ยุทธศาสตร์ทหารสหรัฐปี 2010 – 2014 : ผลกระทบต่อโลก
ไทยโพสต์ วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2553 หน้า 4
ทุกๆ 4 ปี กระทรวงกลาโหมสหรัฐ จะจัดทำรายงานยุทธศาสตร์ทหาร สำหรับในช่วง 4 ปีข้างหน้า และในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2010 นี้ ได้มีการเผยแพร่เอกสารยุทธศาสตร์ทหารล่าสุด ประจำปี 2010 – 2014 เอกสารดังกล่าวมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Quadrennial Defense Review (QDR) คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้ จะสรุปวิเคราะห์เอกสารดังกล่าว โดยจะวิเคราะห์ถึงยุทธศาสตร์ทหารสหรัฐในอนาคต และผลกระทบต่อโลกดังนี้
สภาวะแวดล้อมระหว่างประเทศ
เอกสารดังกล่าวได้เริ่มด้วยการวิเคราะห์สภาวะแวดล้อมระหว่างประเทศที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกวิเคราะห์ สภาวะแวดล้อมปัจจุบัน และส่วนที่สอง วิเคราะห์แนวโน้มในอนาคต
สำหรับสภาวะแวดล้อมในปัจจุบันนั้น เอกสาร QDR ระบุว่า สหรัฐยังเป็นประเทศที่ยังมีสงครามอยู่ และผลของสงครามนี้ จะกำหนดสภาวะแวดล้อมความมั่นคงโลกในอนาคต โดยกระทรวงกลาโหมให้ความสำคัญมากที่สุดสำหรับชัยชนะต่อสงครามนี้
สงครามดังกล่าวคือ สงครามต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งในขณะนี้ สมรภูมิหลักอยู่ที่อัฟกานิสถานและปากีสถาน สหรัฐและพันธมิตร กำลังเพิ่มบทบาทในการช่วยรัฐบาลทั้งสองเพื่อเอาชนะกลุ่มก่อการร้ายโดยเฉพาะ Al-Qaeda ภายในปี 2010 สหรัฐจะเพิ่มทหารเป็นถึง 1 แสนคนในสมรภูมิอัฟกานิสถาน เพื่อเอาชนะ Al-Qaeda และตาลีบัน
สำหรับในสมรภูมิปากีสถานนั้น เชื่อมโยงกับสงครามในอัฟกานิสถาน สหรัฐจะช่วยเหลือปากีสถานในการเอาชนะผู้ก่อการร้าย
แม้ว่าสมรภูมิหลักจะอยู่ที่อัฟกานิสถานและปากีสถาน แต่สงครามต่อต้านการก่อการร้ายโดยเฉพาะกับกลุ่ม Al-Qaeda แพร่ขยายไปทั่วโลก โดยกลุ่มก่อการร้ายได้มีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา และยังคงเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐและพันธมิตร
สำหรับสภาวะแวดล้อมในอนาคตนั้น เอกสาร QDR ได้วิเคราะห์ว่า ดุลแห่งอำนาจทางทหาร เศรษฐกิจ และการเมืองโลก กำลังมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะการแพร่กระจายของอำนาจโดยเฉพาะการผงาดขึ้นมาของจีนและอินเดีย จะส่งผลกระทบต่อระบบโลกในอนาคต แม้ว่าสหรัฐจะยังคงเป็นประเทศที่มีพลังอำนาจมากที่สุด แต่สหรัฐก็จะต้องร่วมมือกับพันธมิตรมากขึ้นเรื่อยๆ คำถามที่สำคัญคือ มหาอำนาจใหม่จะบูรณาการเข้ากับระบบโลกอย่างไร
แนวโน้มอีกประการคือ ตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐจะมีบทบาทและอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โลกาภิวัตน์ ได้เปลี่ยนแปลงกระบวนการในเรื่องของการแพร่กระจายของเทคโนโลยี ซึ่งจะทำให้ตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐมีบทบาทมากขึ้น
แนวโน้มที่สหรัฐเป็นห่วงมากที่สุด คือ การแพร่ขยายของอาวุธร้ายแรง หลายประเทศพยายามจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ กลุ่มก่อการร้ายก็พยายามจะมีอาวุธร้ายแรง และแนวโน้มที่อันตรายที่สุดคือ การที่รัฐที่มีอาวุธร้ายแรงล่มสลาย ซึ่งจะนำไปสู่การแพร่ขยายของอาวุธร้ายแรง และพัฒนาไปสู่วิกฤติการณ์ความมั่นคงโลก ที่จะเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐ
แนวโน้มสุดท้าย คือ ความขัดแย้งในรูปแบบใหม่ในอนาคต ที่จะมีสาเหตุมาจากวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ ความต้องการพลังงาน ภาวะโลกร้อน การแพร่ระบาดของเชื้อโรค รวมทั้งความขัดแย้งทางด้านวัฒนธรรม
ยุทธศาสตร์ทหารสหรัฐ
จากการประเมินสภาวะแวดล้อมดังกล่าวข้างต้น เอกสาร QDR ได้กำหนดยุทธศาสตร์สหรัฐในช่วง 4 ปีข้างหน้า โดยมี 3 ยุทธศาสตร์หลัก
· ยุทธศาสตร์การชนะสงคราม
ยุทธศาสตร์ทหารที่สำคัญที่สุดคือ จะต้องชนะสงคราม ซึ่งตามที่ได้กล่าวข้างต้น สงครามขณะนี้ คือ สงครามต่อต้านการก่อการร้ายที่รบกับ Al-Qaeda และตาลีบัน ในอัฟกานิสถานและปากีสถาน ซึ่งจะมียุทธศาสตร์ย่อยดังนี้
- โต้กลับการรุกคืบของตาลีบันโดยใช้กำลังทหารสหรัฐร่วมกับ NATO
- ปฏิเสธไม่ให้ตาลีบันเข้ายึดครองเมืองและเขตเศรษฐกิจ
- รุกคืบเข้าไปในเขตรอบนอกที่ตาลีบันยึดครองอยู่ และป้องกันไม่ให้ Al-Qaeda กลับมาตั้งแหล่งซ่องสุมใหม่ในอัฟกานิสถาน
- ทำให้สมรรถภาพของตาลีบันลดลงในระดับที่กองกำลังของอัฟกานิสถานจะจัดการได้ โดยตั้งเป้าไว้ภายในเดือนกรกฎาคม 2011
การที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว จำเป็นต้องมีการเพิ่มกำลังทหารเข้าไป โดยจะมีการเพิ่มกำลังทหารให้ได้ประมาณ 1 แสนคน
· ยุทธศาสตร์ป้องกันและป้องปรามความขัดแย้ง
ยุทธศาสตร์นี้จะป้องกันสหรัฐจากการถูกโจมตี และป้องปรามศัตรู ส่งเสริมความมั่นคงในระดับภูมิภาค และการเข้าถึงเขตสากล (global commons อาทิ อวกาศ น่านน้ำสากล ขั้วโลกใต้) โดยจะต้องมีการให้ความช่วยเหลือพันธมิตรในการส่งเสริมสมรรถภาพทางทหาร แต่เอกสาร QDR เน้นว่า อำนาจอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐจะยังเป็นแกนหลักของยุทธศาสตร์การป้องกันและการป้องปราม โดยสหรัฐจะยังคงมีอาวุธนิวเคลียร์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องปรามการโจมตีสหรัฐและพันธมิตร นอกจากนี้ สหรัฐจะช่วยเหลือพันธมิตร ด้วยการจัดตั้งระบบป้องปรามในระดับภูมิภาค ด้วยการคงกองกำลังทหารสหรัฐ ระบบป้องกันขีปนาวุธ และระบบป้องปรามอาวุธนิวเคลียร์
· ยุทธศาสตร์การชนะสงครามในรูปแบบใหม่ๆ
ถ้าการป้องปรามล้มเหลวและศัตรูข่มขู่หรือใช้กำลัง สหรัฐก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะตอบโต้ โดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้งในอนาคตที่จะมีความหลากหลาย ซึ่งรวมถึง
- การเอาชนะกลุ่มก่อการร้าย โดยเฉพาะ Al-Qaeda และพันธมิตร
- การเอาชนะการรุกรานจากรัฐศัตรู
- การป้องกันอาวุธร้ายแรง โดยเฉพาะการป้องกันไม่ให้ศัตรูที่ไม่ใช่รัฐมีอาวุธร้ายแรง
- ช่วยเหลือรัฐที่อ่อนแอในการเผชิญกับภัยคุกคามจากการก่อการร้าย
- เตรียมพร้อมทำสงครามในอินเตอร์เน็ต
บทวิเคราะห์
· ภาพรวม : เมื่อผมอ่านยุทธศาสตร์ทหารสหรัฐ ฉบับล่าสุดปี 2010 นี้ ก็มีความรู้สึกว่า นโยบายทหารของรัฐบาล Obama ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยจากรัฐบาล Bush ยุทธศาสตร์ทหารที่ได้สรุปมาเห็นได้ชัดว่า มีแนวคิดแบบสัจนิยมสายเหยี่ยวไม่ต่างจากรัฐบาล Bush นับเป็นความน่าผิดหวังอย่างยิ่งต่อนโยบายทหารของรัฐบาล Obama เพราะนับตั้งแต่ Obama ได้เข้ามาเป็นประธานาธิบดี และ 1 ปีที่ผ่านมา Obama พยายามที่จะฉายภาพลักษณ์ว่า เขากำลังจะปฏิรูปนโยบายต่างประเทศสหรัฐใหม่ และโลกกำลังจะเข้าสู่ยุคใหม่ของความร่วมมือ ที่ผ่านมา นโยบายต่างประเทศของ Obama นั้น เป็นแนวเสรีนิยมและอุดมคตินิยม ซึ่งเป็นการมองโลกในแง่ดี แต่ผมได้เคยคาดการณ์ไว้แล้วว่า แนวนโยบายอุดมคตินิยมคงจะประสบปัญหาแน่ ทั้งนี้ เพราะธรรมชาติของการเมืองโลกนั้น สวนทางกับแนวคิดของ Obama คือในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น เป็นโลกแห่งสัจนิยมที่มองโลกในแง่ร้าย และมักจะมองประเทศอื่นว่า เป็นศัตรู การเมืองโลกจึงเต็มไปด้วยการแข่งขันและความขัดแย้ง และผมว่า ขณะนี้ Obama คงไม่สามารถหลีกหนีตรรกะของการเมืองโลกไปได้ จากนโยบายทหารล่าสุดชี้ให้เห็นว่า Obama กำลังจะมีแนวคิดเป็นสัจนิยมมากขึ้นทุกที ผมมองว่า โดยภาพรวมแล้ว ยุทธศาสตร์ทหารล่าสุดปี 2010 นี้ ชี้ให้เห็นว่า สหรัฐกำลังจะกลับมามีแนวนโยบายสายเหยี่ยวอีกครั้ง ซึ่งคงจะส่งผลกระทบต่อโลกในทางลบอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
· จากเอกสาร QDR ฉบับนี้ ชี้ให้เห็นว่า สหรัฐยังคงมองภัยคุกคามที่สำคัญที่สุดคือ ขบวนการก่อการร้ายมุสลิมหัวรุนแรง และมองว่าอัฟกานิสถานและปากีสถานเป็นสมรภูมิที่สำคัญที่สุดที่ต้องเอาชนะให้ได้ แต่ผมมองว่า ตราบใดที่อเมริกายังคงมุ่งใช้กำลังทหารในการแก้ปัญหาการก่อการร้าย ปัญหาคงลุกลามบานปลายไม่จบ มีแนวโน้มว่าการก่อการร้ายจะลุกลามขยายตัว โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง เยเมน และโซมาเลีย และสงครามอัฟกานิสถานถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ของสหรัฐ เป็นการบ้านชิ้นยากที่สุดของ Obama การที่กระทรวงกลาโหมจะเพิ่มกำลังทหารเป็น 1 แสนคนนั้น ถือเป็นเกมที่ค่อนข้างเสี่ยงมาก เพราะไม่รู้ว่าจะออกหัวออกก้อย คือถ้าเป็นแบบอิรัก ก็อาจจะประสบชัยชนะ แต่ก็ไม่รู้จะซ้ำรอยสงครามเวียดนามหรือไม่ และสำหรับสมรภูมิปากีสถาน ก็หนักหนาสาหัสเช่นเดียวกัน การสู้รบกำลังเข้าสู่จุดวิกฤติ และนักรบตาลีบันได้รุกคืบเข้าใกล้เมืองหลวงของปากีสถานมากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้มีความหวาดวิตกมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงความปลอดภัยของอาวุธนิวเคลียร์ในปากีสถาน ซึ่งสิ่งที่อเมริกาห่วงที่สุดคือ การที่อาวุธนิวเคลียร์จะตกอยู่ในมือของผู้ก่อการร้าย
· เป็นที่น่าสังเกตว่าในยุทธศาสตร์ทหารสหรัฐล่าสุด แทบจะไม่มีการระบุชื่อประเทศที่สหรัฐมองว่าเป็นศัตรู ทั้งนี้ อาจเป็นความพยายามของรัฐบาล Obama ที่จะลดดีกรีของความเป็นสายเหยี่ยวลงเมื่อเทียบกับรัฐบาล Bush แต่ถึงแม้จะไม่ได้ระบุชื่อประเทศ แต่อเมริกาก็มีชื่อประเทศอยู่ในใจคือ มีวาระซ่อนเร้นอยู่มาก ตัวอย่างเช่น จีน ซึ่งเอกสาร QDR อาจไม่ได้ระบุว่าเป็นศัตรู แต่ลึกๆแล้ว ทหารสหรัฐยังมองว่าจีนเป็นศัตรู และวาระซ่อนเร้นคือ ยุทธศาสตร์การปิดล้อมจีนทางทหาร ซึ่งยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีนนั้น ก็ไม่ได้มีการระบุในเอกสาร QDR อย่างเปิดเผย ผมมองว่า มีวาระซ่อนเร้นหรือยุทธศาสตร์ที่ไม่เปิดเผยอีกหลายเรื่อง รวมทั้งยุทธศาสตร์การสกัดกั้นอิทธิพลของรัสเซีย ก็ไม่ได้เปิดเผยออกมา
· อีกเรื่องที่ดูขัดกันมาก คือก่อนหน้านี้ Obama ประกาศอย่างสวยหรูว่าจะทำให้โลกปราศจากอาวุธนิวเคลียร์ แต่ยุทธศาสตร์ทหารล่าสุดของสหรัฐกลับเน้นว่า อาวุธนิวเคลียร์จะยังคงเป็นแกนหลักของพลังอำนาจทางทหารของสหรัฐต่อไป
· สุดท้าย ไทยก็อาจจะได้อานิสงค์ โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ทหารสหรัฐปี 2010 นี้ เน้นหลายครั้งเหลือเกินว่า สหรัฐจะต้องร่วมมือกับพันธมิตร โดยสหรัฐคงจะรู้ตัวดีว่า ในระยะยาว อำนาจของสหรัฐคงจะเสื่อมลงเรื่อยๆ จึงต้องสร้างแนวร่วมและพันธมิตรทางทหารเพิ่มขึ้น และไทยก็เผอิญเป็นหนึ่งในพันธมิตรทางทหารของสหรัฐในภูมิภาค ดังนั้น แนวโน้มคือสหรัฐน่าจะให้ความสำคัญกับไทยมากขึ้น โดยเฉพาะความร่วมมือทางทหารในอนาคต
วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ความขัดแย้งจีน - สหรัฐฯ ปี 2010
ความขัดแย้งจีน-สหรัฐ ปี 2010
