญประเทศนอกกลุ่ม G-8 ที่สำคัญเข้าร่วม อาทิ จีน อินเดีย บราซิล เกาหลีใต้
ขณะนี้ได้มีข้อเสนอออกมาหลายข้อเสนอ โดยมีการมุ่งเป้าไปที่การปฏิรูป IMF อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ IMF มีสมาชิกกว่า 150 ประเทศ แต่สมาชิกก็ยังไม่สามารถที่จะตกลงกันได้ ว่า IMF ควรจะมีบทบาทอย่างไร โดยเฉพาะในการปฏิรูป IMF
บางคนจึงมองว่า หากไม่สามารถปฏิรูป IMF ได้ ก็ควรมีการจัดตั้งองค์กรใหม่ขึ้นมา เพื่อมาควบคุมระบบการเงินโลก โดยในกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ จะมีการประชุมกลุ่มประเทศ G-20 ที่บราซิล ซึ่งได้มีข้อเสนอให้ประเทศกลุ่มนี้ ผลักดันจัดตั้งกลไกใหม่ ในลักษณะการตั้งวงเงินกู้ล่วงหน้าระหว่างกัน และให้มีการตั้งสำนักเลขาธิการ เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและการควบคุมตรวจสอบ จริงๆแล้ว IMF ควรจะเล่นบทสำนักเลขาธิการดังกล่าว แต่ก็มีหลายประเทศคัดค้าน จึงอาจต้องมีการตั้งกลไกใหม่ขึ้น
การปฏิรูป IMF นั้น คงจะมีปัญหาแน่นอน เพราะสหรัฐคงจะไม่สนับสนุนและคงจะยืนยันในหลักการทุนนิยมเสรีต่อไป โดยเน้นกลไกตลาด ในขณะที่ประเทศในเอเชีย ซึ่งเมื่อปี 1997 เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ก็ได้รับบทเรียนอย่างแสนสาหัสมาแล้ว จากมาตรการของ IMF ตั้งแต่นั้นมา ประเทศในเอเชียก็สูญเสียศรัทธาใน IMF ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ประเทศในเอเชียก็ไม่มีสิทธิมีเสียงในสถาบันนี้เลย
ผมอยากจะวิเคราะห์ต่อไปว่า อนาคตของการปฏิรูประบบการเงินโลกคงไม่ง่าย เพราะมีอุปสรรคหลายเรื่อง ปัญหาใหญ่คือ ตัวตั้งตัวตีของการปฏิรูปในครั้งนี้คือ กลุ่มประเทศตะวันตก คือ กลุ่ม G-8 ซึ่งขณะนี้ กลุ่มG-8 กำลังประสบวิกฤติศรัทธาอย่างหนัก เพราะ G-8 ไม่ได้สะท้อนโครงสร้างและระบบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน และไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาคมโลกอย่างแท้จริง
การผงาดขึ้นมาของประเทศมหาอำนาจใหม่ อาทิ จีน อินเดีย และประเทศกำลังพัฒนา กำลังท้าทายการครอบงำองค์กรโลกของตะวันตกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยประเทศมหาอำนาจใหม่เหล่านี้ ต้องการที่จะให้มีการปฏิรูปโครงสร้างใหม่ของระบบโลกไปในทิศทางที่ตนต้องการ แต่ไม่ใช่ไปในทิศทางที่ตะวันตกต้องการ
ในอดีต กลุ่ม G-8 เคยมีบทบาทอย่างมากในการประสานท่าทีต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจโลก แต่ในปัจจุบัน โครงสร้างเศรษฐกิจโลกได้เปลี่ยนแปลงไปมาก จึงทำให้การประชุม G-8 ในปัจจุบัน ไม่มีความหมาย และไม่มีความชอบธรรม
สำหรับองค์กรการเงินโลกหลักคือ IMF และธนาคารโลกนั้น สหรัฐก็เป็นตัวตั้งตัวตีจัดตั้งขึ้นมาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในตอนนั้น สหรัฐเป็นประเทศเดียวที่ผูกขาดอำนาจในการจัดระเบียบเศรษฐกิจโลก สหรัฐจึงได้ใช้อำนาจดังกล่าวสร้างระบบเศรษฐกิจโลกขึ้นมา ที่เราเรียกว่า Bretton Woods System
อย่างไรก็ตาม โครงสร้างอำนาจเศรษฐกิจโลกได้เปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะการผงาดขึ้นมาของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา และมหาอำนาจที่ไม่ใช่ตะวันตก แต่ประเทศเหล่านี้ ก็ไม่มีบทบาทใน IMF และธนาคารโลกเลย โดยตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้อำนวยการ IMF มาจากยุโรปโดยตลอด และประธานธนาคารโลก ก็ถูกผูกขาดโดยคนอเมริกันมาโดยตลอด นอกจากนี้ ประเทศกำลังพัฒนา ก็ไม่มีอำนาจการลงคะแนนเสียง (voting power) ใน IMF โดยมีการให้ voting power กับสหรัฐและยุโรปเป็นอย่างมาก โดยประเทศกำลังพัฒนาแทบจะไม่มี voting power เลย
ไทยโพสต์ ปีที่ 12 ฉบับที่ 4377 วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม 2551
หลังจากที่วิกฤติการเงินสหรัฐได้ลุกลามกลายเป็นวิกฤติการเงินโลกไปแล้ว ล่าสุดได้มีความพยายามจากผู้นำตะวันตก ที่จะผลักดันให้มีการปฏิรูประบบการเงินโลกขึ้น คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้ จะวิเคราะห์ถึงความพยายามผลักดันการปฏิรูประบบการเงินโลก ท่าทีของประเทศต่างๆ รูปร่างหน้าตาของการปฏิรูป รวมทั้งอุปสรรคต่อการปฏิรูป
แถลงการณ์ร่วม
ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางฝ่ายยุโรปได้เดินหน้าผลักดันให้มีการปฏิรูประบบการเงินโลก โดยประธานาธิบดีฝรั่งเศส Nicolas Sarkozy ในฐานะประธาน EU และ นาย Jose Manuel Barroso ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ได้เดินทางไปกรุง Washington D.C. เพื่อหารือกับประธานาธิบดี Bush โดยภายหลังการหารือกันได้มีการออกแถลงการณ์ร่วมแจ้งว่า จะมีการจัดประชุมสุดยอดเพื่อการปฏิรูประบบการเงินโลกขึ้น สถานที่คงเป็นในสหรัฐ และช่วงเวลา คงเป็นภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยมีแผนที่จะจัดประชุมสุดยอดหลายครั้ง โดยทั้งยุโรปและสหรัฐเห็นพ้องว่า ควรจะต้องมีการผลักดันให้มีการปฏิรูประบบการเงินโลกขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อลงไปรายละเอียด ท่าทีของสหรัฐและยุโรปก็แตกต่างกัน
ท่าทีของสหรัฐ
ในการประชุมดังกล่าวข้างต้น ประธานาธิบดี Bush ได้แถลงว่า วิกฤติการณ์การเงินในครั้งนี้ จำเป็นจะต้องมีการปฏิรูประบบการเงินโลก แต่ Bush ก็ได้กล่าวว่า การปฏิรูประบบการเงินโลกจะต้องไม่ทำลายระบบกลไกตลาดเสรี และต้องไม่กระทบต่อระบบทุนนิยมเสรีในแนวที่สหรัฐสนับสนุนมาโดยตลอด Bush ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของทางฝ่ายยุโรป ที่ต้องการให้มีการปฏิรูปแบบถอนรากถอนโคน โดยกล่าวย้ำว่าการปฏิรูปจะต้องไม่กระเทือนถึงระบบทุนนิยมประชาธิปไตย ตลาดเสรี และการค้าเสรี