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 57 ฉบับที่ 22 วันศุกร์ที่ 19 - วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2553 หน้า 32-33
เมื่อเร็วๆนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐ ซึ่งถือได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ทวิภาคีที่สำคัญที่สุดในโลก ได้เข้าสู่จุดวิกฤติ โดยได้เกิดความขัดแย้งระหว่างกันหลายเรื่อง คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ จะวิเคราะห์ประเด็นความขัดแย้ง และสาเหตุของความขัดแย้งดังนี้
ประเด็นความขัดแย้ง
ความสัมพันธ์สหรัฐ-จีนในสมัยรัฐบาล Obama โดยเฉพาะในช่วงปีที่แล้ว ถือได้ว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีมาก โดยเฉพาะผลการเยือนจีนของ Obama ในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ดูได้จากแถลงการณ์ร่วม ที่ได้มีการประกาศขยายความร่วมมือไปมากมายหลายสาขา อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ นับเป็นความสำเร็จในนโยบายปฏิสัมพันธ์และเน้นความร่วมมือกับจีน
แต่อยู่ๆ ตั้งแต่ในช่วงปลายเดือนมกราคมปีนี้ ความสัมพันธ์ก็เกิดพลิกผันกลับตาลปัตรกันหมด โดยเริ่มมาจากกรณี Google ประกาศถอนตัวออกจากจีน และที่เป็นประเด็นทำให้เกิดความขัดแย้งกันอย่างหนักคือ การที่สหรัฐประกาศขายอาวุธให้กับไต้หวัน และยังมีเรื่อง ดาไล ลามะ ความขัดแย้งทางการค้า และการคว่ำบาตรอิหร่าน
ความขัดแย้งเรื่องแรก เกิดขึ้นในเดือนมกราคม โดยบริษัท Google ได้ประกาศที่จะถอนตัวออกจากจีน โดยอ้างว่าถูกล้วงข้อมูลและถูกรัฐบาลจีนเซนเซอร์ ต่อมารัฐบาลสหรัฐได้ออกมาสนับสนุนท่าทีของ Google โดย Hillary Clinton ได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีนที่เซนเซอร์อินเตอร์เน็ต ต่อมา Obama มีท่าทีว่า รู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับกรณีของ Google ในจีน และกำลังแสวงหาคำตอบจากรัฐบาลจีน แต่รัฐบาลจีนก็ได้ตอบกลับว่า บริษัทต่างชาติจะสามารถทำธุรกิจในจีนได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของจีน และสหรัฐควรจะยุติการกล่าวหาที่ไม่มีมูล
ต่อมา เมื่อปลายเดือนมกราคม ก็ได้เกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ระหว่างสหรัฐกับจีน โดยรัฐบาล Obama ได้ประกาศว่า จะขายอาวุธให้กับไต้หวัน คิดเป็นมูลค่า 6 พันล้านเหรียญ ซึ่งสหรัฐมองว่า การขายอาวุธดังกล่าวมีความจำเป็นเพื่อการป้องกันไต้หวัน โดยภายใต้ Taiwan Relations Act ปี 1979 รัฐบาลสหรัฐจะต้องจัดหาอาวุธให้กับไต้หวัน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนก็ได้ออกมาตอบโต้อย่างรุนแรง โดยได้เรียกทูตสหรัฐประจำกรุงปักกิ่ง และประท้วงว่าสหรัฐแทรกแซงกิจการภายในของจีน จีนประกาศจะตัดความสัมพันธ์ทางทหาร และประกาศมาตรการคว่ำบาตรบริษัทสหรัฐที่ขายอาวุธให้กับไต้หวัน โดยบริษัทที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ Boeing ซึ่งในปัจจุบัน จีนใช้เครื่องบิน Boeing กว่าครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ จีนยังได้ขู่ด้วยว่าความร่วมมือในการแก้ปัญหาต่างๆ ของโลก ก็จะได้รับผลกระทบ
เรื่องต่อมาที่จีนกับสหรัฐกำลังขัดแย้งกัน คือ เรื่องธิเบต โดยรัฐบาล Obama ได้ประกาศว่า Obama จะพบปะกับ ดาไล ลามะ ที่ทำเนียบขาวในวันที่ 18 กุมภาพันธ์นี้ โดยสหรัฐได้บอกว่า ตั้งแต่ปี 1990 ประธานาธิบดีของสหรัฐทุกคนได้พบปะกับ ดาไล ลามะ จึงถือเป็นเรื่องปกติ และ ดาไล ลามะก็เป็นผู้นำจิตวิญญาณชาวธิเบตที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก อย่างไรก็ตาม จีนได้ตอบโต้ว่า การพบปะจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อความสัมพันธ์จีน-สหรัฐ โดยโฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนได้ประกาศคัดค้านการพบปะและขอให้สหรัฐเข้าใจว่า ปัญหาธิเบตมีความละเอียดอ่อนมาก และขอให้สหรัฐยอมรับว่าธิเบตเป็นส่วนหนึ่งของจีน จีนจึงขอให้ยกเลิกการพบปะดังกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อความสัมพันธ์
ต่อมาก็เป็นเรื่อง ความขัดแย้งทางการค้า ซึ่งกำลังเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ โดยเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ กระทรวงพาณิชย์จีนได้ออกแถลงการณ์โจมตีสหรัฐว่า กำลังมีมาตรการปกป้องทางการค้าเพิ่มมากขึ้น และจีนก็ตกเป็นเหยื่อของมาตรการที่ไม่เป็นธรรม ทั้งสองประเทศ ขณะนี้ กำลังทำสงครามการค้า โดยการขึ้นภาษีตอบโต้สินค้าของกันและกัน ในส่วนของอเมริกา ก็กล่าวหาจีนหลายเรื่อง โดยเฉพาะในกรณีค่าเงินหยวนของจีนซึ่งอเมริกามองว่า มีค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ทำให้สินค้าจีนได้เปรียบ นอกจากนี้ กฎหมายสหรัฐได้ระบุให้กระทรวงการคลัง ทำรายงานระบุประเทศ ที่มีนโยบายค่าเงินที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐ ซึ่งกระทรวงการคลังจะต้องประกาศภายในวันที่ 25 เมษายนนี้ จึงเป็นไปได้ว่าในฝ่ายจีน คงจะพยายามเพิ่มค่าเงินหยวนประมาณ 3-5% เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการตอบโต้จากกฎหมายดังกล่าว แต่การเพิ่มค่าเงินหยวนเพียง 3% คงจะลดแรงกดดันได้ชั่วคราวเท่านั้น เพราะท่าทีของสหรัฐต้องการให้จีนเพิ่มค่าเงินหยวนมากกว่านี้
เรื่องการคว่ำบาตรอิหร่าน ก็เป็นอีกเรื่องที่จีนกับสหรัฐกำลังขัดแย้งกัน โดยสหรัฐมองว่า จีนไม่ให้ความร่วมมือต่อข้อเสนอของสหรัฐ ในการเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านในคณะมนตรีความมั่นคง แต่สำหรับจีนนั้น มีผลประโยชน์หลายเรื่องในอิหร่าน โดยเฉพาะจีนนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านเป็นอันดับ 2 รองจากซาอุดีอาระเบีย และจีนยังมีโครงการที่จะเข้าไปสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติหลายแห่ง ดูเหมือนว่าจีนพยายามเชื่อมเรื่องอิหร่านกับเรื่องไต้หวัน โดยจีนพยายามกดดันสหรัฐให้ยุติการขายอาวุธให้กับไต้หวัน เพื่อแลกกับความร่วมมือของจีนในการคว่ำบาตรอิหร่าน
นอกจากนี้ ความขัดแย้งยังอาจส่งผลกระทบต่อแผนการเยือนของบุคคลสำคัญ โดย Robert Gates รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐอาจจะยกเลิกการเยือนจีน เช่นเดียวกับทางจีน ประธานาธิบดี Hu Jin Tao อาจจะยกเลิกการเยือนสหรัฐในปีนี้ และการแลกเปลี่ยนการติดต่อระหว่างผู้นำทหารระดับสูงก็อาจจะยุติลง
บทวิเคราะห์
คำถามใหญ่คือ เกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์จีน-สหรัฐ อะไรเป็นสาเหตุให้อยู่ดีๆความสัมพันธ์ก็เกิดพลิกผันกลับตาลปัตร
ผมมองว่า มีปัจจัยหรือสาเหตุสองระดับ ระดับแรก เป็น immediate cause หรือสาเหตุที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆในขณะนี้ และ underlying cause หรือสาเหตุพื้นฐาน
สำหรับสาเหตุที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น อาจเป็นไปได้ว่า Obama อาจจะต้องการลดกระแสการโจมตีจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่มองว่า Obama ยอมจีนมากเกินไป จึงหันกลับมาใช้ไม้แข็งกับจีน และอีกสาเหตุหนึ่ง อาจจะมาจากปฏิกิริยาของสหรัฐต่อท่าทีของจีนในเรื่องต่างๆ ที่สหรัฐมองว่า มีท่าทีในเชิงลบและแข็งกร้าว ตัวอย่างเช่น ท่าทีของจีนในการเจรจาภาวะโลกร้อนที่ Copenhagen ซึ่งจีนมีท่าทีแข็งกร้าวมาก และไม่ร่วมมือกับสหรัฐ จีนไม่ยอมร่วมมือในการคว่ำบาตรอิหร่าน การประกาศขายอาวุธให้ไต้หวันอาจจะเป็นความพยายามส่งสัญญาณว่า Obama ก็แข็งกร้าวได้เหมือนกัน คือจะไม่ใช่ยอมจีนในทุกๆเรื่อง
ในส่วนของจีนนั้น ท่าทีที่แข็งกร้าวมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะ จีนอยากจะลอง test รัฐบาล Obama ว่าจะยอมอ่อนข้อให้จีนได้แค่ไหน โดยจีนอาจจะตีความว่า หนึ่งปีที่ผ่านมา รัฐบาล Obama เน้นนโยบายปฏิสัมพันธ์และยอมอ่อนข้อให้กับจีนเป็นอย่างมาก Obama เองก็พูดหลายครั้งว่า สหรัฐต้องการความร่วมมือจากจีนในการแก้ปัญหาของโลก จีนจึงอาจคิดว่า สหรัฐต้องพึ่งพาความร่วมมือจากจีน จึงทำให้จีนมีอำนาจการต่อรองและถือไพ่เหนือกว่า จึงกล้าจะแข็งกร้าวกับสหรัฐ
สำหรับปัจจัยพื้นฐานนั้น ผมคิดว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้จีนมีท่าทีที่แข็งกร้าวต่อสหรัฐมากขึ้นเรื่อยๆคือ การผงาดขึ้นมาของจีน ในอนาคต (ภายในปี 2020-2025) จีนจะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก จีนกำลังจะพัฒนาไปเป็นอภิมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก และในขณะที่จีนผงาดขึ้นมา อำนาจของสหรัฐก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ทำให้สถานะของสหรัฐตกลงไปมาก และคงจะทำให้ผู้นำจีนมีความเชื่อมั่น และมีท่าทีแข็งกร้าวต่อสหรัฐมากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่สหรัฐจะมาสั่งสอนและบีบให้จีนทำตาม ผู้นำจีนอาจจะเริ่มมีความเชื่อว่า สหรัฐไม่มีความสำคัญต่อจีนเหมือนในอดีต โดยตลาดภายในของจีน ได้เติบโตขึ้นมาแทนที่ตลาดสหรัฐ การส่งออกเริ่มเปลี่ยนทิศทางไปยังประเทศที่ไม่ใช่ตะวันตกมากขึ้น จีนมีเงินทุนเหลือเฟือ มีเงินทุนสำรองมากที่สุดในโลกถึง 2 ล้านล้านเหรียญ สิ่งเหล่านี้ ทำให้จีนไม่ต้องง้อสหรัฐอีกต่อไป และทำให้จีนลดการประนีประนอมต่อสหรัฐมากขึ้น
สำหรับปัจจัยพื้นฐานของสหรัฐคือ ยุทธศาสตร์พื้นฐานของสหรัฐต่อจีน คือมองว่าจีนกำลังเป็นภัยคุกคามมากขึ้น เป็นคู่แข่ง และท้าทายการเป็นเจ้าครองโลกของสหรัฐมากขึ้นเรื่อยๆ และมองว่า เป้าหมายหลักของจีนคือ การกล่าวขึ้นมาเป็นเจ้าในระดับภูมิภาค และในระยะยาว ก็จะเป็นในระดับโลก ดังนั้น ยุทธศาสตร์หลักของสหรัฐ คือนโยบายปิดล้อมจีน เพื่อสกัดกั้นการขยายอิทธิพลของจีน อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายปิดล้อมจีนอย่างเต็มรูปแบบ ทำได้ยาก เพราะจีนกลายเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐ ดังนั้น ในทางปฏิบัติ ยุทธศาสตร์ของสหรัฐจึงมีลักษณะกึ่งปิดล้อมกึ่งปฏิสัมพันธ์ โดยเฉพาะการปิดล้อมทางทหาร แต่ปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์หลักของ Obama ต่อจีน มีลักษณะกึ่งปิดล้อมกึ่งปฏิสัมพันธ์ โดยในช่วงปีที่แล้ว เราเห็น Obama มีนโยบายเพิ่มสัดส่วนการปฏิสัมพันธ์เป็นพิเศษ แต่จากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ได้ชี้ให้เห็นว่า Obama กำลังปรับสัดส่วนให้มีความสมดุลมากขึ้น โดยหันไปเพิ่มสัดส่วนของนโยบายปิดล้อม และลดการปฏิสัมพันธ์ลง อีกนัยหนึ่งคือ การเพิ่มการใช้ไม้แข็ง และลดการใช้ไม้อ่อน เพื่อให้นโยบายมีความสมดุลมากขึ้นนั่นเอง
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 57 ฉบับที่ 22 วันศุกร์ที่ 19 - วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2553 หน้า 32-33
เมื่อเร็วๆนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐ ซึ่งถือได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ทวิภาคีที่สำคัญที่สุดในโลก ได้เข้าสู่จุดวิกฤติ โดยได้เกิดความขัดแย้งระหว่างกันหลายเรื่อง คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ จะวิเคราะห์ประเด็นความขัดแย้ง และสาเหตุของความขัดแย้งดังนี้
ประเด็นความขัดแย้ง
ความสัมพันธ์สหรัฐ-จีนในสมัยรัฐบาล Obama โดยเฉพาะในช่วงปีที่แล้ว ถือได้ว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีมาก โดยเฉพาะผลการเยือนจีนของ Obama ในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ดูได้จากแถลงการณ์ร่วม ที่ได้มีการประกาศขยายความร่วมมือไปมากมายหลายสาขา อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ นับเป็นความสำเร็จในนโยบายปฏิสัมพันธ์และเน้นความร่วมมือกับจีน
แต่อยู่ๆ ตั้งแต่ในช่วงปลายเดือนมกราคมปีนี้ ความสัมพันธ์ก็เกิดพลิกผันกลับตาลปัตรกันหมด โดยเริ่มมาจากกรณี Google ประกาศถอนตัวออกจากจีน และที่เป็นประเด็นทำให้เกิดความขัดแย้งกันอย่างหนักคือ การที่สหรัฐประกาศขายอาวุธให้กับไต้หวัน และยังมีเรื่อง ดาไล ลามะ ความขัดแย้งทางการค้า และการคว่ำบาตรอิหร่าน
ความขัดแย้งเรื่องแรก เกิดขึ้นในเดือนมกราคม โดยบริษัท Google ได้ประกาศที่จะถอนตัวออกจากจีน โดยอ้างว่าถูกล้วงข้อมูลและถูกรัฐบาลจีนเซนเซอร์ ต่อมารัฐบาลสหรัฐได้ออกมาสนับสนุนท่าทีของ Google โดย Hillary Clinton ได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีนที่เซนเซอร์อินเตอร์เน็ต ต่อมา Obama มีท่าทีว่า รู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับกรณีของ Google ในจีน และกำลังแสวงหาคำตอบจากรัฐบาลจีน แต่รัฐบาลจีนก็ได้ตอบกลับว่า บริษัทต่างชาติจะสามารถทำธุรกิจในจีนได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของจีน และสหรัฐควรจะยุติการกล่าวหาที่ไม่มีมูล
ต่อมา เมื่อปลายเดือนมกราคม ก็ได้เกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ระหว่างสหรัฐกับจีน โดยรัฐบาล Obama ได้ประกาศว่า จะขายอาวุธให้กับไต้หวัน คิดเป็นมูลค่า 6 พันล้านเหรียญ ซึ่งสหรัฐมองว่า การขายอาวุธดังกล่าวมีความจำเป็นเพื่อการป้องกันไต้หวัน โดยภายใต้ Taiwan Relations Act ปี 1979 รัฐบาลสหรัฐจะต้องจัดหาอาวุธให้กับไต้หวัน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนก็ได้ออกมาตอบโต้อย่างรุนแรง โดยได้เรียกทูตสหรัฐประจำกรุงปักกิ่ง และประท้วงว่าสหรัฐแทรกแซงกิจการภายในของจีน จีนประกาศจะตัดความสัมพันธ์ทางทหาร และประกาศมาตรการคว่ำบาตรบริษัทสหรัฐที่ขายอาวุธให้กับไต้หวัน โดยบริษัทที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ Boeing ซึ่งในปัจจุบัน จีนใช้เครื่องบิน Boeing กว่าครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ จีนยังได้ขู่ด้วยว่าความร่วมมือในการแก้ปัญหาต่างๆ ของโลก ก็จะได้รับผลกระทบ
เรื่องต่อมาที่จีนกับสหรัฐกำลังขัดแย้งกัน คือ เรื่องธิเบต โดยรัฐบาล Obama ได้ประกาศว่า Obama จะพบปะกับ ดาไล ลามะ ที่ทำเนียบขาวในวันที่ 18 กุมภาพันธ์นี้ โดยสหรัฐได้บอกว่า ตั้งแต่ปี 1990 ประธานาธิบดีของสหรัฐทุกคนได้พบปะกับ ดาไล ลามะ จึงถือเป็นเรื่องปกติ และ ดาไล ลามะก็เป็นผู้นำจิตวิญญาณชาวธิเบตที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก อย่างไรก็ตาม จีนได้ตอบโต้ว่า การพบปะจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อความสัมพันธ์จีน-สหรัฐ โดยโฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนได้ประกาศคัดค้านการพบปะและขอให้สหรัฐเข้าใจว่า ปัญหาธิเบตมีความละเอียดอ่อนมาก และขอให้สหรัฐยอมรับว่าธิเบตเป็นส่วนหนึ่งของจีน จีนจึงขอให้ยกเลิกการพบปะดังกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อความสัมพันธ์
ต่อมาก็เป็นเรื่อง ความขัดแย้งทางการค้า ซึ่งกำลังเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ โดยเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ กระทรวงพาณิชย์จีนได้ออกแถลงการณ์โจมตีสหรัฐว่า กำลังมีมาตรการปกป้องทางการค้าเพิ่มมากขึ้น และจีนก็ตกเป็นเหยื่อของมาตรการที่ไม่เป็นธรรม ทั้งสองประเทศ ขณะนี้ กำลังทำสงครามการค้า โดยการขึ้นภาษีตอบโต้สินค้าของกันและกัน ในส่วนของอเมริกา ก็กล่าวหาจีนหลายเรื่อง โดยเฉพาะในกรณีค่าเงินหยวนของจีนซึ่งอเมริกามองว่า มีค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ทำให้สินค้าจีนได้เปรียบ นอกจากนี้ กฎหมายสหรัฐได้ระบุให้กระทรวงการคลัง ทำรายงานระบุประเทศ ที่มีนโยบายค่าเงินที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐ ซึ่งกระทรวงการคลังจะต้องประกาศภายในวันที่ 25 เมษายนนี้ จึงเป็นไปได้ว่าในฝ่ายจีน คงจะพยายามเพิ่มค่าเงินหยวนประมาณ 3-5% เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการตอบโต้จากกฎหมายดังกล่าว แต่การเพิ่มค่าเงินหยวนเพียง 3% คงจะลดแรงกดดันได้ชั่วคราวเท่านั้น เพราะท่าทีของสหรัฐต้องการให้จีนเพิ่มค่าเงินหยวนมากกว่านี้
เรื่องการคว่ำบาตรอิหร่าน ก็เป็นอีกเรื่องที่จีนกับสหรัฐกำลังขัดแย้งกัน โดยสหรัฐมองว่า จีนไม่ให้ความร่วมมือต่อข้อเสนอของสหรัฐ ในการเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านในคณะมนตรีความมั่นคง แต่สำหรับจีนนั้น มีผลประโยชน์หลายเรื่องในอิหร่าน โดยเฉพาะจีนนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านเป็นอันดับ 2 รองจากซาอุดีอาระเบีย และจีนยังมีโครงการที่จะเข้าไปสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติหลายแห่ง ดูเหมือนว่าจีนพยายามเชื่อมเรื่องอิหร่านกับเรื่องไต้หวัน โดยจีนพยายามกดดันสหรัฐให้ยุติการขายอาวุธให้กับไต้หวัน เพื่อแลกกับความร่วมมือของจีนในการคว่ำบาตรอิหร่าน
นอกจากนี้ ความขัดแย้งยังอาจส่งผลกระทบต่อแผนการเยือนของบุคคลสำคัญ โดย Robert Gates รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐอาจจะยกเลิกการเยือนจีน เช่นเดียวกับทางจีน ประธานาธิบดี Hu Jin Tao อาจจะยกเลิกการเยือนสหรัฐในปีนี้ และการแลกเปลี่ยนการติดต่อระหว่างผู้นำทหารระดับสูงก็อาจจะยุติลง
บทวิเคราะห์
คำถามใหญ่คือ เกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์จีน-สหรัฐ อะไรเป็นสาเหตุให้อยู่ดีๆความสัมพันธ์ก็เกิดพลิกผันกลับตาลปัตร
ผมมองว่า มีปัจจัยหรือสาเหตุสองระดับ ระดับแรก เป็น immediate cause หรือสาเหตุที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆในขณะนี้ และ underlying cause หรือสาเหตุพื้นฐาน
สำหรับสาเหตุที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น อาจเป็นไปได้ว่า Obama อาจจะต้องการลดกระแสการโจมตีจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่มองว่า Obama ยอมจีนมากเกินไป จึงหันกลับมาใช้ไม้แข็งกับจีน และอีกสาเหตุหนึ่ง อาจจะมาจากปฏิกิริยาของสหรัฐต่อท่าทีของจีนในเรื่องต่างๆ ที่สหรัฐมองว่า มีท่าทีในเชิงลบและแข็งกร้าว ตัวอย่างเช่น ท่าทีของจีนในการเจรจาภาวะโลกร้อนที่ Copenhagen ซึ่งจีนมีท่าทีแข็งกร้าวมาก และไม่ร่วมมือกับสหรัฐ จีนไม่ยอมร่วมมือในการคว่ำบาตรอิหร่าน การประกาศขายอาวุธให้ไต้หวันอาจจะเป็นความพยายามส่งสัญญาณว่า Obama ก็แข็งกร้าวได้เหมือนกัน คือจะไม่ใช่ยอมจีนในทุกๆเรื่อง
ในส่วนของจีนนั้น ท่าทีที่แข็งกร้าวมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะ จีนอยากจะลอง test รัฐบาล Obama ว่าจะยอมอ่อนข้อให้จีนได้แค่ไหน โดยจีนอาจจะตีความว่า หนึ่งปีที่ผ่านมา รัฐบาล Obama เน้นนโยบายปฏิสัมพันธ์และยอมอ่อนข้อให้กับจีนเป็นอย่างมาก Obama เองก็พูดหลายครั้งว่า สหรัฐต้องการความร่วมมือจากจีนในการแก้ปัญหาของโลก จีนจึงอาจคิดว่า สหรัฐต้องพึ่งพาความร่วมมือจากจีน จึงทำให้จีนมีอำนาจการต่อรองและถือไพ่เหนือกว่า จึงกล้าจะแข็งกร้าวกับสหรัฐ
สำหรับปัจจัยพื้นฐานนั้น ผมคิดว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้จีนมีท่าทีที่แข็งกร้าวต่อสหรัฐมากขึ้นเรื่อยๆคือ การผงาดขึ้นมาของจีน ในอนาคต (ภายในปี 2020-2025) จีนจะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก จีนกำลังจะพัฒนาไปเป็นอภิมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก และในขณะที่จีนผงาดขึ้นมา อำนาจของสหรัฐก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ทำให้สถานะของสหรัฐตกลงไปมาก และคงจะทำให้ผู้นำจีนมีความเชื่อมั่น และมีท่าทีแข็งกร้าวต่อสหรัฐมากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่สหรัฐจะมาสั่งสอนและบีบให้จีนทำตาม ผู้นำจีนอาจจะเริ่มมีความเชื่อว่า สหรัฐไม่มีความสำคัญต่อจีนเหมือนในอดีต โดยตลาดภายในของจีน ได้เติบโตขึ้นมาแทนที่ตลาดสหรัฐ การส่งออกเริ่มเปลี่ยนทิศทางไปยังประเทศที่ไม่ใช่ตะวันตกมากขึ้น จีนมีเงินทุนเหลือเฟือ มีเงินทุนสำรองมากที่สุดในโลกถึง 2 ล้านล้านเหรียญ สิ่งเหล่านี้ ทำให้จีนไม่ต้องง้อสหรัฐอีกต่อไป และทำให้จีนลดการประนีประนอมต่อสหรัฐมากขึ้น
สำหรับปัจจัยพื้นฐานของสหรัฐคือ ยุทธศาสตร์พื้นฐานของสหรัฐต่อจีน คือมองว่าจีนกำลังเป็นภัยคุกคามมากขึ้น เป็นคู่แข่ง และท้าทายการเป็นเจ้าครองโลกของสหรัฐมากขึ้นเรื่อยๆ และมองว่า เป้าหมายหลักของจีนคือ การกล่าวขึ้นมาเป็นเจ้าในระดับภูมิภาค และในระยะยาว ก็จะเป็นในระดับโลก ดังนั้น ยุทธศาสตร์หลักของสหรัฐ คือนโยบายปิดล้อมจีน เพื่อสกัดกั้นการขยายอิทธิพลของจีน อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายปิดล้อมจีนอย่างเต็มรูปแบบ ทำได้ยาก เพราะจีนกลายเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐ ดังนั้น ในทางปฏิบัติ ยุทธศาสตร์ของสหรัฐจึงมีลักษณะกึ่งปิดล้อมกึ่งปฏิสัมพันธ์ โดยเฉพาะการปิดล้อมทางทหาร แต่ปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์หลักของ Obama ต่อจีน มีลักษณะกึ่งปิดล้อมกึ่งปฏิสัมพันธ์ โดยในช่วงปีที่แล้ว เราเห็น Obama มีนโยบายเพิ่มสัดส่วนการปฏิสัมพันธ์เป็นพิเศษ แต่จากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ได้ชี้ให้เห็นว่า Obama กำลังปรับสัดส่วนให้มีความสมดุลมากขึ้น โดยหันไปเพิ่มสัดส่วนของนโยบายปิดล้อม และลดการปฏิสัมพันธ์ลง อีกนัยหนึ่งคือ การเพิ่มการใช้ไม้แข็ง และลดการใช้ไม้อ่อน เพื่อให้นโยบายมีความสมดุลมากขึ้นนั่นเอง
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ภัยคุกคามสหรัฐปี 2010
ภัยคุกคามสหรัฐปี 2010
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 57 ฉบับที่ 21 วันศุกร์ที่ 12 - วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553 หน้า 32-33
ในช่วงต้นปีของทุกปี หน่วยงานข่าวกรองสหรัฐ จะมีการเผยแพร่เอกสารประเมินภัยคุกคามประจำปี คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ จะสรุปวิเคราะห์เอกสารการประเมินภัยคุกคามประจำปี 2010 ดังนี้
ภัยคุกคามในอินเตอร์เน็ต