ในเบื้องลึกนั้น สหรัฐซึ่งยังเป็นอภิมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก ยังคงมีความหวาดระแวงต่อข้อเสนอของประเทศอื่นๆ ที่อาจจะทำให้อิทธิพลของสหรัฐในโลกลดลง และอาจจะทำให้โลกเปลี่ยนจากระบบหนึ่งขั้วอำนาจไปเป็นระบบหลายขั้วอำนาจ โดย Bush ยังคงยืนยันว่า สหรัฐจะต้องเล่นบทเป็นผู้นำโลกต่อไปในการปฏิรูประบบการเงินโลก หลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าสหรัฐยังคงหวงแหนสถานะการเป็นผู้นำโลก คือ การบอกปัดข้อเสนอของเลขาธิการสหประชาชาติ คือ นาย Ban Kee Mun ที่เสนอจะให้มีการประชุมสุดยอดในกรอบของ UN
ท่าทีของสหรัฐนั้น ก็คงออกมาในลักษณะให้มีการปฏิรูปบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เป็นการถอนรากถอนโคน โดยสหรัฐน่าจะเน้นเรื่องของการสร้างความโปร่งใสในระบบการเงินโลก การกำหนดกฎเกณฑ์การเคลื่อนย้ายของเงินทุน การลงทุน และการปรับปรุงบทบาทการควบคุมดูแลระบบการเงินโลกโดยสถาบันการเงินโลก
ท่าทีของยุโรป
แต่สำหรับผู้นำยุโรปนั้น มีท่าทีต่างจากท่าทีของสหรัฐค่อนข้างมาก โดยยุโรปต้องการให้มีการปฏิรูปแบบถอนรากถอนโคน มีการพูดถึงขั้นให้มีการจัดระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ ที่เรียกว่า “Bretton Woods II” โดยนาย Barroso ถึงกลับประกาศกร้าวว่า เราต้องการระเบียบการเงินโลกใหม่ โดยยุโรปเน้นที่จะต้องมีการแทรกแซงกลไกตลาด และมีกฎระเบียบควบคุมระบบการเงินโลกที่เข้มงวด ยุโรปต้องการให้การประชุมสุดยอดที่จะมีขึ้น หารือถึงการสร้างรูปแบบใหม่ของทุนนิยม และให้มีการควบคุมระบบการเงินอย่างมีประสิทธิภาพทั่วโลก
นาย Sarkozy ได้ย้ำถึงความเร่งด่วนของวิกฤติการณ์การเงินโลก ที่มีความจำเป็นที่จะต้องมีการแก้ไขวิกฤติในระดับโลก โดยกล่าวย้ำว่า พวก hedge fund และธุรกรรมที่ไม่โปร่งใสต่างๆ เป็นต้นตอของวิกฤติ และต่อไป จะต้องเข้าไปควบคุมอย่างจริงจัง Sarkozy ย้ำว่า “ระบบการเงินโลกและระบบทุนนิยมโลกในปัจจุบัน เป็นสิ่งยอมรับไม่ได้ ระบบทุนนิยมปัจจุบันถือเป็นการทรยศหักหลังต่อระบบทุนนิยมที่เรายึดมั่นอยู่”
ในขณะที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษ Gordon Brown ซึ่งมาจากพรรคแรงงานของอังกฤษ มีอุดมการณ์แนวปฏิรูปอยู่แล้ว จึงได้เสนอที่จะให้มีการปฏิรูประบบทุนนิยมโลกอย่างถอนรากถอนโคน โดยนาย Brown ได้เสนอให้มีการจัดตั้งกลไกเพื่อที่จะเข้ามาควบคุมตรวจสอบสถาบันการเงิน 30 สถาบันที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสถาบันของสหรัฐ Brown เสนอว่าน่าจะต้องมีการปฏิรูปองค์กรการเงินโลกที่ตั้งขึ้นมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เรารู้จักกันในชื่อว่า Bretton Woods Brown ยังได้เสนอให้มีการปฏิรูป IMF โดยให้เล่นบทบาทเป็นระบบเตือนภัยล่วงหน้า สำหรับป้องกันไม่ให้วิกฤติเกิดขึ้นอีก Brown ได้เสนอว่า ขณะนี้โลกต้องการความโปร่งใสมากขึ้น และระบบโลกาภิบาลทางด้านการเงิน
ข้อเสนอการปฏิรูประบบการเงินโลก
สำหรับแผนการจัดประชุมสุดยอดเพื่อปฏิรูประบบการเงินโลกนั้น ผู้นำตะวันตกได้กำหนดว่าควรจะมีหลายครั้ง โดยครั้งแรก จะเน้นในเรื่องของการพิจารณาความคืบหน้าในการกอบกู้วิกฤติการเงินโลกในขณะนี้ และจะพยายามตกลงกันในเรื่องของหลักการปฏิรูประบบการเงินโลก ส่วนการประชุมสุดยอดครั้งต่อๆไป จะเป็นการหารือถึงมาตรการต่างๆในรายละเอียดเพื่อนำไปสู่การปฏิรูป
สำหรับประเทศที่จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดนั้น ทางตะวันตกวางแผนว่า กลุ่มแกนหลักคือ G-8 และจะเชิญประเทศนอกกลุ่ม G-8 ที่สำคัญเข้าร่วม อาทิ จีน อินเดีย บราซิล เกาหลีใต้
ขณะนี้ได้มีข้อเสนอออกมาหลายข้อเสนอ โดยมีการมุ่งเป้าไปที่การปฏิรูป IMF อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ IMF มีสมาชิกกว่า 150 ประเทศ แต่สมาชิกก็ยังไม่สามารถที่จะตกลงกันได้ ว่า IMF ควรจะมีบทบาทอย่างไร โดยเฉพาะในการปฏิรูป IMF
บางคนจึงมองว่า หากไม่สามารถปฏิรูป IMF ได้ ก็ควรมีการจัดตั้งองค์กรใหม่ขึ้นมา เพื่อมาควบคุมระบบการเงินโลก โดยในกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ จะมีการประชุมกลุ่มประเทศ G-20 ที่บราซิล ซึ่งได้มีข้อเสนอให้ประเทศกลุ่มนี้ ผลักดันจัดตั้งกลไกใหม่ ในลักษณะการตั้งวงเงินกู้ล่วงหน้าระหว่างกัน และให้มีการตั้งสำนักเลขาธิการ เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและการควบคุมตรวจสอบ จริงๆแล้ว IMF ควรจะเล่นบทสำนักเลขาธิการดังกล่าว แต่ก็มีหลายประเทศคัดค้าน จึงอาจต้องมีการตั้งกลไกใหม่ขึ้น
การปฏิรูป IMF นั้น คงจะมีปัญหาแน่นอน เพราะสหรัฐคงจะไม่สนับสนุนและคงจะยืนยันในหลักการทุนนิยมเสรีต่อไป โดยเน้นกลไกตลาด ในขณะที่ประเทศในเอเชีย ซึ่งเมื่อปี 1997 เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ก็ได้รับบทเรียนอย่างแสนสาหัสมาแล้ว จากมาตรการของ IMF ตั้งแต่นั้นมา ประเทศในเอเชียก็สูญเสียศรัทธาใน IMF ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ประเทศในเอเชียก็ไม่มีสิทธิมีเสียงในสถาบันนี้เลย
ผมอยากจะวิเคราะห์ต่อไปว่า อนาคตของการปฏิรูประบบการเงินโลกคงไม่ง่าย เพราะมีอุปสรรคหลายเรื่อง ปัญหาใหญ่คือ ตัวตั้งตัวตีของการปฏิรูปในครั้งนี้คือ กลุ่มประเทศตะวันตก คือ กลุ่ม G-8 ซึ่งขณะนี้ กลุ่มG-8 กำลังประสบวิกฤติศรัทธาอย่างหนัก เพราะ G-8 ไม่ได้สะท้อนโครงสร้างและระบบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน และไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาคมโลกอย่างแท้จริง
การผงาดขึ้นมาของประเทศมหาอำนาจใหม่ อาทิ จีน อินเดีย และประเทศกำลังพัฒนา กำลังท้าทายการครอบงำองค์กรโลกของตะวันตกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยประเทศมหาอำนาจใหม่เหล่านี้ ต้องการที่จะให้มีการปฏิรูปโครงสร้างใหม่ของระบบโลกไปในทิศทางที่ตนต้องการ แต่ไม่ใช่ไปในทิศทางที่ตะวันตกต้องการ
ในอดีต กลุ่ม G-8 เคยมีบทบาทอย่างมากในการประสานท่าทีต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจโลก แต่ในปัจจุบัน โครงสร้างเศรษฐกิจโลกได้เปลี่ยนแปลงไปมาก จึงทำให้การประชุม G-8 ในปัจจุบัน ไม่มีความหมาย และไม่มีความชอบธรรม
สำหรับองค์กรการเงินโลกหลักคือ IMF และธนาคารโลกนั้น สหรัฐก็เป็นตัวตั้งตัวตีจัดตั้งขึ้นมาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในตอนนั้น สหรัฐเป็นประเทศเดียวที่ผูกขาดอำนาจในการจัดระเบียบเศรษฐกิจโลก สหรัฐจึงได้ใช้อำนาจดังกล่าวสร้างระบบเศรษฐกิจโลกขึ้นมา ที่เราเรียกว่า Bretton Woods System
อย่างไรก็ตาม โครงสร้างอำนาจเศรษฐกิจโลกได้เปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะการผงาดขึ้นมาของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา และมหาอำนาจที่ไม่ใช่ตะวันตก แต่ประเทศเหล่านี้ ก็ไม่มีบทบาทใน IMF และธนาคารโลกเลย โดยตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้อำนวยการ IMF มาจากยุโรปโดยตลอด และประธานธนาคารโลก ก็ถูกผูกขาดโดยคนอเมริกันมาโดยตลอด นอกจากนี้ ประเทศกำลังพัฒนา ก็ไม่มีอำนาจการลงคะแนนเสียง (voting power) ใน IMF โดยมีการให้ voting power กับสหรัฐและยุโรปเป็นอย่างมาก โดยประเทศกำลังพัฒนาแทบจะไม่มี voting power เลย
วิกฤติการเงินโลก: ผลกระทบต่อประเทศกำลังพัฒนา
วิกฤติการเงินโลก: ผลกระทบต่อประเทศกำลังพัฒนา
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 56 ฉบับที่ 6 วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม - พฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน 2551
ขณะนี้วิกฤติการเงินโลก ได้ลุกลามขยายตัวไปทั่วโลกแล้ว โดยเริ่มจากวิกฤติการเงินในสหรัฐก่อน หลังจากนั้น ได้ระบาดเข้าไปในยุโรป และขณะนี้ ได้ลุกลามระบาดไปทั่วโลก โดยเฉพาะการระบาดเข้าสู่เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา
ในช่วงแรกที่เกิดวิกฤติ subprime ใหม่ๆ ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ เฝ้ามองวิกฤติครั้งนี้ว่าคงจะจำกัดวงอยู่แต่ในโลกตะวันตก ธนาคารส่วนใหญ่ของประเทศกำลังพัฒนา ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับวิกฤติ subprime แม้ว่าจะมีการพูดกันว่า วิกฤติการเงินครั้งนี้ นับว่าเลวร้ายที่สุด นับตั้งแต่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในช่วงทศวรรษ 1930 แต่ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ ก็มองว่า น่าจะอยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางของมรสุมการเงินในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ได้เริ่มเห็นชัดเจนแล้วว่า ประทศกำลังพัฒนาไม่สามารถหลีกเลี่ยงวิกฤติครั้งนี้ได้ โดยได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม เงินลงทุนได้เริ่มหดหายไป รวมทั้งตลาดส่งออก และตลาดหุ้นในประเทศกำลังพัฒนาเอง ก็ตกต่ำอย่างหนัก บางตลาด มูลค่าหุ้น หายไปกว่าครึ่ง และค่าเงินสกุลต่างๆก็กำลังตกต่ำอย่างหนัก
ล่าสุด ในวันอังคารที่ 28 ตุลาคม ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงปั่นป่วนและดิ่งลงเหวอย่างต่อเนื่อง โดยที่หนักที่สุด เป็นตลาดหุ้นในเอเชีย โดยตลาดหุ้นนิเคอิของญี่ปุ่น ตกลงไปอีก 6% นับเป็นการตกต่ำที่สุดในรอบ 26 ปี ในขณะที่ตลาดหุ้นฮั่งเส็งของฮ่องกงก็ตกลงถึง 12% ท่ามกลางความหวั่นวิตกว่า มาตรการกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ อาจจะไม่ได้ผล และอาจจะสายเกินไปที่จะป้องกันภาวะเศรษฐกิจถดถอยของเศรษฐกิจโลก
สำหรับในกรณีของไทย ก็กำลังปั่นป่วนอย่างหนัก โดยทางสภาอุตสาหกรรมได้ประเมินสถานการณ์ว่า เศรษฐกิจไทย กำลังจะเข้าสู่ภาวะวิกฤติ โดยในปีหน้าจะมีคนตกงานถึงกว่า 1 ล้านคน ไม่ต้องพูดถึงผลกระทบของการส่งออก ท่องเที่ยว และอุตสาหกรรม ขณะนี้ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กำลังระส่ำระสายอย่างหนัก และกำลังจะล้มละลายกันเป็นแถว ตลาดหุ้นไทยก็ตกต่ำลงอย่างหนัก ขณะนี้ หลุด 400 จุดไปแล้ว
การส่งออก
ผลกระทบประการสำคัญของวิกฤติการเงินโลกต่อประเทศกำลังพัฒนา เรื่องแรกคือ การส่งออก การถดถอยลงของอุปสงค์ในตลาดสหรัฐและยุโรป ได้ส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อการส่งออกของประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งประเทศไทยด้วย ซึ่งตลาดส่งออกหลักของไทยยังคงอยู่ที่สหรัฐและยุโรป ขณะนี้ มีการประเมินว่า การส่งออกของไทยไปตลาดตะวันตก ลดลงไปกว่า 30% แล้ว
นอกจากนี้ ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกันคือ การตกต่ำลงอย่างมากของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของประเทศกำลังพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าเกษตรและราคาแร่ธาตุต่างๆ ในกรณีของไทย ก็กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก จากภาวะสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะราคาข้าวโพด มันสำปะหลัง และยางพารา สำหรับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกับไทย ประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกแร่ธาตุสำคัญ กำลังประสบวิกฤติอย่างหนัก โดยเฉพาะราคา platinum และทอง ทำให้ค่าเงินของแอฟริกาใต้ตกต่ำลงอย่างน่ากลัว บราซิลซึ่งเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ คิดเป็น 9% ของGDP ก็เจอปัญหาเช่นเดียวกัน
การเงิน
วิกฤติการเงินโลกในครั้งนี้ ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสถานะการเงินของประเทศกำลังพัฒนา ระบบการเงินของหลายๆประเทศกำลังสั่นคลอน ประเทศที่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมาก ก็อาจจะรอดตัวไปได้ อย่างเช่น เกาหลีใต้ ซึ่งมีเงินทุนสำรองอยู่ประมาณ 140,000 ล้านเหรียญ รัสเซียมีอยู่ 540,000 ล้านเหรียญ และประเทศที่มีเงินทุนสำรองมากที่สุดคือ จีน ซึ่งมีกว่า 2 ล้านล้านเหรียญ
สำหรับในกรณีของเกาหลีใต้ รัฐบาลได้ออกมาค้ำประกันวงเงินกู้กว่า 1 แสนล้านเหรียญ รัสเซียก็ได้อัดฉีดเงิน 220,000 ล้านเหรียญเพื่อช่วยอุ้มสถาบันการเงินของตน
แต่สำหรับประเทศที่ไม่มีเงินทุนสำรองเพียงพอ ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องไปกู้จาก IMF ซึ่งตอนนี้ มีฮังการีและยูเครนได้รับเงินกู้จาก IMF ไปแล้ว และยังมีอีกกว่า 10 ประเทศที่กำลังเจรจากับ IMF อยู่