ปีนี้ เป็นปีแรกที่หน่วยงานข่าวกรองสหรัฐมองว่า ภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ คือภัยคุกคามในอินเตอร์เน็ต โดยบอกว่า ความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ ขึ้นอยู่กับความมั่นคงปลอดภัยของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และข้อมูลที่อยู่ในเครือข่ายดังกล่าว ซึ่งขณะนี้กำลังถูกคุกคามอย่างหนัก
สหรัฐกำลังเผชิญหน้ากับภัยอันตรายในรูปแบบใหม่ ประสิทธิภาพของศัตรูเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่รัฐบาลขาดแผนที่สมบูรณ์เบ็ดเสร็จ ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนถูกโจรกรรมทุกวันทั้งจากเครือข่ายของรัฐบาลและเครือข่ายของเอกชน สหรัฐกำลังเผชิญกับประเทศที่เป็นอริกับสหรัฐ หรือเป็นคู่แข่ง (จีนถูกกล่าวหามาตลอดว่า แฮกหรือโจรกรรมข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐเป็นประจำ) นอกจากนั้น ยังมีเครือข่ายการก่อการร้าย องค์กรอาชญากรรม โดยกลุ่มก่อการร้ายได้ประกาศชัดเจนว่า ต้องการโจมตีเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของสหรัฐ ในขณะที่กลุ่มอาชญากร ก็ได้เพิ่มประสิทธิภาพขึ้นอย่างมากในการโจรกรรมข้อมูล กลุ่มอาชญากรทางอินเตอร์เน็ต ได้พยายามคิดค้นวิธีการใหม่ๆ ซึ่งทำให้การป้องกันเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนั้น ตามไม่ทัน อย่างเช่นในปี 2009 มีการใช้ Malware ซึ่งเทคโนโลยีการตรวจจับไวรัสก็ตามไม่ทัน ในปี 2008 ก็มี Conficker worm
ผมมองว่า ภัยคุกคามทางอินเตอร์เน็ตนั้น กำลังจะเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นเรื่อยๆในอนาคต เพราะกลุ่มที่ต้องการแฮกข้อมูลได้พัฒนาวิธีการใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเราตามไม่ทัน ข้อมูลบางเรื่อง ก็เป็นข้อมูลที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงแห่งชาติ
การก่อการร้าย
เรื่องต่อมาที่หน่วยงานข่าวกรองสหรัฐให้ความสำคัญในปีนี้คือ ปัญหาการก่อการร้าย ซึ่งเป็นปัญหายืดเยื้อมาหลายปีแล้ว ปีที่แล้ว การก่อการร้ายยังคงมีอยู่ จึงนำไปสู่การตั้งคำถามว่า มาตรการต่อต้านการก่อการร้ายประสบความสำเร็จจริงหรือไม่ และในปีนี้ ภัยก่อการร้ายจะเพิ่มขึ้นหรือไม่
สหรัฐมองว่า กลุ่มก่อการร้าย Al Qaida ยังคงเป็นกลุ่มที่อันตรายที่สุด Al Qaida ยังคงมุ่งมั่นที่จะโจมตีแผ่นดินใหญ่สหรัฐ โดยเฉพาะการที่จะก่อวินาศกรรมแบบเหตุการณ์ 11 กันยา Al Qaida ยังคงมีความสามารถในการแสวงหาสมาชิกใหม่ๆเพิ่มขึ้น รวมทั้งการฝึกและวางแผนในการโจมตีสหรัฐ นอกจากนี้ สหรัฐวิตกกังวลเป็นอย่างมาก หาก Al Qaida สามารถที่จะมีอาวุธร้ายแรงอยู่ในครอบครอง โดยเฉพาะอาวุธเคมี อาวุธเชื้อโรค อาวุธกัมมันตภาพรังสี และอาวุธนิวเคลียร์
นอกจากนี้ กลุ่มสาขาย่อยของ Al Qaida ก็กระจายอยู่ทั่วโลก ที่สหรัฐวิตกกังวลคือ กลุ่ม Al Qaida ในคาบสมุทรอาระเบีย ซึ่งมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Al Qaida in the Arabian Peninsula (AQAP) จากการสอบสวนเหตุการณ์ที่จะระเบิดเครื่องบินสหรัฐในวันคริสต์มาสปีที่แล้ว พบว่าเป็นฝีมือของกลุ่มนี้ กลุ่ม AQAP ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ในประเทศเยเมน กำลังพยายามที่จะก่อวินาศกรรมทั้งในเยเมนและซาอุดีอาระเบีย
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มอื่นๆที่สหรัฐเฝ้าระวัง อาทิ กลุ่มก่อการร้ายในปากีสถานที่เชื่อมโยงกับ Al Qaida กลุ่มก่อการร้ายในอิรักที่มีอุดมการณ์ต่อต้านตะวันตกเช่นเดียวกับ Al Qaida และกลุ่ม Al Qaida ในแอฟริกาตะวันออก
ผมมองว่า ในปีนี้ ปัญหาการก่อการร้าย น่าจะยังคงลุกลามบานปลายไม่จบ ถึงแม้ว่า ปีที่แล้ว Obama จะได้ประกาศยุคใหม่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและโลกมุสลิมแล้วก็ตาม แต่การประกาศนโยบายดังกล่าว จะนำไปสู่การแก้ปัญหาการก่อการร้ายอย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างไร
ภัยคุกคามจากอาวุธร้ายแรง
อีกเรื่องที่สหรัฐมองว่าเป็นภัยคุกคาม คือเรื่องการพัฒนาอาวุธร้ายแรง โดยเฉพาะการแพร่ขยายของอาวุธนิวเคลียร์ รวมทั้งอาวุธเคมีและอาวุธเชื้อโรค
ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ เทคโนโลยีในการผลิตอาวุธร้ายแรงได้แพร่ขยายอย่างรวดเร็ว จึงเป็นการยากที่สหรัฐ จะสามารถป้องกันการแพร่ขยายของอาวุธดังกล่าว ขณะนี้ สหรัฐยังไม่สามารถระบุได้ว่า ประเทศใดที่ให้ความช่วยเหลือ ในเรื่องอาวุธร้ายแรงแก่ขบวนการก่อการร้าย แต่สหรัฐก็เป็นห่วงกังวลอย่างมากต่อแนวโน้มที่ผู้ก่อการร้ายจะมีอาวุธดังกล่าว
สำหรับในกรณีของอิหร่าน สหรัฐมองว่า อิหร่านละเมิดข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคง และยังคงเดินหน้าพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ สหรัฐประเมินว่า อิหร่านอาจจะพยายามพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนก็ตาม
จากการประเมินล่าสุดพบว่า อิหร่านได้พัฒนาศักยภาพในเรื่องนิวเคลียร์เพิ่มขึ้น อุปกรณ์เพิ่มประสิทธิภาพแร่ยูเรเนียมที่เมือง Natanz ก็เพิ่มขึ้นจากจำนวน 3,000 เครื่อง เป็น 8,000 เครื่อง และอิหร่านยังได้สะสมแร่ยูเรเนียมถึง 1,800 กิโลกรัม นอกจากนี้ สหรัฐยังได้กล่าวหาว่าอิหร่านได้แอบสร้างโรงงานนิวเคลียร์แห่งที่สอง ที่เมือง Qom โดยทางสหรัฐสรุปว่า ขณะนี้อิหร่านมีความสามารถที่จะผลิตอาวุธนิวเคลียร์ และจะมีแร่ยูเรเนียมเพียงพอสำหรับการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
สำหรับในกรณีเกาหลีเหนือ สหรัฐมองว่า โครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ถือเป็นภัยคุกคามอย่างมากต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออก นอกจากนี้ เกาหลีเหนือยังได้ส่งออกขีปนาวุธและวัตถุดิบอาวุธร้ายแรงให้กับอิหร่านและปากีสถาน และกำลังช่วยเหลือซีเรียในการสร้างโรงงานนิวเคลียร์ เกาหลีเหนือได้ทดลองอาวุธนิวเคลียร์ไปแล้วสองครั้ง สหรัฐมีนโยบายอย่างแน่วแน่ที่จะไม่ยอมรับการมีอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ และประเทศต่างๆในภูมิภาค ก็ต้องการให้คาบสมุทรเกาหลีปราศจากอาวุธนิวเคลียร์
ผมมองว่า ถึงแม้ปีที่แล้ว Obama จะได้เปลี่ยนนโยบายใหม่ต่ออิหร่านและเกาหลีเหนือ โดยหันมาใช้ไม้อ่อน คือนโยบายปฏิสัมพันธ์ และเริ่มเจรจากับอิหร่านและเกาหลีเหนือ แต่ขณะนี้ ผลของนโยบายปฏิสัมพันธ์ก็ยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม ท่าทีของทั้งอิหร่านและเกาหลีเหนือก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง และไม่มีท่าทีที่จะยุติการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์แต่อย่างใด
อัฟกานิสถานและปากีสถาน
ภัยคุกคามเรื่องใหญ่เรื่องสุดท้ายที่ผมจะสรุป คือ สงครามในอัฟกานิสถานและปากีสถาน
ในรายงานประจำปีของหน่วยงานข่าวกรองสหรัฐชี้ว่า การก่อการร้ายของนักรบตาลีบันในอัฟกานิสถาน กำลังเป็นอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ นักรบตาลีบันได้ขยายอิทธิพลจากทางตอนใต้ซึ่งเป็นเขตของชาว Pashtun ขึ้นมาทางเหนือของอัฟกานิสถาน
นอกจากนี้ กลุ่ม Al-Qaida ได้ร่วมกับนักรบตาลีบันในการก่อการร้ายในอัฟกานิสถานด้วย สหรัฐประเมินว่า น่าจะมีสมาชิก Al-Qaida ในอัฟกานิสถานหลายร้อยคน และนักรบตาลีบันอีกหลายพันคน
สำหรับในปากีสถาน ก็มีกลุ่มติดอาวุธร่วมกับ Al-Qaida ร่วมกันก่อวินาศกรรมและก่อการร้ายในปากีสถาน ทั้งนี้ นักรบตาลีบัน Al-Qaida และกลุ่มติดอาวุธปากีสถาน รวมตัวกันใช้ปากีสถานเป็นแหล่งซ่องสุมใหม่ของการฝึกและวางแผนการโจมตีสหรัฐและพันธมิตรทั่วโลก
สำหรับฝ่ายทหารของปากีสถาน กลับมองว่า กลุ่มก่อการร้ายจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับอินเดีย ซึ่งป็นคู่อริของปากีสถาน ดังนั้นฝ่ายทหารของปากีสถานจึงไม่เต็มใจที่จะปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายในปากีสถานให้สิ้นซาก
ดังนั้น กลุ่มก่อการร้ายตาลีบันในปากีสถานจึงกำลังขยายอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ และท้าทายรัฐบาลปากีสถานมากขึ้น จึงมีแนวโน้มว่า จะมีการก่อการร้ายและก่อวินาศกรรมมากขึ้นในเมืองต่างๆของปากีสถาน
ผมมองว่า สงครามต่อต้านการก่อการร้ายในอัฟกานิสถานอาจจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ แม้ว่าปีที่แล้ว Obama จะตัดสินใจเพิ่มจำนวนทหาร 30,000 คน แต่ก็เป็นเกมที่ค่อนข้างเสี่ยงมากว่าจะซ้ำรอยสงครามเวียดนาม ในปีนี้ จึงต้องจับตาดูว่า การบ้านชิ้นยากสุดของ Obama คือสงครามอัฟกานิสถานจะเป็นอย่างไร แต่ผมเดาว่า การที่สหรัฐหวังจะเอาชนะในสงครามอัฟกานิสถานคงไม่ใช่เรื่องง่าย
และสำหรับสงครามระหว่างปากีสถานกับนักรบตาลีบัน ก็กำลังเข้าสู่จุดวิกฤติ ขณะนี้ นักรบตาลีบันได้รุกคืบเข้าใกล้เมืองหลวงของปากีสถานมากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้มีความหวาดวิตกมากขึ้น ถึงความมั่นคงปลอดภัยของอาวุธนิวเคลียร์ในปากีสถาน
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 57 ฉบับที่ 21 วันศุกร์ที่ 12 - วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553 หน้า 32-33
ในช่วงต้นปีของทุกปี หน่วยงานข่าวกรองสหรัฐ จะมีการเผยแพร่เอกสารประเมินภัยคุกคามประจำปี คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ จะสรุปวิเคราะห์เอกสารการประเมินภัยคุกคามประจำปี 2010 ดังนี้
ภัยคุกคามในอินเตอร์เน็ต
ปีนี้ เป็นปีแรกที่หน่วยงานข่าวกรองสหรัฐมองว่า ภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ คือภัยคุกคามในอินเตอร์เน็ต โดยบอกว่า ความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ ขึ้นอยู่กับความมั่นคงปลอดภัยของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และข้อมูลที่อยู่ในเครือข่ายดังกล่าว ซึ่งขณะนี้กำลังถูกคุกคามอย่างหนัก
สหรัฐกำลังเผชิญหน้ากับภัยอันตรายในรูปแบบใหม่ ประสิทธิภาพของศัตรูเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่รัฐบาลขาดแผนที่สมบูรณ์เบ็ดเสร็จ ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนถูกโจรกรรมทุกวันทั้งจากเครือข่ายของรัฐบาลและเครือข่ายของเอกชน สหรัฐกำลังเผชิญกับประเทศที่เป็นอริกับสหรัฐ หรือเป็นคู่แข่ง (จีนถูกกล่าวหามาตลอดว่า แฮกหรือโจรกรรมข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐเป็นประจำ) นอกจากนั้น ยังมีเครือข่ายการก่อการร้าย องค์กรอาชญากรรม โดยกลุ่มก่อการร้ายได้ประกาศชัดเจนว่า ต้องการโจมตีเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของสหรัฐ ในขณะที่กลุ่มอาชญากร ก็ได้เพิ่มประสิทธิภาพขึ้นอย่างมากในการโจรกรรมข้อมูล กลุ่มอาชญากรทางอินเตอร์เน็ต ได้พยายามคิดค้นวิธีการใหม่ๆ ซึ่งทำให้การป้องกันเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนั้น ตามไม่ทัน อย่างเช่นในปี 2009 มีการใช้ Malware ซึ่งเทคโนโลยีการตรวจจับไวรัสก็ตามไม่ทัน ในปี 2008 ก็มี Conficker worm