สำหรับวิกฤติการการเงินในประเทศกำลังพัฒนานั้น เป็นผลต่อเนื่องมาจากวิกฤติการเงินในยุโรปและสหรัฐ โดยเงินกู้จากธนาคารสหรัฐและยุโรปได้เหือดหายไป และมีการถอนทุนจากพวก hedge fund และนักลงทุนในตลาดหุ้น ทำให้ธุรกิจการให้กู้เกิดสะดุด ซึ่งที่ผ่านมา ธุรกิจเงินกู้เป็นตัวกระตุ้นการใช้จ่ายภายในที่สำคัญ แต่เมื่อธุรกิจการให้กู้สะดุด ก็ทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง
แต่ผลกระทบในเรื่องนี้ จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยประเทศที่ได้เปรียบดุลบัญชีเดินสะพัด โดยเฉพาะจีนและประเทศส่งออกน้ำมัน จะได้รับผลกระทบน้อย แต่ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ ตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งคิดเป็นกว่า 5%ของ GDP ที่หนักที่สุดคือ ประเทศในยุโรปตะวันออก ซึ่งหลายประเทศขาดดุลบัญชีเดินสะพัดกว่า 10%
นอกจากนี้ ประเทศกำลังพัฒนากำลังประสบกับการไหลออกของเงินทุนอย่างหนัก โดยมีการคาดกันว่า ในปีนี้ เงินทุนไหลเข้าจะลดลงกว่า 30% ของปีที่แล้ว
สำหรับประเทศจีน น่าจะอยู่ในสถานะที่ดีกว่าเพื่อนในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ทั้งนี้เพราะจีนมีเงินทุนสำรองกว่า 2 ล้านล้านเหรียญ ภาวะเกินดุลบัญชีเดินสะพัด มีการเชื่อมโยงกับสถาบันการเงินในตะวันตกค่อนข้างน้อย และดุลงบประมาณก็เกินดุลเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม จีนก็ได้รับผลกระทบอยู่ดี โดยอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน คาดว่าจะลดลงเหลือแค่ 8% ซึ่งในอดีตนั้น จีนโตเกินกว่า 10% มาโดยตลอด
สำหรับประเทศอื่น ก็จะตกอยู่ในสภาวะล่อแหลม อินเดียขณะนี้ ขาดดุลงบประมาณมหาศาล และขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมหาศาล คิดเป็นถึง 3.6% ของ GDP
สถานะการเงินของบราซิลก็น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของบราซิลในช่วงที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะบราซิลเคยเกิดวิกฤติการเงินหลายครั้ง จึงทำให้มีบทเรียนเหมือนกับประเทศไทย ซึ่งได้รับบทเรียนจากวิกฤติต้มยำกุ้งมาแล้ว บราซิล จึงได้มีมาตรการกระจายความเสี่ยง กระจายตลาด และมีเงินทุนสำรองค่อนข้างมาก
ซึ่งสถานะของบราซิลก็คล้ายๆกับของไทย คือ บทเรียนจากวิกฤติต้มยำกุ้ง ทำให้ไทยค่อนข้างระมัดระวังตัว โดยไทยมีเงินทุนสำรองอยู่ไม่น้อย มีการกระจายตลาดส่งออกเพิ่มขึ้น มีการปฏิรูปสถาบันการเงิน และเข้มงวดกวดขันในการปล่อยเงินกู้ และมีระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
แต่ขณะนี้ ประเทศที่ดูน่าเป็นห่วงมากคือ กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก ซึ่งกำลังประสบกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจอย่างหนัก ภาวะหนี้สินของภาครัฐสูง การกู้ยืมเงินของภาคเอกชนก็อยู่ในระดับสูงมาก มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างหนัก นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลก็ไม่มีประสิทธิภาพ และขาดการควบคุมการใช้จ่ายของภาครัฐ ทำให้หลายๆประเทศกำลังจะประสบภาวะล้มละลาย และหลายประเทศก็กำลังแสวงหาความช่วยเหลือจาก IMF
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา IMF ได้ประกาศปล่อยเงินกู้ให้ความช่วยเหลือแก่ฮังการีและยูเครนไปแล้ว ในกรณีของฮังการีนั้น อาการค่อนข้างหนัก โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ค่าเงินของฮังการีได้ตกลงอย่างมาก และตลาดหุ้นฮังการี ก็ปั่นป่วนอย่างหนัก จนต้องปิดทำการเป็นเวลา 2 วัน IMF จึงได้ทำข้อตกลงกับสหภาพยุโรป โดยเฉพาะกับเยอรมนี ออสเตรีย อิตาลี และธนาคารโลกในการช่วยกันลงขันเงินกู้ให้กับฮังการี สำหรับในกรณีของยูเครนนั้น เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม IMF ได้ประกาศวงเงินกู้ 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับยูเครน
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 56 ฉบับที่ 6 วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม - พฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน 2551
ขณะนี้วิกฤติการเงินโลก ได้ลุกลามขยายตัวไปทั่วโลกแล้ว โดยเริ่มจากวิกฤติการเงินในสหรัฐก่อน หลังจากนั้น ได้ระบาดเข้าไปในยุโรป และขณะนี้ ได้ลุกลามระบาดไปทั่วโลก โดยเฉพาะการระบาดเข้าสู่เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา
ในช่วงแรกที่เกิดวิกฤติ subprime ใหม่ๆ ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ เฝ้ามองวิกฤติครั้งนี้ว่าคงจะจำกัดวงอยู่แต่ในโลกตะวันตก ธนาคารส่วนใหญ่ของประเทศกำลังพัฒนา ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับวิกฤติ subprime แม้ว่าจะมีการพูดกันว่า วิกฤติการเงินครั้งนี้ นับว่าเลวร้ายที่สุด นับตั้งแต่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในช่วงทศวรรษ 1930 แต่ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ ก็มองว่า น่าจะอยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางของมรสุมการเงินในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ได้เริ่มเห็นชัดเจนแล้วว่า ประทศกำลังพัฒนาไม่สามารถหลีกเลี่ยงวิกฤติครั้งนี้ได้ โดยได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม เงินลงทุนได้เริ่มหดหายไป รวมทั้งตลาดส่งออก และตลาดหุ้นในประเทศกำลังพัฒนาเอง ก็ตกต่ำอย่างหนัก บางตลาด มูลค่าหุ้น หายไปกว่าครึ่ง และค่าเงินสกุลต่างๆก็กำลังตกต่ำอย่างหนัก
ล่าสุด ในวันอังคารที่ 28 ตุลาคม ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงปั่นป่วนและดิ่งลงเหวอย่างต่อเนื่อง โดยที่หนักที่สุด เป็นตลาดหุ้นในเอเชีย โดยตลาดหุ้นนิเคอิของญี่ปุ่น ตกลงไปอีก 6% นับเป็นการตกต่ำที่สุดในรอบ 26 ปี ในขณะที่ตลาดหุ้นฮั่งเส็งของฮ่องกงก็ตกลงถึง 12% ท่ามกลางความหวั่นวิตกว่า มาตรการกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ อาจจะไม่ได้ผล และอาจจะสายเกินไปที่จะป้องกันภาวะเศรษฐกิจถดถอยของเศรษฐกิจโลก
สำหรับในกรณีของไทย ก็กำลังปั่นป่วนอย่างหนัก โดยทางสภาอุตสาหกรรมได้ประเมินสถานการณ์ว่า เศรษฐกิจไทย กำลังจะเข้าสู่ภาวะวิกฤติ โดยในปีหน้าจะมีคนตกงานถึงกว่า 1 ล้านคน ไม่ต้องพูดถึงผลกระทบของการส่งออก ท่องเที่ยว และอุตสาหกรรม ขณะนี้ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กำลังระส่ำระสายอย่างหนัก และกำลังจะล้มละลายกันเป็นแถว ตลาดหุ้นไทยก็ตกต่ำลงอย่างหนัก ขณะนี้ หลุด 400 จุดไปแล้ว
การส่งออก
ผลกระทบประการสำคัญของวิกฤติการเงินโลกต่อประเทศกำลังพัฒนา เรื่องแรกคือ การส่งออก การถดถอยลงของอุปสงค์ในตลาดสหรัฐและยุโรป ได้ส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อการส่งออกของประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งประเทศไทยด้วย ซึ่งตลาดส่งออกหลักของไทยยังคงอยู่ที่สหรัฐและยุโรป ขณะนี้ มีการประเมินว่า การส่งออกของไทยไปตลาดตะวันตก ลดลงไปกว่า 30% แล้ว
นอกจากนี้ ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกันคือ การตกต่ำลงอย่างมากของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของประเทศกำลังพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าเกษตรและราคาแร่ธาตุต่างๆ ในกรณีของไทย ก็กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก จากภาวะสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะราคาข้าวโพด มันสำปะหลัง และยางพารา สำหรับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกับไทย ประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกแร่ธาตุสำคัญ กำลังประสบวิกฤติอย่างหนัก โดยเฉพาะราคา platinum และทอง ทำให้ค่าเงินของแอฟริกาใต้ตกต่ำลงอย่างน่ากลัว บราซิลซึ่งเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ คิดเป็น 9% ของGDP ก็เจอปัญหาเช่นเดียวกัน
การเงิน
วิกฤติการเงินโลกในครั้งนี้ ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสถานะการเงินของประเทศกำลังพัฒนา ระบบการเงินของหลายๆประเทศกำลังสั่นคลอน ประเทศที่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมาก ก็อาจจะรอดตัวไปได้ อย่างเช่น เกาหลีใต้ ซึ่งมีเงินทุนสำรองอยู่ประมาณ 140,000 ล้านเหรียญ รัสเซียมีอยู่ 540,000 ล้านเหรียญ และประเทศที่มีเงินทุนสำรองมากที่สุดคือ จีน ซึ่งมีกว่า 2 ล้านล้านเหรียญ
สำหรับในกรณีของเกาหลีใต้ รัฐบาลได้ออกมาค้ำประกันวงเงินกู้กว่า 1 แสนล้านเหรียญ รัสเซียก็ได้อัดฉีดเงิน 220,000 ล้านเหรียญเพื่อช่วยอุ้มสถาบันการเงินของตน
แต่สำหรับประเทศที่ไม่มีเงินทุนสำรองเพียงพอ ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องไปกู้จาก IMF ซึ่งตอนนี้ มีฮังการีและยูเครนได้รับเงินกู้จาก IMF ไปแล้ว และยังมีอีกกว่า 10 ประเทศที่กำลังเจรจากับ IMF อยู่
สำหรับวิกฤติการการเงินในประเทศกำลังพัฒนานั้น เป็นผลต่อเนื่องมาจากวิกฤติการเงินในยุโรปและสหรัฐ โดยเงินกู้จากธนาคารสหรัฐและยุโรปได้เหือดหายไป และมีการถอนทุนจากพวก hedge fund และนักลงทุนในตลาดหุ้น ทำให้ธุรกิจการให้กู้เกิดสะดุด ซึ่งที่ผ่านมา ธุรกิจเงินกู้เป็นตัวกระตุ้นการใช้จ่ายภายในที่สำคัญ แต่เมื่อธุรกิจการให้กู้สะดุด ก็ทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง
แต่ผลกระทบในเรื่องนี้ จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยประเทศที่ได้เปรียบดุลบัญชีเดินสะพัด โดยเฉพาะจีนและประเทศส่งออกน้ำมัน จะได้รับผลกระทบน้อย แต่ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ ตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งคิดเป็นกว่า 5%ของ GDP ที่หนักที่สุดคือ ประเทศในยุโรปตะวันออก ซึ่งหลายประเทศขาดดุลบัญชีเดินสะพัดกว่า 10%
นอกจากนี้ ประเทศกำลังพัฒนากำลังประสบกับการไหลออกของเงินทุนอย่างหนัก โดยมีการคาดกันว่า ในปีนี้ เงินทุนไหลเข้าจะลดลงกว่า 30% ของปีที่แล้ว
สำหรับประเทศจีน น่าจะอยู่ในสถานะที่ดีกว่าเพื่อนในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ทั้งนี้เพราะจีนมีเงินทุนสำรองกว่า 2 ล้านล้านเหรียญ ภาวะเกินดุลบัญชีเดินสะพัด มีการเชื่อมโยงกับสถาบันการเงินในตะวันตกค่อนข้างน้อย และดุลงบประมาณก็เกินดุลเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม จีนก็ได้รับผลกระทบอยู่ดี โดยอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน คาดว่าจะลดลงเหลือแค่ 8% ซึ่งในอดีตนั้น จีนโตเกินกว่า 10% มาโดยตลอด
สำหรับประเทศอื่น ก็จะตกอยู่ในสภาวะล่อแหลม อินเดียขณะนี้ ขาดดุลงบประมาณมหาศาล และขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมหาศาล คิดเป็นถึง 3.6% ของ GDP
สถานะการเงินของบราซิลก็น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของบราซิลในช่วงที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะบราซิลเคยเกิดวิกฤติการเงินหลายครั้ง จึงทำให้มีบทเรียนเหมือนกับประเทศไทย ซึ่งได้รับบทเรียนจากวิกฤติต้มยำกุ้งมาแล้ว บราซิล จึงได้มีมาตรการกระจายความเสี่ยง กระจายตลาด และมีเงินทุนสำรองค่อนข้างมาก
ซึ่งสถานะของบราซิลก็คล้ายๆกับของไทย คือ บทเรียนจากวิกฤติต้มยำกุ้ง ทำให้ไทยค่อนข้างระมัดระวังตัว โดยไทยมีเงินทุนสำรองอยู่ไม่น้อย มีการกระจายตลาดส่งออกเพิ่มขึ้น มีการปฏิรูปสถาบันการเงิน และเข้มงวดกวดขันในการปล่อยเงินกู้ และมีระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
แต่ขณะนี้ ประเทศที่ดูน่าเป็นห่วงมากคือ กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก ซึ่งกำลังประสบกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจอย่างหนัก ภาวะหนี้สินของภาครัฐสูง การกู้ยืมเงินของภาคเอกชนก็อยู่ในระดับสูงมาก มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างหนัก นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลก็ไม่มีประสิทธิภาพ และขาดการควบคุมการใช้จ่ายของภาครัฐ ทำให้หลายๆประเทศกำลังจะประสบภาวะล้มละลาย และหลายประเทศก็กำลังแสวงหาความช่วยเหลือจาก IMF