ผมมองว่า ภัยคุกคามทางอินเตอร์เน็ตนั้น กำลังจะเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นเรื่อยๆในอนาคต เพราะกลุ่มที่ต้องการแฮกข้อมูลได้พัฒนาวิธีการใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเราตามไม่ทัน ข้อมูลบางเรื่อง ก็เป็นข้อมูลที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงแห่งชาติ
การก่อการร้าย
เรื่องต่อมาที่หน่วยงานข่าวกรองสหรัฐให้ความสำคัญในปีนี้คือ ปัญหาการก่อการร้าย ซึ่งเป็นปัญหายืดเยื้อมาหลายปีแล้ว ปีที่แล้ว การก่อการร้ายยังคงมีอยู่ จึงนำไปสู่การตั้งคำถามว่า มาตรการต่อต้านการก่อการร้ายประสบความสำเร็จจริงหรือไม่ และในปีนี้ ภัยก่อการร้ายจะเพิ่มขึ้นหรือไม่
สหรัฐมองว่า กลุ่มก่อการร้าย Al Qaida ยังคงเป็นกลุ่มที่อันตรายที่สุด Al Qaida ยังคงมุ่งมั่นที่จะโจมตีแผ่นดินใหญ่สหรัฐ โดยเฉพาะการที่จะก่อวินาศกรรมแบบเหตุการณ์ 11 กันยา Al Qaida ยังคงมีความสามารถในการแสวงหาสมาชิกใหม่ๆเพิ่มขึ้น รวมทั้งการฝึกและวางแผนในการโจมตีสหรัฐ นอกจากนี้ สหรัฐวิตกกังวลเป็นอย่างมาก หาก Al Qaida สามารถที่จะมีอาวุธร้ายแรงอยู่ในครอบครอง โดยเฉพาะอาวุธเคมี อาวุธเชื้อโรค อาวุธกัมมันตภาพรังสี และอาวุธนิวเคลียร์
นอกจากนี้ กลุ่มสาขาย่อยของ Al Qaida ก็กระจายอยู่ทั่วโลก ที่สหรัฐวิตกกังวลคือ กลุ่ม Al Qaida ในคาบสมุทรอาระเบีย ซึ่งมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Al Qaida in the Arabian Peninsula (AQAP) จากการสอบสวนเหตุการณ์ที่จะระเบิดเครื่องบินสหรัฐในวันคริสต์มาสปีที่แล้ว พบว่าเป็นฝีมือของกลุ่มนี้ กลุ่ม AQAP ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ในประเทศเยเมน กำลังพยายามที่จะก่อวินาศกรรมทั้งในเยเมนและซาอุดีอาระเบีย
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มอื่นๆที่สหรัฐเฝ้าระวัง อาทิ กลุ่มก่อการร้ายในปากีสถานที่เชื่อมโยงกับ Al Qaida กลุ่มก่อการร้ายในอิรักที่มีอุดมการณ์ต่อต้านตะวันตกเช่นเดียวกับ Al Qaida และกลุ่ม Al Qaida ในแอฟริกาตะวันออก
ผมมองว่า ในปีนี้ ปัญหาการก่อการร้าย น่าจะยังคงลุกลามบานปลายไม่จบ ถึงแม้ว่า ปีที่แล้ว Obama จะได้ประกาศยุคใหม่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและโลกมุสลิมแล้วก็ตาม แต่การประกาศนโยบายดังกล่าว จะนำไปสู่การแก้ปัญหาการก่อการร้ายอย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างไร
ภัยคุกคามจากอาวุธร้ายแรง
อีกเรื่องที่สหรัฐมองว่าเป็นภัยคุกคาม คือเรื่องการพัฒนาอาวุธร้ายแรง โดยเฉพาะการแพร่ขยายของอาวุธนิวเคลียร์ รวมทั้งอาวุธเคมีและอาวุธเชื้อโรค
ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ เทคโนโลยีในการผลิตอาวุธร้ายแรงได้แพร่ขยายอย่างรวดเร็ว จึงเป็นการยากที่สหรัฐ จะสามารถป้องกันการแพร่ขยายของอาวุธดังกล่าว ขณะนี้ สหรัฐยังไม่สามารถระบุได้ว่า ประเทศใดที่ให้ความช่วยเหลือ ในเรื่องอาวุธร้ายแรงแก่ขบวนการก่อการร้าย แต่สหรัฐก็เป็นห่วงกังวลอย่างมากต่อแนวโน้มที่ผู้ก่อการร้ายจะมีอาวุธดังกล่าว
สำหรับในกรณีของอิหร่าน สหรัฐมองว่า อิหร่านละเมิดข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคง และยังคงเดินหน้าพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ สหรัฐประเมินว่า อิหร่านอาจจะพยายามพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนก็ตาม
จากการประเมินล่าสุดพบว่า อิหร่านได้พัฒนาศักยภาพในเรื่องนิวเคลียร์เพิ่มขึ้น อุปกรณ์เพิ่มประสิทธิภาพแร่ยูเรเนียมที่เมือง Natanz ก็เพิ่มขึ้นจากจำนวน 3,000 เครื่อง เป็น 8,000 เครื่อง และอิหร่านยังได้สะสมแร่ยูเรเนียมถึง 1,800 กิโลกรัม นอกจากนี้ สหรัฐยังได้กล่าวหาว่าอิหร่านได้แอบสร้างโรงงานนิวเคลียร์แห่งที่สอง ที่เมือง Qom โดยทางสหรัฐสรุปว่า ขณะนี้อิหร่านมีความสามารถที่จะผลิตอาวุธนิวเคลียร์ และจะมีแร่ยูเรเนียมเพียงพอสำหรับการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
สำหรับในกรณีเกาหลีเหนือ สหรัฐมองว่า โครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ถือเป็นภัยคุกคามอย่างมากต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออก นอกจากนี้ เกาหลีเหนือยังได้ส่งออกขีปนาวุธและวัตถุดิบอาวุธร้ายแรงให้กับอิหร่านและปากีสถาน และกำลังช่วยเหลือซีเรียในการสร้างโรงงานนิวเคลียร์ เกาหลีเหนือได้ทดลองอาวุธนิวเคลียร์ไปแล้วสองครั้ง สหรัฐมีนโยบายอย่างแน่วแน่ที่จะไม่ยอมรับการมีอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ และประเทศต่างๆในภูมิภาค ก็ต้องการให้คาบสมุทรเกาหลีปราศจากอาวุธนิวเคลียร์
ผมมองว่า ถึงแม้ปีที่แล้ว Obama จะได้เปลี่ยนนโยบายใหม่ต่ออิหร่านและเกาหลีเหนือ โดยหันมาใช้ไม้อ่อน คือนโยบายปฏิสัมพันธ์ และเริ่มเจรจากับอิหร่านและเกาหลีเหนือ แต่ขณะนี้ ผลของนโยบายปฏิสัมพันธ์ก็ยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม ท่าทีของทั้งอิหร่านและเกาหลีเหนือก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง และไม่มีท่าทีที่จะยุติการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์แต่อย่างใด
อัฟกานิสถานและปากีสถาน
ภัยคุกคามเรื่องใหญ่เรื่องสุดท้ายที่ผมจะสรุป คือ สงครามในอัฟกานิสถานและปากีสถาน
ในรายงานประจำปีของหน่วยงานข่าวกรองสหรัฐชี้ว่า การก่อการร้ายของนักรบตาลีบันในอัฟกานิสถาน กำลังเป็นอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ นักรบตาลีบันได้ขยายอิทธิพลจากทางตอนใต้ซึ่งเป็นเขตของชาว Pashtun ขึ้นมาทางเหนือของอัฟกานิสถาน
นอกจากนี้ กลุ่ม Al-Qaida ได้ร่วมกับนักรบตาลีบันในการก่อการร้ายในอัฟกานิสถานด้วย สหรัฐประเมินว่า น่าจะมีสมาชิก Al-Qaida ในอัฟกานิสถานหลายร้อยคน และนักรบตาลีบันอีกหลายพันคน
สำหรับในปากีสถาน ก็มีกลุ่มติดอาวุธร่วมกับ Al-Qaida ร่วมกันก่อวินาศกรรมและก่อการร้ายในปากีสถาน ทั้งนี้ นักรบตาลีบัน Al-Qaida และกลุ่มติดอาวุธปากีสถาน รวมตัวกันใช้ปากีสถานเป็นแหล่งซ่องสุมใหม่ของการฝึกและวางแผนการโจมตีสหรัฐและพันธมิตรทั่วโลก
สำหรับฝ่ายทหารของปากีสถาน กลับมองว่า กลุ่มก่อการร้ายจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับอินเดีย ซึ่งป็นคู่อริของปากีสถาน ดังนั้นฝ่ายทหารของปากีสถานจึงไม่เต็มใจที่จะปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายในปากีสถานให้สิ้นซาก
ดังนั้น กลุ่มก่อการร้ายตาลีบันในปากีสถานจึงกำลังขยายอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ และท้าทายรัฐบาลปากีสถานมากขึ้น จึงมีแนวโน้มว่า จะมีการก่อการร้ายและก่อวินาศกรรมมากขึ้นในเมืองต่างๆของปากีสถาน
ผมมองว่า สงครามต่อต้านการก่อการร้ายในอัฟกานิสถานอาจจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ แม้ว่าปีที่แล้ว Obama จะตัดสินใจเพิ่มจำนวนทหาร 30,000 คน แต่ก็เป็นเกมที่ค่อนข้างเสี่ยงมากว่าจะซ้ำรอยสงครามเวียดนาม ในปีนี้ จึงต้องจับตาดูว่า การบ้านชิ้นยากสุดของ Obama คือสงครามอัฟกานิสถานจะเป็นอย่างไร แต่ผมเดาว่า การที่สหรัฐหวังจะเอาชนะในสงครามอัฟกานิสถานคงไม่ใช่เรื่องง่าย
และสำหรับสงครามระหว่างปากีสถานกับนักรบตาลีบัน ก็กำลังเข้าสู่จุดวิกฤติ ขณะนี้ นักรบตาลีบันได้รุกคืบเข้าใกล้เมืองหลวงของปากีสถานมากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้มีความหวาดวิตกมากขึ้น ถึงความมั่นคงปลอดภัยของอาวุธนิวเคลียร์ในปากีสถาน
การประเมินนโยบายต่างประเทศของรัฐบาล Obama ต่อเอเชีย
การประเมินนโยบายต่างประเทศของรัฐบาล Obama ต่อเอเชีย
ไทยโพสต์ วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2553 หน้า 4
Outline ของผมคือ ผมจะพูดถึงเรื่อง grand strategy ก่อน ต่อมา ก็จะพูด 1 ปีของ Obama ว่าทำอะไรไปบ้าง ในระดับโลก ระดับภูมิภาค ต่อมา ก็มาถึงอาเซียน และไทย
grand strategy
ประเด็นแรก เรื่อง grand strategy ผมคิดว่า สหรัฐฯ มี grand strategy ต่อเอเชีย เป็นไปไม่ได้ที่อภิมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกจะไม่มียุทธศาสตร์ใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่มหาอำนาจของโลกจะไม่มีวัตถุประสงค์หลักว่า ต้องการอะไรจากเอเชีย
สหรัฐฯ เป็นอภิมหาอำนาจ ในภาษาอังกฤษเรียกว่า unipolar คือ 1 ขั้วอำนาจ บางทีเราใช้ hegemon คือ เจ้า ในสมัยของ Bush ที่พยายามครองความเป็นเจ้าหนัก ๆ เราก็จะเรียกสหรัฐฯ ว่า เป็นเจ้าจักรวรรดิโรมันใหม่ new roman empire ที่ผมคิดว่าเป็นวัตถุประสงค์ หรือเป็นยุทธศาสตร์ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ คือ จะทำยังไง ถึงจะให้สหรัฐฯ นั้น ดำรงครองความเป็นเจ้า อันดับหนึ่งของโลก ต่อไปให้ได้ยาวนานที่สุด นี่คือวัตถุประสงค์พื้นฐานที่สุด
ยุทธศาสตร์ที่สองคือ ยุทธศาสตร์ครองความเป็นเจ้า คือ ต้องป้องกันไม่ให้ใครขึ้นมาท้าทายความเป็นเจ้า ต้องป้องกันไม่ให้มีคู่แข่ง ผู้ท้าทาย หรือมาแย่งอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ ไป เพราะฉะนั้น เมื่อมองไปแล้ว เราก็เห็นสถิติ ตัวเลขต่าง ๆ ชัดเจน ที่ชี้ให้เห็นถึงการผงาดขึ้นมาของจีน “the rise of China” ไม่ว่าจะมองยังไงก็ตาม ทิศทางก็เป็นไปในแนวทางเดียวกันหมด คือ จีนจะกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดโลก ซึ่งขณะนี้ สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก แต่ว่าในอนาคต จีนจะแซงแน่นอน คำถาม ณ ตอนนี้ ไม่ได้คำถาม “if” แต่เป็น “when” คือเมื่อไรที่จีนจะแซงสหรัฐฯ ในการเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก
เราเห็นแล้วว่า ทุกวันนี้ จีนดำเนินนโยบายในเชิงรุกต่าง ๆ มากขึ้น และแซงสหรัฐฯ ไปในบางเรื่อง ในเรื่องเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน เทคโนโลยี ก็กำลังไล่กวด ล่าสุด ปีที่แล้ว จีนก็แซงสหรัฐฯ ในเรื่องเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิกอีกต่างหาก จากที่ สหรัฐฯ เป็นเจ้าเหรียญทองมาโดยตลอด แต่เมื่อปี 2008 จีนก็กลายเป็นเจ้าเหรียญทอง
เรื่องการผงาดขึ้นมาของจีนเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับโลกเรา และสำหรับสหรัฐฯ และภูมิภาคนี้ด้วย เพราะการผงาดขึ้นมาของจีน จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อโลก จีนจะมีพฤติกรรมอย่างไร ในเมื่อจีนจะกลายเป็นอภิอำนาจอันดับหนึ่งของโลก แทนที่สหรัฐฯ จีนจะยังคงยอมรับในระเบียบโลกที่สหรัฐฯ สร้างขึ้นมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือไม่ และสหรัฐฯ จะยอมรับสภาพหรือไม่ ในสถานะใหม่ของจีนที่ขึ้นมาเทียบชั้นอเมริกา ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากที่เรายังหาคำตอบได้ไม่ชัดเจน