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา IMF ได้ประกาศปล่อยเงินกู้ให้ความช่วยเหลือแก่ฮังการีและยูเครนไปแล้ว ในกรณีของฮังการีนั้น อาการค่อนข้างหนัก โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ค่าเงินของฮังการีได้ตกลงอย่างมาก และตลาดหุ้นฮังการี ก็ปั่นป่วนอย่างหนัก จนต้องปิดทำการเป็นเวลา 2 วัน IMF จึงได้ทำข้อตกลงกับสหภาพยุโรป โดยเฉพาะกับเยอรมนี ออสเตรีย อิตาลี และธนาคารโลกในการช่วยกันลงขันเงินกู้ให้กับฮังการี สำหรับในกรณีของยูเครนนั้น เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม IMF ได้ประกาศวงเงินกู้ 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับยูเครน
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตอนที่ 7
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ(ตอนที่ 7)
นโยบายต่อเอเชียของ Obama และ McCain
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 56 ฉบับที่ 5 วันศุกร์ที่ 24 - วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2551
ขณะนี้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐกำลังเข้าโค้งสุดท้ายแล้ว ขณะนี้ Obama มีคะแนนนำ McCain อยู่ เราคงต้องจับตาดูในวันที่ 4 พฤศจิกายนนี้ว่า จะออกหัวออกก้อยอย่างไร แต่สำหรับคอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ จะมาวิเคราะห์ว่า นโยบายของ Obama และ McCain ต่อเอเชียนั้นแตกต่างกันอย่างไร
ภาพรวม
Obama และ McCain นั้น มีความแตกต่างกันอย่างมากในแนวนโยบาย เพราะ Obama เป็นเสรีนิยมและเป็นสายพิราบ ขณะที่ McCain เป็นอนุรักษ์นิยมตัวยง และมีแนวนโยบายต่างประเทศแบบสายเหยี่ยวแบบสุดๆ
นโยบายต่างประเทศของ Obama นั้น เป็นไปตามแนวเสรีนิยมที่เน้นการมองโลกในแง่ดี เน้นการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เน้นสันติภาพและไม่นิยมการใช้กำลัง อย่างไรก็ตาม เมื่อมาดูนโยบายต่างประเทศของ McCain ก็ต่างจาก Obama แบบขาวกับดำ โดย McCain มองว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคสงครามเย็นใหม่ จะเป็นการต่อสู้ระหว่างความดีกับความเลว ระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ McCain มีนโยบายชาตินิยมแบบสุดโต่ง โดยมองว่าสหรัฐมีภารกิจที่ยิ่งใหญ่ คือ การสร้างประชาธิปไตยและต่อต้านเผด็จการทั่วโลก
สำหรับในเอเชียนั้น Obama มองว่าควรจะปฏิรูปนโยบายใหม่ โดยเน้นการพัฒนาสถาบันความร่วมมือในเอเชีย ในอดีต สหรัฐเน้นความสัมพันธ์ทวิภาคีมากเกินไป แต่สำหรับ McCain นโยบายของเขากลับเป็นคนละเรื่องกับ Obama โดย McCain มุ่งเป้าไปที่การเล่นงานประเทศเผด็จการในเอเชีย โดยเฉพาะ เกาหลีเหนือ จีน และพม่า McCain เน้นสร้างพันธมิตรของประเทศประชาธิปไตยในภูมิภาค เพื่อร่วมมือกันเล่นงานประเทศเผด็จการ
Obama ได้โจมตีนโยบายของ Bush ต่อเอเชียว่า เป็นแนวคิดที่ล้าสมัย ให้ความสำคัญกับเรื่องสงครามต่อต้านการก่อการร้ายและอาวุธร้ายแรงมากเกินไป ทำให้เอเชียได้สูญเสียความเชื่อมั่นในการเป็นผู้นำของสหรัฐ สงครามอิรักได้ทำให้สหรัฐไม่สามารถให้ความสำคัญกับเอเชียเท่าที่ควร Obama เชื่อว่า สหรัฐควรจะกลับมาส่งเสริมพันธมิตรและสถาปนาเวทีพหุภาคี และกอบกู้ชื่อเสียงของสหรัฐกลับคืนมาโดยจะต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในเอเชีย โดยเฉพาะการผงาดขึ้นมาของจีนและอินเดีย และแนวโน้มพัฒนาการของสถาบันในภูมิภาค
ในขณะที่ McCain กลับมองว่าสหรัฐจะต้องสานต่อนโยบายของ Bush เน้นการเป็นผู้นำของสหรัฐ โดย McCain กลับมองสวนทางกับ Obama ว่า สหรัฐขณะนี้ได้รับเสียงสนับสนุนจากประเทศในเอเชียเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จีน
สำหรับจีนนั้น McCain มองว่าเป็นศัตรู และจีนกำลังพัฒนากองกำลังทหารขนานใหญ่เพื่อท้าทายสหรัฐและครองความเป็นเจ้าในภูมิภาค จีนเป็นประเทศเผด็จการและเป็นอันธพาลคุกคามไต้หวัน รวมทั้งใกล้ชิดกับประเทศเผด็จการต่างๆทั่วโลก อาทิ พม่า ซูดาน McCain ยังกล่าวหาจีนว่ากำลังพยายามสร้างกลุ่มเอเชียขึ้นมา โดยจะมีจีนเป็นผู้นำ เพื่อกีดกันสหรัฐออกไปจากเอเชีย
แต่สำหรับ Obama มองจีนต่างจาก McCain อย่างสิ้นเชิง โดย Obama มองจีนในแง่บวก และมองว่าการผงาดขึ้นมาของจีน จะทำให้จีนมีบทบาทความรับผิดชอบต่อโลกมากขึ้น Obama มองว่า จะต้องมีการปรับนโยบายใหม่ต่อจีนซึ่งจะต่างจากนโยบายของ Bush ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา สหรัฐกับจีนสามารถร่วมมือกันได้ในหลายๆเรื่อง อย่างเช่น ความร่วมมือในการเจรจา 6 ฝ่าย ในปัญหาเกาหลีเหนือ ปัญหาภาวะโลกร้อนก็ต้องการความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศเป็นอย่างยิ่ง เพราะทั้งจีนและสหรัฐกลายเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด Obama ยังมองว่าจะสร้างความร่วมมือกับจีนในการป้องกันการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน ความร่วมมือในการยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในดาร์ฟู และการส่งเสริมประชาธิปไตย
ในขณะที่ McCain มองจีนในแง่ลบ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนากำลังทหาร นโยบายเศรษฐกิจที่มีลักษณะกีดกันทางการค้า การละเมิดสิทธิมนุษยชน และความสัมพันธ์กับซูดานและพม่า ดังนั้นในสายตาของ McCain ประธานาธิบดีคนใหม่จะต้องสร้างพันธมิตรกับประเทศในเอเชียเพื่อกดดันจีน
ญี่ปุ่น
สำหรับนโยบายต่อญี่ปุ่นนั้น ในสายตาของ McCain ซึ่งมองโลกเป็นขาวกับดำนั้น ก็มองว่าพันธมิตรระหว่างสหรัฐกับญี่ปุ่นจะมีความสำคัญ โดยเฉพาะในกรณีที่จะร่วมมือกันกดดันเกาหลีเหนือและจีน McCain เน้นว่าพันธมิตรระหว่างสหรัฐและญี่ปุ่นจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการมีปฏิสัมพันธ์กับจีน นอกจากนี้ McCain เน้นว่า พันธมิตรสหรัฐ – ญี่ปุ่นไม่เพียงแต่ตั้งอยู่บนผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น แต่ยังตั้งอยู่บนพื้นฐานของค่านิยมร่วมกันอีกด้วย นั่นคือ ค่านิยมประชาธิปไตยซึ่ง McCain ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
ในขณะที่ Obama ก็ให้ความสำคัญกับพันธมิตรสหรัฐ - ญี่ปุ่นเหมือนกัน แต่กลับโจมตีรัฐบาล Bush ว่ากลับไปให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นๆ (อาทิ สงครามอิรัก) จนละเลยความสัมพันธ์กับญี่ปุ่น Obama มองว่าความร่วมมือระหว่างสหรัฐกับญี่ปุ่น ควรเป็นในเชิงบวก โดยร่วมมือกันเผชิญกับสิ่งท้าทายต่างๆของโลก
ผมมองว่าข้อแตกต่างระหว่าง McCain กับ Obama ในประเด็นนี้คือ McCain มองว่าญี่ปุ่นจะเป็นพันธมิตรหลักในการปิดล้อมจีน แต่ Obama ไม่ได้มองในลักษณะนั้น แต่กลับมองว่าพันธมิตรสหรัฐ - ญี่ปุ่นน่าจะมุ่งไปสู่ความร่วมมือกันในการแก้ปัญหาต่างๆของโลก
เกาหลีเหนือ
สำหรับในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือนั้น จุดยืนหลักของ Obama คือการเน้นการเจรจาและสันติวิธี โดยมองว่าการที่รัฐบาล Bush ได้ตัดสินใจถอนเกาหลีเหนือออกจากรายชื่อประเทศที่สนับสนุนการก่อการร้ายนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และมองว่าในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะเผชิญกับภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือด้วยการทูตทั้งพหุภาคีและทวิภาคี
ในขณะที่ McCain มองว่าการทูตอย่างเดียวนั้น ไม่เพียงพอ และเขาไม่คิดว่าเกาหลีเหนือจะยอมยุติการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ด้วยการเจรจาอย่างเดียว โดย McCain สนับสนุนให้มีความร่วมมือกับพันธมิตรอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกับเกาหลีใต้และญี่ปุ่น รวมทั้งมาตรการจากคณะมนตรีความมั่นคง
ข้อแตกต่างที่สำคัญที่ผมเห็นคือ Obama จะเน้นการทูต รวมทั้งการเจรจา 2 ฝ่าย ซึ่ง McCain ไม่เห็นด้วย ในขณะที่ McCain มองว่า การจัดการเกาหลีเหนือนั้นจะต้องใช้มาตรการอย่างอื่น นอกเหนือจากการทูต
การค้า
McCain มีนโยบายต่างประเทศด้านการเมืองความมั่นคงแบบสายเหยี่ยว แต่สำหรับด้านการค้านั้น McCain มีจุดยืนด้านการค้าเหมือนอนุรักษ์นิยมคนอื่นๆ คือเน้นการค้าเสรี โดย McCain ประกาศสนับสนุนการค้าเสรีอย่างเต็มที่ และจะขยายการทำ FTA กับประเทศต่างๆทั่วโลก สำหรับในเอเชีย McCain มองว่าสหรัฐควรจะเป็นผู้นำในการเปิดเสรีการค้าในเอเชีย ด้วยการเดินหน้าเจรจา FTA กับมาเลเซียและไทยต่อ โดยมองว่า FTA ที่สหรัฐเซ็นกับประเทศในเอเชียไปแล้ว คือ กับสิงคโปร์ เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย ทำให้สหรัฐได้รับผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ McCain ได้กล่าวโจมตีนักการเมืองสหรัฐที่ต่อต้าน FTA ซึ่งรวมถึง Obama ด้วย
สำหรับ Obama นั้น มีท่าทีต่อต้าน FTA มากขึ้น โดยมองว่า FTA ส่งผลกระทบในทางลบต่อคนงานในสหรัฐ และประกาศต่อต้านเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ หรือ NAFTA เพื่อเป็นการเอาใจคนงานอเมริกันซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเดโมแครต Obama เน้นว่า หากสหรัฐจะเจรจา FTA ต่อ ก็ควรเป็น FTA ที่มีคุณภาพ และควรมีเนื้อหาเชื่อมโยงการค้ากับมาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อมด้วย
นโยบายต่อเอเชียของ Obama และ McCain
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 56 ฉบับที่ 5 วันศุกร์ที่ 24 - วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2551
ขณะนี้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐกำลังเข้าโค้งสุดท้ายแล้ว ขณะนี้ Obama มีคะแนนนำ McCain อยู่ เราคงต้องจับตาดูในวันที่ 4 พฤศจิกายนนี้ว่า จะออกหัวออกก้อยอย่างไร แต่สำหรับคอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ จะมาวิเคราะห์ว่า นโยบายของ Obama และ McCain ต่อเอเชียนั้นแตกต่างกันอย่างไร
ภาพรวม
Obama และ McCain นั้น มีความแตกต่างกันอย่างมากในแนวนโยบาย เพราะ Obama เป็นเสรีนิยมและเป็นสายพิราบ ขณะที่ McCain เป็นอนุรักษ์นิยมตัวยง และมีแนวนโยบายต่างประเทศแบบสายเหยี่ยวแบบสุดๆ
นโยบายต่างประเทศของ Obama นั้น เป็นไปตามแนวเสรีนิยมที่เน้นการมองโลกในแง่ดี เน้นการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เน้นสันติภาพและไม่นิยมการใช้กำลัง อย่างไรก็ตาม เมื่อมาดูนโยบายต่างประเทศของ McCain ก็ต่างจาก Obama แบบขาวกับดำ โดย McCain มองว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคสงครามเย็นใหม่ จะเป็นการต่อสู้ระหว่างความดีกับความเลว ระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ McCain มีนโยบายชาตินิยมแบบสุดโต่ง โดยมองว่าสหรัฐมีภารกิจที่ยิ่งใหญ่ คือ การสร้างประชาธิปไตยและต่อต้านเผด็จการทั่วโลก
สำหรับในเอเชียนั้น Obama มองว่าควรจะปฏิรูปนโยบายใหม่ โดยเน้นการพัฒนาสถาบันความร่วมมือในเอเชีย ในอดีต สหรัฐเน้นความสัมพันธ์ทวิภาคีมากเกินไป แต่สำหรับ McCain นโยบายของเขากลับเป็นคนละเรื่องกับ Obama โดย McCain มุ่งเป้าไปที่การเล่นงานประเทศเผด็จการในเอเชีย โดยเฉพาะ เกาหลีเหนือ จีน และพม่า McCain เน้นสร้างพันธมิตรของประเทศประชาธิปไตยในภูมิภาค เพื่อร่วมมือกันเล่นงานประเทศเผด็จการ
Obama ได้โจมตีนโยบายของ Bush ต่อเอเชียว่า เป็นแนวคิดที่ล้าสมัย ให้ความสำคัญกับเรื่องสงครามต่อต้านการก่อการร้ายและอาวุธร้ายแรงมากเกินไป ทำให้เอเชียได้สูญเสียความเชื่อมั่นในการเป็นผู้นำของสหรัฐ สงครามอิรักได้ทำให้สหรัฐไม่สามารถให้ความสำคัญกับเอเชียเท่าที่ควร Obama เชื่อว่า สหรัฐควรจะกลับมาส่งเสริมพันธมิตรและสถาปนาเวทีพหุภาคี และกอบกู้ชื่อเสียงของสหรัฐกลับคืนมาโดยจะต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในเอเชีย โดยเฉพาะการผงาดขึ้นมาของจีนและอินเดีย และแนวโน้มพัฒนาการของสถาบันในภูมิภาค