แต่ว่าข้อสำคัญ ก็คือว่า สหรัฐฯจะต้อง play safe การ play safe ของ สหรัฐฯคือ การพยายามสกัดกั้นอิทธิพลของจีน พยายามที่จะถ่วงดุลอำนาจกับจีน เช่นเดียวกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค ซึ่งขณะนี้ กำลังรู้สึกมีความไม่แน่นอนกับการผงาดขึ้นมาของจีนว่า จะเป็นลบหรือเป็นบวกมากน้อยแค่ไหน ดังนั้น หลาย ๆ ประเทศก็พยายาม play safe เช่นเดียวกัน คือ การดึงเอาสหรัฐฯ กลับคืนมาสู่ภูมิภาคนี้ เพื่อที่จะมาถ่วงดุลอำนาจกับจีน ญี่ปุ่นก็เล่นเกมนี้ อินเดียก็เล่นเกมนี้ อาเซียนก็เล่นเกมนี้ ออสเตรเลียก็เล่นเกมนี้ ทุกประเทศ ขณะนี้ กำลังเล่นเกมเดียวกันหมดคือ เกมถ่วงดุลอำนาจจีน ดังนั้น ผมขอย้ำว่า เรื่อง China factor ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้เราเข้าใจถึงพฤติกรรม นโยบายของสหรัฐฯ ต่อภูมิภาค และต่อไทยด้วย เพราะไทยก็จะเป็นจิ๊กซอร์ตัวหนึ่งในยุทธศาสตร์การสกัดจีน ของสหรัฐฯ
ถ้าเราติดตามเรื่องของยุทธศาสตร์จีนในภูมิภาค เราจะเห็นได้ว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จีนมาแรงมากในการปฏิสัมพันธ์กับอาเซียน จีนเป็นประเทศแรกที่เสนอทำ FTA กับอาเซียน จีนเป็นประเทศแรกที่รับรองสนธิสัญญา Treaty of Amity and Cooperation (TAC) กับอาเซียน จีนเป็นประเทศที่ทำปฏิญญาเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับอาเซียนเป็นประเทศแรก คือโดยรวมแล้ว จีนกำลังใกล้ชิดกับอาเซียนอย่างมาก ซึ่งทำให้อเมริกาจำเป็นที่จะต้องปรับยุทธศาสตร์ ทบทวนยุทธศาสตร์ต่ออาเซียน เพื่อที่จะแข่งกับอิทธิพลของจีนในภูมิภาคนี้ เป็น grand strategy ที่สำคัญ หนึ่งคือ การครองความเป็นเจ้า สองคือ ความพยายามสกัดกั้นอิทธิพลของจีน สามคือ การทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งอันนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์ 11 กันยาฯ เราคงจะเห็นแล้วว่า ในช่วง 8-9 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ก็วุ่นอยู่กับการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นแนวรบที่สอง คือ เป็น second front ของสงครามการต่อต้านการก่อร้ายของสหรัฐฯ เพราะฉะนั้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ก็มากระชับความสัมพันธ์ทางทหารกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค ภายใต้คำว่า “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย”
ประเด็นที่สี่ คือ เรื่องเหตุผลทางเศรษฐกิจ เอเชีย จีน อาเซียน เป็นเค้กก้อนโตทางเศรษฐกิจทั้งการค้าและการลงทุน สหรัฐฯ ปฏิเสธไม่ได้ ถึงการผงาดขึ้นมาของเอเชีย ในการจะเป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจของโลกในอนาคต เพราะฉะนั้น สหรัฐฯ ต้องเปิดสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับเอเชีย ต้องติดต่อค้าขายกับเอเชีย กับจีน กับอาเซียน
ประเด็นที่ห้า คือ เรื่องของการที่เอเชียกำลังมีแนวโน้มที่จะรวมกลุ่มกัน โดยการเกิดขึ้นของอาเซียน + 3 ที่อาจจะนำไปสู่การก่อตั้งประชาคมเอเชียตะวันออก ซึ่งจะไม่มีสหรัฐฯ อยู่ในนั้น ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะทำให้อิทธิพลของสหรัฐฯในภูมิภาค ลดลงเป็นอย่างมาก ถ้ามีการรวมกลุ่มกันเฉพาะอาเซียน +3 และเป็นกลุ่มที่มีแต่เฉพาะประเทศในเอเชีย โดยไม่มีสหรัฐฯ เฉพาะฉะนั้น สหรัฐฯ จึงต้องทำอะไรสักอย่าง จึงนำไปสู่การถกเถียงกันอย่างมาก ในเรื่อง regional architecture หรือ สถาปัตยกรรมในภูมิภาคว่า ควรจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร และนี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ Obama ตอนที่เดินทางมาเยือนเอเชีย ประกาศว่า สหรัฐฯ พร้อมแล้วที่จะเข้าร่วมใน EAS หรือ East Asia Summit
จากยุทธศาสตร์ grand strategy ทั้งหมด สหรัฐฯ implement ยุทธศาสตร์ดังกล่าว ในอดีต โดยผ่านช่องทางที่เรียกว่า ช่องทางทวิภาคี ยุทธศาสตร์หลักคือ hub and spokes โดยมี สหรัฐฯ เป็น hub เป็น ดุมล้อ และความสัมพันธ์ทวิภาคีกับประเทศต่าง ๆ เป็น spokes หรือเป็น ซี่ล้อ hub and spokes มีมาโดยตลอด ปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่ แต่ว่า ในปัจจุบัน กำลังมีพัฒนาการเวทีพหุภาคีเกิดขึ้น ดังนั้น สหรัฐฯ ก็เสริมยุทธศาสตร์ hub and spokes ด้วยยุทธศาสตร์พหุภาคีนิยมมากขึ้น โดยการให้ความสำคัญกับ APEC และกลับมาให้ความสำคัญกับอาเซียน และ สถาปัตยกรรมในภูมิภาคที่จะเป็นอาเซียน +6 + 7
อเมริกา ในอดีต การที่สามารถเป็นผู้นำโลกได้ เพราะใช้ทั้ง hard power และ soft power hard power คือ อำนาจทางทหาร ส่วน soft power คือ อำนาจในเรื่องของการสร้างความชอบธรรมในการครองความเป็นเจ้า การส่งเสริมวัฒนธรรมอเมริกัน การครอบงำทางวัฒนธรรมอเมริกัน การชูว่า สหรัฐฯ เป็นวีรบุรุษของโลก และทำให้ชาวโลกชื่นชมอเมริกา ในวัฒนธรรมอเมริกัน และยอมรับการเป็นผู้นำโลกของสหรัฐฯ ด้วยความเต็มใจ ซึ่งอันนี้ เราเรียกว่า soft power
ในอดีตนั้น มี balance สมดุล ทั้ง hard power และ soft power อยู่คู่กัน ทั้งในเรื่องของการใช้กำลังทหารและสถาบันระหว่างประเทศต่าง ๆ ทั้ง UN และพันธมิตร
แต่พอมาในสมัย Bush เกิดความไม่สมดุลขึ้น โดยรัฐบาล Bush หันไปเน้น hard power มากเกินไปคือ เน้นทางทหารและไม่ได้ให้ความสำคัญกับ soft power ดังนั้น ความสมดุลจึงเสียไป และทำให้สหรัฐฯ ขาดความชอบธรรม ในการเป็นผู้นำโลก
เพราะฉะนั้น นี่คือ ภารกิจสำคัญของรัฐบาล Obama ที่จะต้องกลับมาสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง คือ การที่จะต้องเพิ่ม soft power เข้ามาในนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ เพื่อให้เกิดความสมดุล ทั้ง hard และ soft นี่ก็คือ ที่มาของการที่ Obama พยายามเหลือเกินในการที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับโลก เน้นพหุภาคีนิยมกับโลก
การประเมินนโยบายต่างประเทศของ Obama
จากยุทธศาสตร์ทั้งหมด Obama ได้ทำอะไรไปบ้างในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
1 ปีที่ผ่านมา Obama ประกาศนโยบายใหม่ ๆ มากมาย Obama ประกาศว่า พร้อมจะเจรจากับศัตรูของสหรัฐฯ เริ่มปฏิสัมพันธ์กับอิหร่าน เกาหลีเหนือ และพม่า เปิดศักราชใหม่ความสัมพันธ์กับโลกมุสลิม โดยไปกล่าวสุนทรพจน์ที่ไคโรเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ต้องการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับโลกมุสลิม เดินหน้าถอนทหารออกจากอิรัก และพร้อมที่จะสร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัสเซีย และจีน โดยได้เดินทางไปเยือนทั้งสองประเทศ และจากการไปเยือนทั้งสองประเทศ ผลของความร่วมมือต่าง ๆ ก็มีออกมามากมาย จุดยืนของรัฐบาล Obama ต่อปัญหาโลกเปลี่ยนไปหมด จากที่ go it alone ตอนนี้ก็หันมาปฏิสัมพันธ์กับโลก พร้อมที่จะให้ความสำคัญกับ UN สุนทรพจน์ของ Obama ที่ UN เป็นสุนทรพจน์ประวัติศาสตร์ Obama ได้ประกาศพร้อมที่จะร่วมมือกับประชาคมโลก ในการที่จะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
ทีนี้เราจะประเมินกันอย่างไร คนที่ประเมิน Obama ได้ A คือ คณะกรรมการ Nobel สาขา สันติภาพ ที่ได้ให้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ให้กับ Obama โดยได้ชื่นชม Obama ว่า ได้สร้างบรรยากาศใหม่ให้เกิดขึ้นในการเมืองโลก การทูตพหุภาคีกลับมามีความสำคัญอีกครั้งหนึ่ง การเจรจา หารือ ได้กลับมาเป็นเครื่องมือในการแก้ไขความขัดแย้ง Obama จึงทำให้ชาวโลกมีความหวังสำหรับอนาคตที่ดีขึ้น
ส่วนที่พวกที่ให้ F คือกลุ่มอนุรักษ์นิยม Republican ในอเมริกา โดยให้เหตุผลว่า Obama ก็ได้แต่พูด แต่ก็ไม่ได้ประสบผลสำเร็จอะไรที่เป็นรูปธรรม ปัญหาต่าง ๆ ในโลก ก็ยังคงมีอยู่ ไม่มีปัญหาใดที่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอิสราเอล-ปาเลสไตน์ อิหร่าน เกาหลีเหนือ และพม่า
สำหรับผม ผมคิดว่า Obama ก็มีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลว คือ ประสบความสำเร็จในการริเริ่มนโยบายใหม่ ๆ ส่วนล้มเหลวคือ ยังไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรมจริง ๆ ฉะนั้น เราคงอาจจะเร็วเกินไป ที่จะด่วนสรุปถึงความสำเร็จหรือความล้มเหลวของนโยบายต่างประเทศ Obama คงต้องรอดูกันอีกสักระยะหนึ่ง
การประเมินนโยบายของ Obama ต่อภูมิภาค
สำหรับในระดับภูมิภาค Obama ได้เดินทางมาเยือนเอเชีย เมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ไปเยือนจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และมาประชุม APEC ที่สิงคโปร์ และจัดประชุมสุดยอดครั้งแรกขึ้นระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ อันนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงการที่ Obama กำลังจะให้ความสำคัญกับเอเชีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาเซียน มากขึ้น ในการประกาศนโยบายต่อเอเชียที่ญี่ปุ่น Obama ได้เน้นว่า อเมริกาให้ความสำคัญต่อพันธมิตรทั้ง 5 คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ไทย และฟิลิปปินส์ จีนก็มีความสำคัญเป็นพิเศษ Obama พยายามอย่างยิ่ง ที่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์กับจีนให้มีลักษณะเป็นปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น Obama ได้ย้ำว่า สหรัฐฯไม่มีนโยบายปิดล้อมจีน แต่ผมมองว่า นโยบายสหรัฐฯต่อจีน ก็ยังคงเป็นกึ่งปิดล้อม กึ่งปฏิสัมพันธ์ คือมีลักษณะปิดล้อมทางทหาร แต่ปฏิสัมพันธ์ทางการทูตและเศรษฐกิจ
ส่วนเวทีพหุภาคี Obama มองว่า ถึงเวลาแล้ว ที่อเมริกาจะต้องหันมาให้ความสำคัญกับเวทีพหุภาคีในภูมิภาค เน้น APEC เน้นอาเซียน และพม่า ก็เน้นปฏิสัมพันธ์ เน้นนโยบายที่เรียกว่า Practical Engagement ซึ่งเป็นนโยบายใหม่ของอเมริกาต่อพม่า
สำหรับอาเซียน ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน – สหรัฐฯ นั้น ถือว่าเป็นการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ เพราะว่า มีข้อตกลงต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการลงนามใน Treaty of Amity and Cooperation (TAC) แต่งตั้งทูตสหรัฐฯประจำอาเซียน จะเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน มีท่าทีที่เปลี่ยนไปในเรื่องเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรื่องเศรษฐกิจ การค้ามีมูลค่าสูงถึง 200,000 ล้านเหรียญในปี 2008 มีการประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียนและรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ และกำลังจะมีการประชุมรัฐมนตรีพลังงานกับสหรัฐฯ อเมริกากำลังเปิดแนวรุกใหม่ในเรื่องของ US – Mekong Initiative อเมริกาได้ประชุมกับประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง คือ พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และไทย ซึ่งต่อไปจะมีการประชุมทุกปี