ในขณะที่ McCain กลับมองว่าสหรัฐจะต้องสานต่อนโยบายของ Bush เน้นการเป็นผู้นำของสหรัฐ โดย McCain กลับมองสวนทางกับ Obama ว่า สหรัฐขณะนี้ได้รับเสียงสนับสนุนจากประเทศในเอเชียเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จีน
สำหรับจีนนั้น McCain มองว่าเป็นศัตรู และจีนกำลังพัฒนากองกำลังทหารขนานใหญ่เพื่อท้าทายสหรัฐและครองความเป็นเจ้าในภูมิภาค จีนเป็นประเทศเผด็จการและเป็นอันธพาลคุกคามไต้หวัน รวมทั้งใกล้ชิดกับประเทศเผด็จการต่างๆทั่วโลก อาทิ พม่า ซูดาน McCain ยังกล่าวหาจีนว่ากำลังพยายามสร้างกลุ่มเอเชียขึ้นมา โดยจะมีจีนเป็นผู้นำ เพื่อกีดกันสหรัฐออกไปจากเอเชีย
แต่สำหรับ Obama มองจีนต่างจาก McCain อย่างสิ้นเชิง โดย Obama มองจีนในแง่บวก และมองว่าการผงาดขึ้นมาของจีน จะทำให้จีนมีบทบาทความรับผิดชอบต่อโลกมากขึ้น Obama มองว่า จะต้องมีการปรับนโยบายใหม่ต่อจีนซึ่งจะต่างจากนโยบายของ Bush ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา สหรัฐกับจีนสามารถร่วมมือกันได้ในหลายๆเรื่อง อย่างเช่น ความร่วมมือในการเจรจา 6 ฝ่าย ในปัญหาเกาหลีเหนือ ปัญหาภาวะโลกร้อนก็ต้องการความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศเป็นอย่างยิ่ง เพราะทั้งจีนและสหรัฐกลายเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด Obama ยังมองว่าจะสร้างความร่วมมือกับจีนในการป้องกันการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน ความร่วมมือในการยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในดาร์ฟู และการส่งเสริมประชาธิปไตย
ในขณะที่ McCain มองจีนในแง่ลบ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนากำลังทหาร นโยบายเศรษฐกิจที่มีลักษณะกีดกันทางการค้า การละเมิดสิทธิมนุษยชน และความสัมพันธ์กับซูดานและพม่า ดังนั้นในสายตาของ McCain ประธานาธิบดีคนใหม่จะต้องสร้างพันธมิตรกับประเทศในเอเชียเพื่อกดดันจีน
ญี่ปุ่น
สำหรับนโยบายต่อญี่ปุ่นนั้น ในสายตาของ McCain ซึ่งมองโลกเป็นขาวกับดำนั้น ก็มองว่าพันธมิตรระหว่างสหรัฐกับญี่ปุ่นจะมีความสำคัญ โดยเฉพาะในกรณีที่จะร่วมมือกันกดดันเกาหลีเหนือและจีน McCain เน้นว่าพันธมิตรระหว่างสหรัฐและญี่ปุ่นจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการมีปฏิสัมพันธ์กับจีน นอกจากนี้ McCain เน้นว่า พันธมิตรสหรัฐ – ญี่ปุ่นไม่เพียงแต่ตั้งอยู่บนผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น แต่ยังตั้งอยู่บนพื้นฐานของค่านิยมร่วมกันอีกด้วย นั่นคือ ค่านิยมประชาธิปไตยซึ่ง McCain ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
ในขณะที่ Obama ก็ให้ความสำคัญกับพันธมิตรสหรัฐ - ญี่ปุ่นเหมือนกัน แต่กลับโจมตีรัฐบาล Bush ว่ากลับไปให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นๆ (อาทิ สงครามอิรัก) จนละเลยความสัมพันธ์กับญี่ปุ่น Obama มองว่าความร่วมมือระหว่างสหรัฐกับญี่ปุ่น ควรเป็นในเชิงบวก โดยร่วมมือกันเผชิญกับสิ่งท้าทายต่างๆของโลก
ผมมองว่าข้อแตกต่างระหว่าง McCain กับ Obama ในประเด็นนี้คือ McCain มองว่าญี่ปุ่นจะเป็นพันธมิตรหลักในการปิดล้อมจีน แต่ Obama ไม่ได้มองในลักษณะนั้น แต่กลับมองว่าพันธมิตรสหรัฐ - ญี่ปุ่นน่าจะมุ่งไปสู่ความร่วมมือกันในการแก้ปัญหาต่างๆของโลก
เกาหลีเหนือ
สำหรับในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือนั้น จุดยืนหลักของ Obama คือการเน้นการเจรจาและสันติวิธี โดยมองว่าการที่รัฐบาล Bush ได้ตัดสินใจถอนเกาหลีเหนือออกจากรายชื่อประเทศที่สนับสนุนการก่อการร้ายนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และมองว่าในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะเผชิญกับภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือด้วยการทูตทั้งพหุภาคีและทวิภาคี
ในขณะที่ McCain มองว่าการทูตอย่างเดียวนั้น ไม่เพียงพอ และเขาไม่คิดว่าเกาหลีเหนือจะยอมยุติการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ด้วยการเจรจาอย่างเดียว โดย McCain สนับสนุนให้มีความร่วมมือกับพันธมิตรอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกับเกาหลีใต้และญี่ปุ่น รวมทั้งมาตรการจากคณะมนตรีความมั่นคง
ข้อแตกต่างที่สำคัญที่ผมเห็นคือ Obama จะเน้นการทูต รวมทั้งการเจรจา 2 ฝ่าย ซึ่ง McCain ไม่เห็นด้วย ในขณะที่ McCain มองว่า การจัดการเกาหลีเหนือนั้นจะต้องใช้มาตรการอย่างอื่น นอกเหนือจากการทูต
การค้า
McCain มีนโยบายต่างประเทศด้านการเมืองความมั่นคงแบบสายเหยี่ยว แต่สำหรับด้านการค้านั้น McCain มีจุดยืนด้านการค้าเหมือนอนุรักษ์นิยมคนอื่นๆ คือเน้นการค้าเสรี โดย McCain ประกาศสนับสนุนการค้าเสรีอย่างเต็มที่ และจะขยายการทำ FTA กับประเทศต่างๆทั่วโลก สำหรับในเอเชีย McCain มองว่าสหรัฐควรจะเป็นผู้นำในการเปิดเสรีการค้าในเอเชีย ด้วยการเดินหน้าเจรจา FTA กับมาเลเซียและไทยต่อ โดยมองว่า FTA ที่สหรัฐเซ็นกับประเทศในเอเชียไปแล้ว คือ กับสิงคโปร์ เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย ทำให้สหรัฐได้รับผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ McCain ได้กล่าวโจมตีนักการเมืองสหรัฐที่ต่อต้าน FTA ซึ่งรวมถึง Obama ด้วย
สำหรับ Obama นั้น มีท่าทีต่อต้าน FTA มากขึ้น โดยมองว่า FTA ส่งผลกระทบในทางลบต่อคนงานในสหรัฐ และประกาศต่อต้านเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ หรือ NAFTA เพื่อเป็นการเอาใจคนงานอเมริกันซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเดโมแครต Obama เน้นว่า หากสหรัฐจะเจรจา FTA ต่อ ก็ควรเป็น FTA ที่มีคุณภาพ และควรมีเนื้อหาเชื่อมโยงการค้ากับมาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อมด้วย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)