สำหรับไทย highlight คือ ตอนที่ Hillary Clinton มาเยือนไทยในเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว มาพบปะกับนายกอภิสิทธิ์ Hillary ชมไทยมากมาย ซึ่งแสดงว่า อเมริกาต้องการที่จะใกล้ชิดกับไทย บอกว่าความสัมพันธ์มีมายาวนานกว่า 175 ปี ไทยเป็นผู้นำในภูมิภาคที่มีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งในด้านยุทธศาสตร์ และทางด้านเศรษฐกิจ ไทยในฐานะประธานอาเซียน เล่นบทบาทสำคัญ มีนโยบายในเชิงสร้างสรรค์ต่อปัญหาพม่า เกาหลีเหนือ พันธมิตรทางการทหารก็แน่นแฟ้น โดยในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ จะมีการซ้อมรบ Cobra Gold ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ
สรุปแล้ว ผมคิดว่า อเมริกาคงจะเดินหน้าต่อ ในเรื่องของการที่จะรักษาบทบาท สถานะความเป็นเจ้าในภูมิภาคต่อไป โดยการดำเนินนโยบายดังที่กล่าวไปแล้ว ทั้งทวิภาคีและพหุภาคี และแน่นอนว่า ในบรรยากาศเช่นนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯก็จะกระชับแน่นแฟ้นมากขึ้น จากที่เริ่มมาตั้งแต่การประชุมสุดยอดที่สิงคโปร์ และแน่นอน ในเรื่องความสัมพันธ์ไทยกับสหรัฐฯ ก็จะได้อานิสงค์ไปด้วย
ไทยโพสต์ วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2553 หน้า 4
Outline ของผมคือ ผมจะพูดถึงเรื่อง grand strategy ก่อน ต่อมา ก็จะพูด 1 ปีของ Obama ว่าทำอะไรไปบ้าง ในระดับโลก ระดับภูมิภาค ต่อมา ก็มาถึงอาเซียน และไทย
grand strategy
ประเด็นแรก เรื่อง grand strategy ผมคิดว่า สหรัฐฯ มี grand strategy ต่อเอเชีย เป็นไปไม่ได้ที่อภิมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกจะไม่มียุทธศาสตร์ใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่มหาอำนาจของโลกจะไม่มีวัตถุประสงค์หลักว่า ต้องการอะไรจากเอเชีย
สหรัฐฯ เป็นอภิมหาอำนาจ ในภาษาอังกฤษเรียกว่า unipolar คือ 1 ขั้วอำนาจ บางทีเราใช้ hegemon คือ เจ้า ในสมัยของ Bush ที่พยายามครองความเป็นเจ้าหนัก ๆ เราก็จะเรียกสหรัฐฯ ว่า เป็นเจ้าจักรวรรดิโรมันใหม่ new roman empire ที่ผมคิดว่าเป็นวัตถุประสงค์ หรือเป็นยุทธศาสตร์ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ คือ จะทำยังไง ถึงจะให้สหรัฐฯ นั้น ดำรงครองความเป็นเจ้า อันดับหนึ่งของโลก ต่อไปให้ได้ยาวนานที่สุด นี่คือวัตถุประสงค์พื้นฐานที่สุด
ยุทธศาสตร์ที่สองคือ ยุทธศาสตร์ครองความเป็นเจ้า คือ ต้องป้องกันไม่ให้ใครขึ้นมาท้าทายความเป็นเจ้า ต้องป้องกันไม่ให้มีคู่แข่ง ผู้ท้าทาย หรือมาแย่งอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ ไป เพราะฉะนั้น เมื่อมองไปแล้ว เราก็เห็นสถิติ ตัวเลขต่าง ๆ ชัดเจน ที่ชี้ให้เห็นถึงการผงาดขึ้นมาของจีน “the rise of China” ไม่ว่าจะมองยังไงก็ตาม ทิศทางก็เป็นไปในแนวทางเดียวกันหมด คือ จีนจะกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดโลก ซึ่งขณะนี้ สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก แต่ว่าในอนาคต จีนจะแซงแน่นอน คำถาม ณ ตอนนี้ ไม่ได้คำถาม “if” แต่เป็น “when” คือเมื่อไรที่จีนจะแซงสหรัฐฯ ในการเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก
เราเห็นแล้วว่า ทุกวันนี้ จีนดำเนินนโยบายในเชิงรุกต่าง ๆ มากขึ้น และแซงสหรัฐฯ ไปในบางเรื่อง ในเรื่องเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน เทคโนโลยี ก็กำลังไล่กวด ล่าสุด ปีที่แล้ว จีนก็แซงสหรัฐฯ ในเรื่องเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิกอีกต่างหาก จากที่ สหรัฐฯ เป็นเจ้าเหรียญทองมาโดยตลอด แต่เมื่อปี 2008 จีนก็กลายเป็นเจ้าเหรียญทอง
เรื่องการผงาดขึ้นมาของจีนเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับโลกเรา และสำหรับสหรัฐฯ และภูมิภาคนี้ด้วย เพราะการผงาดขึ้นมาของจีน จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อโลก จีนจะมีพฤติกรรมอย่างไร ในเมื่อจีนจะกลายเป็นอภิอำนาจอันดับหนึ่งของโลก แทนที่สหรัฐฯ จีนจะยังคงยอมรับในระเบียบโลกที่สหรัฐฯ สร้างขึ้นมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือไม่ และสหรัฐฯ จะยอมรับสภาพหรือไม่ ในสถานะใหม่ของจีนที่ขึ้นมาเทียบชั้นอเมริกา ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากที่เรายังหาคำตอบได้ไม่ชัดเจน
แต่ว่าข้อสำคัญ ก็คือว่า สหรัฐฯจะต้อง play safe การ play safe ของ สหรัฐฯคือ การพยายามสกัดกั้นอิทธิพลของจีน พยายามที่จะถ่วงดุลอำนาจกับจีน เช่นเดียวกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค ซึ่งขณะนี้ กำลังรู้สึกมีความไม่แน่นอนกับการผงาดขึ้นมาของจีนว่า จะเป็นลบหรือเป็นบวกมากน้อยแค่ไหน ดังนั้น หลาย ๆ ประเทศก็พยายาม play safe เช่นเดียวกัน คือ การดึงเอาสหรัฐฯ กลับคืนมาสู่ภูมิภาคนี้ เพื่อที่จะมาถ่วงดุลอำนาจกับจีน ญี่ปุ่นก็เล่นเกมนี้ อินเดียก็เล่นเกมนี้ อาเซียนก็เล่นเกมนี้ ออสเตรเลียก็เล่นเกมนี้ ทุกประเทศ ขณะนี้ กำลังเล่นเกมเดียวกันหมดคือ เกมถ่วงดุลอำนาจจีน ดังนั้น ผมขอย้ำว่า เรื่อง China factor ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้เราเข้าใจถึงพฤติกรรม นโยบายของสหรัฐฯ ต่อภูมิภาค และต่อไทยด้วย เพราะไทยก็จะเป็นจิ๊กซอร์ตัวหนึ่งในยุทธศาสตร์การสกัดจีน ของสหรัฐฯ
ถ้าเราติดตามเรื่องของยุทธศาสตร์จีนในภูมิภาค เราจะเห็นได้ว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จีนมาแรงมากในการปฏิสัมพันธ์กับอาเซียน จีนเป็นประเทศแรกที่เสนอทำ FTA กับอาเซียน จีนเป็นประเทศแรกที่รับรองสนธิสัญญา Treaty of Amity and Cooperation (TAC) กับอาเซียน จีนเป็นประเทศที่ทำปฏิญญาเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับอาเซียนเป็นประเทศแรก คือโดยรวมแล้ว จีนกำลังใกล้ชิดกับอาเซียนอย่างมาก ซึ่งทำให้อเมริกาจำเป็นที่จะต้องปรับยุทธศาสตร์ ทบทวนยุทธศาสตร์ต่ออาเซียน เพื่อที่จะแข่งกับอิทธิพลของจีนในภูมิภาคนี้ เป็น grand strategy ที่สำคัญ หนึ่งคือ การครองความเป็นเจ้า สองคือ ความพยายามสกัดกั้นอิทธิพลของจีน สามคือ การทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งอันนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์ 11 กันยาฯ เราคงจะเห็นแล้วว่า ในช่วง 8-9 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ก็วุ่นอยู่กับการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นแนวรบที่สอง คือ เป็น second front ของสงครามการต่อต้านการก่อร้ายของสหรัฐฯ เพราะฉะนั้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ก็มากระชับความสัมพันธ์ทางทหารกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค ภายใต้คำว่า “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย”
ประเด็นที่สี่ คือ เรื่องเหตุผลทางเศรษฐกิจ เอเชีย จีน อาเซียน เป็นเค้กก้อนโตทางเศรษฐกิจทั้งการค้าและการลงทุน สหรัฐฯ ปฏิเสธไม่ได้ ถึงการผงาดขึ้นมาของเอเชีย ในการจะเป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจของโลกในอนาคต เพราะฉะนั้น สหรัฐฯ ต้องเปิดสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับเอเชีย ต้องติดต่อค้าขายกับเอเชีย กับจีน กับอาเซียน
ประเด็นที่ห้า คือ เรื่องของการที่เอเชียกำลังมีแนวโน้มที่จะรวมกลุ่มกัน โดยการเกิดขึ้นของอาเซียน + 3 ที่อาจจะนำไปสู่การก่อตั้งประชาคมเอเชียตะวันออก ซึ่งจะไม่มีสหรัฐฯ อยู่ในนั้น ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะทำให้อิทธิพลของสหรัฐฯในภูมิภาค ลดลงเป็นอย่างมาก ถ้ามีการรวมกลุ่มกันเฉพาะอาเซียน +3 และเป็นกลุ่มที่มีแต่เฉพาะประเทศในเอเชีย โดยไม่มีสหรัฐฯ เฉพาะฉะนั้น สหรัฐฯ จึงต้องทำอะไรสักอย่าง จึงนำไปสู่การถกเถียงกันอย่างมาก ในเรื่อง regional architecture หรือ สถาปัตยกรรมในภูมิภาคว่า ควรจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร และนี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ Obama ตอนที่เดินทางมาเยือนเอเชีย ประกาศว่า สหรัฐฯ พร้อมแล้วที่จะเข้าร่วมใน EAS หรือ East Asia Summit
จากยุทธศาสตร์ grand strategy ทั้งหมด สหรัฐฯ implement ยุทธศาสตร์ดังกล่าว ในอดีต โดยผ่านช่องทางที่เรียกว่า ช่องทางทวิภาคี ยุทธศาสตร์หลักคือ hub and spokes โดยมี สหรัฐฯ เป็น hub เป็น ดุมล้อ และความสัมพันธ์ทวิภาคีกับประเทศต่าง ๆ เป็น spokes หรือเป็น ซี่ล้อ hub and spokes มีมาโดยตลอด ปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่ แต่ว่า ในปัจจุบัน กำลังมีพัฒนาการเวทีพหุภาคีเกิดขึ้น ดังนั้น สหรัฐฯ ก็เสริมยุทธศาสตร์ hub and spokes ด้วยยุทธศาสตร์พหุภาคีนิยมมากขึ้น โดยการให้ความสำคัญกับ APEC และกลับมาให้ความสำคัญกับอาเซียน และ สถาปัตยกรรมในภูมิภาคที่จะเป็นอาเซียน +6 + 7
อเมริกา ในอดีต การที่สามารถเป็นผู้นำโลกได้ เพราะใช้ทั้ง hard power และ soft power hard power คือ อำนาจทางทหาร ส่วน soft power คือ อำนาจในเรื่องของการสร้างความชอบธรรมในการครองความเป็นเจ้า การส่งเสริมวัฒนธรรมอเมริกัน การครอบงำทางวัฒนธรรมอเมริกัน การชูว่า สหรัฐฯ เป็นวีรบุรุษของโลก และทำให้ชาวโลกชื่นชมอเมริกา ในวัฒนธรรมอเมริกัน และยอมรับการเป็นผู้นำโลกของสหรัฐฯ ด้วยความเต็มใจ ซึ่งอันนี้ เราเรียกว่า soft power
ในอดีตนั้น มี balance สมดุล ทั้ง hard power และ soft power อยู่คู่กัน ทั้งในเรื่องของการใช้กำลังทหารและสถาบันระหว่างประเทศต่าง ๆ ทั้ง UN และพันธมิตร
แต่พอมาในสมัย Bush เกิดความไม่สมดุลขึ้น โดยรัฐบาล Bush หันไปเน้น hard power มากเกินไปคือ เน้นทางทหารและไม่ได้ให้ความสำคัญกับ soft power ดังนั้น ความสมดุลจึงเสียไป และทำให้สหรัฐฯ ขาดความชอบธรรม ในการเป็นผู้นำโลก
เพราะฉะนั้น นี่คือ ภารกิจสำคัญของรัฐบาล Obama ที่จะต้องกลับมาสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง คือ การที่จะต้องเพิ่ม soft power เข้ามาในนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ เพื่อให้เกิดความสมดุล ทั้ง hard และ soft นี่ก็คือ ที่มาของการที่ Obama พยายามเหลือเกินในการที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับโลก เน้นพหุภาคีนิยมกับโลก
การประเมินนโยบายต่างประเทศของ Obama
จากยุทธศาสตร์ทั้งหมด Obama ได้ทำอะไรไปบ้างในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
1 ปีที่ผ่านมา Obama ประกาศนโยบายใหม่ ๆ มากมาย Obama ประกาศว่า พร้อมจะเจรจากับศัตรูของสหรัฐฯ เริ่มปฏิสัมพันธ์กับอิหร่าน เกาหลีเหนือ และพม่า เปิดศักราชใหม่ความสัมพันธ์กับโลกมุสลิม โดยไปกล่าวสุนทรพจน์ที่ไคโรเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ต้องการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับโลกมุสลิม เดินหน้าถอนทหารออกจากอิรัก และพร้อมที่จะสร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัสเซีย และจีน โดยได้เดินทางไปเยือนทั้งสองประเทศ และจากการไปเยือนทั้งสองประเทศ ผลของความร่วมมือต่าง ๆ ก็มีออกมามากมาย จุดยืนของรัฐบาล Obama ต่อปัญหาโลกเปลี่ยนไปหมด จากที่ go it alone ตอนนี้ก็หันมาปฏิสัมพันธ์กับโลก พร้อมที่จะให้ความสำคัญกับ UN สุนทรพจน์ของ Obama ที่ UN เป็นสุนทรพจน์ประวัติศาสตร์ Obama ได้ประกาศพร้อมที่จะร่วมมือกับประชาคมโลก ในการที่จะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
ทีนี้เราจะประเมินกันอย่างไร คนที่ประเมิน Obama ได้ A คือ คณะกรรมการ Nobel สาขา สันติภาพ ที่ได้ให้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ให้กับ Obama โดยได้ชื่นชม Obama ว่า ได้สร้างบรรยากาศใหม่ให้เกิดขึ้นในการเมืองโลก การทูตพหุภาคีกลับมามีความสำคัญอีกครั้งหนึ่ง การเจรจา หารือ ได้กลับมาเป็นเครื่องมือในการแก้ไขความขัดแย้ง Obama จึงทำให้ชาวโลกมีความหวังสำหรับอนาคตที่ดีขึ้น
ส่วนที่พวกที่ให้ F คือกลุ่มอนุรักษ์นิยม Republican ในอเมริกา โดยให้เหตุผลว่า Obama ก็ได้แต่พูด แต่ก็ไม่ได้ประสบผลสำเร็จอะไรที่เป็นรูปธรรม ปัญหาต่าง ๆ ในโลก ก็ยังคงมีอยู่ ไม่มีปัญหาใดที่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอิสราเอล-ปาเลสไตน์ อิหร่าน เกาหลีเหนือ และพม่า
สำหรับผม ผมคิดว่า Obama ก็มีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลว คือ ประสบความสำเร็จในการริเริ่มนโยบายใหม่ ๆ ส่วนล้มเหลวคือ ยังไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรมจริง ๆ ฉะนั้น เราคงอาจจะเร็วเกินไป ที่จะด่วนสรุปถึงความสำเร็จหรือความล้มเหลวของนโยบายต่างประเทศ Obama คงต้องรอดูกันอีกสักระยะหนึ่ง
การประเมินนโยบายของ Obama ต่อภูมิภาค
สำหรับในระดับภูมิภาค Obama ได้เดินทางมาเยือนเอเชีย เมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ไปเยือนจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และมาประชุม APEC ที่สิงคโปร์ และจัดประชุมสุดยอดครั้งแรกขึ้นระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ อันนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงการที่ Obama กำลังจะให้ความสำคัญกับเอเชีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาเซียน มากขึ้น ในการประกาศนโยบายต่อเอเชียที่ญี่ปุ่น Obama ได้เน้นว่า อเมริกาให้ความสำคัญต่อพันธมิตรทั้ง 5 คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ไทย และฟิลิปปินส์ จีนก็มีความสำคัญเป็นพิเศษ Obama พยายามอย่างยิ่ง ที่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์กับจีนให้มีลักษณะเป็นปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น Obama ได้ย้ำว่า สหรัฐฯไม่มีนโยบายปิดล้อมจีน แต่ผมมองว่า นโยบายสหรัฐฯต่อจีน ก็ยังคงเป็นกึ่งปิดล้อม กึ่งปฏิสัมพันธ์ คือมีลักษณะปิดล้อมทางทหาร แต่ปฏิสัมพันธ์ทางการทูตและเศรษฐกิจ
ส่วนเวทีพหุภาคี Obama มองว่า ถึงเวลาแล้ว ที่อเมริกาจะต้องหันมาให้ความสำคัญกับเวทีพหุภาคีในภูมิภาค เน้น APEC เน้นอาเซียน และพม่า ก็เน้นปฏิสัมพันธ์ เน้นนโยบายที่เรียกว่า Practical Engagement ซึ่งเป็นนโยบายใหม่ของอเมริกาต่อพม่า
สำหรับอาเซียน ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน – สหรัฐฯ นั้น ถือว่าเป็นการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ เพราะว่า มีข้อตกลงต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการลงนามใน Treaty of Amity and Cooperation (TAC) แต่งตั้งทูตสหรัฐฯประจำอาเซียน จะเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน มีท่าทีที่เปลี่ยนไปในเรื่องเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรื่องเศรษฐกิจ การค้ามีมูลค่าสูงถึง 200,000 ล้านเหรียญในปี 2008 มีการประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียนและรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ และกำลังจะมีการประชุมรัฐมนตรีพลังงานกับสหรัฐฯ อเมริกากำลังเปิดแนวรุกใหม่ในเรื่องของ US – Mekong Initiative อเมริกาได้ประชุมกับประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง คือ พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และไทย ซึ่งต่อไปจะมีการประชุมทุกปี
สำหรับไทย highlight คือ ตอนที่ Hillary Clinton มาเยือนไทยในเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว มาพบปะกับนายกอภิสิทธิ์ Hillary ชมไทยมากมาย ซึ่งแสดงว่า อเมริกาต้องการที่จะใกล้ชิดกับไทย บอกว่าความสัมพันธ์มีมายาวนานกว่า 175 ปี ไทยเป็นผู้นำในภูมิภาคที่มีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งในด้านยุทธศาสตร์ และทางด้านเศรษฐกิจ ไทยในฐานะประธานอาเซียน เล่นบทบาทสำคัญ มีนโยบายในเชิงสร้างสรรค์ต่อปัญหาพม่า เกาหลีเหนือ พันธมิตรทางการทหารก็แน่นแฟ้น โดยในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ จะมีการซ้อมรบ Cobra Gold ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ
สรุปแล้ว ผมคิดว่า อเมริกาคงจะเดินหน้าต่อ ในเรื่องของการที่จะรักษาบทบาท สถานะความเป็นเจ้าในภูมิภาคต่อไป โดยการดำเนินนโยบายดังที่กล่าวไปแล้ว ทั้งทวิภาคีและพหุภาคี และแน่นอนว่า ในบรรยากาศเช่นนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯก็จะกระชับแน่นแฟ้นมากขึ้น จากที่เริ่มมาตั้งแต่การประชุมสุดยอดที่สิงคโปร์ และแน่นอน ในเรื่องความสัมพันธ์ไทยกับสหรัฐฯ ก็จะได้อานิสงค์ไปด้วย
การประชุม World Economic Forum 2010
การประชุม World Economic Forum 2010
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 57 ฉบับที่ 20 วันศุกร์ที่ 5 - วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 หน้า 32-33
ภาพรวม
การประชุม World Economic Forum (WEF) จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีทีเมือง Davos ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปีนี้นับเป็นการประชุมครั้งที่ 40 การประชุม WEF ถือเป็นเวทีการประชุมของภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในอดีต ผู้เข้าร่วมประชุมจะเป็น CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ แต่ในปัจจุบันได้ขยายวงออกไป โดยมีการเชิญผู้นำรัฐบาล ผู้นำองค์การระหว่างประเทศ NGO นักวิชาการ และสื่อเข้าร่วมประชุมด้วย เวที WEF ถึงแม้จะไม่ใช่เวทีที่เป็นทางการที่จะตกลงแก้ไขปัญหาของโลกได้ แต่ก็เป็นเวทีหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และจะชี้ให้เห็นถึงปัญหาใหญ่ของโลก แนวโน้มและแนวทางการแก้ไข
สำหรับในปีนี้ การประชุมมีขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 2,500 คน มาจากกว่า 90 ประเทศ ในจำนวนนี้เป็น CEO ประมาณ 1,400 กว่าคน ผู้นำรัฐบาลกว่า 30 คน และผู้นำองค์กรระหว่างประเทศกว่า 100 คน ประธานาธิบดีฝรั่งเศส Nicolas Zarkozy เป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุม นอกจากนั้น ก็มีคนดัง ๆ หลายคน นายกรัฐมนตรีแคนาดา ในฐานะประธาน G8 ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ในฐานะประธาน G20 ในปีนี้ นอกจากนั้น ยังมี CEO ดัง ๆ อย่างเช่น Bill Gates และ CEO ของ Google คือ Eric Schmidt
สำหรับ theme ของการประชุมในครั้งนี้คือ “Improve the state of the world : Rethink, Redesign, Rebuild” โดยเน้น 3 เรื่อง คือ Rethink หรือ คิดใหม่ โดยเฉพาะปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลก น่าจะต้องมีการคิดทบทวนในเรื่องต่าง ๆ ส่วนเรื่องที่สอง คือ Redesign คือ การออกแบบใหม่ โดยเฉพาะกับกระบวนการในการจัดการกับปัญหาของโลก และ Rebuild คือ การสร้างกลไกและสถาบันของโลกขึ้นมาใหม่
สำหรับเรื่องสำคัญที่ได้มีการหารือกัน คือ ปัญหาภาวะโลกร้อน ระบบการเงินโลก การปฏิรูปองค์กรโลก รวมทั้งปัญหาการแก้ไขความยากจน และการผงาดขึ้นมาของจีนและอินเดีย แต่ตามที่กล่าวไปแล้ว เวทีนี้ทำได้แค่การหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่น แต่อย่างน้อย ก็น่าจะทำให้เห็นถึงปัญหา และแนวโน้มของการแก้ไขปัญหาของโลก
ปัญหาภาวะโลกร้อน
เรื่องที่ประชุม WEF ให้ความสำคัญเรื่องหนึ่ง คือ ปัญหาภาวะโลกร้อน โดยประธานาธิบดีของเม็กซิโก ได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า การประชุมภาวะโลกร้อนครั้งต่อไปจะมีขึ้นที่เม็กซิโกในช่วงปลายปีนี้ โดยน่าจะสรุปบทเรียนข้อผิดพลาดจากที่โคเปนเฮเกน ซึ่งถือว่าล้มเหลว ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีการผลักดันเจตนารมณ์ทางการเมือง และหวังว่า การประชุมที่เม็กซิโกน่าจะตกลงกันได้ โดยเฉพาะการตั้งเป้าของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งที่ประชุมที่โคเปนเฮเกนล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการตั้งเป้าดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ผมมองว่า การประชุมภาวะโลกร้อนในกรอบของ UN กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก ที่ประชุมที่โคเปนเฮเกนก็ล้มเหลว โดยเฉพาะในการที่จะตกลงกันใน 4 เรื่องใหญ่
เรื่องที่หนึ่งคือ รูปแบบของข้อตกลง ซึ่งทางฝ่ายประเทศยากจนต้องการให้มีการต่ออายุพิธีสารเกียวโตต่อไป ในขณะที่ประเทศร่ำรวยต้องการให้มีการทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ขึ้นมา
สำหรับเรื่องที่สองคือ การกำหนดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ประเทศยากจนต้องการไม่ให้เกิน 1 องศาเซลเซียส ในขณะที่ประเทศร่ำรวยตั้งเป้าอยู่ที่ 2 องศา
ส่วนเรื่องที่สามคือ การกำหนดการลดก๊าซเรือนกระจก ประเทศยากจนต้องการให้ประเทศร่ำรวยลดก๊าซลง 40 % ภายในปี 2020 แต่ประเทศร่ำรวย โดยเฉพาะสหรัฐฯ ประกาศจะลดเพียงแค่ 4 % เท่านั้น
ส่วนเรื่องที่สี่ คือ จำนวนเงินที่ประเทศร่ำรวยจะต้องช่วยเหลือประเทศยากจนในการจัดการกับผลกระทบของภาวะโลกร้อน ประเทศยากจนเรียกร้องให้ประเทศร่ำรวยจ่ายเงิน 1% ของ GDP แต่ประเทศร่ำรวยก็ไม่ยอมตามข้อเรียกร้อง
ข้อขัดแย้งทั้งสี่ จึงนำไปสู่ความล้มเหลวของการประชุมที่โคเปนเฮเกน ผมมองว่า การประชุมที่เม็กซิโกปลายปีนี้ จะมีความยากลำบากมากที่จะตกลงกันในสี่เรื่องดังกล่าว
การปฏิรูประบบการเงินโลก
อีกเรื่องที่ WEF ครั้งนี้ให้ความสำคัญ คือ เรื่อง การปฏิรูประบบการเงินโลก ซึ่งเรื่องนี้ต่อเนื่องมาจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกซึ่งเกิดขึ้นปีที่แล้ว ถึงแม้ในปีนี้บรรยากาศเศรษฐกิจโลก วิกฤตน่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้ว แต่การหารือเรื่องการปฏิรูประบบการเงินโลกยังเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะ หากต้องการที่จะป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตขึ้นมาอีก
ประธานาธิบดี Zarkozy ของฝรั่งเศส ในสุนทรพจน์เปิดการประชุมได้เน้นเรื่องนี้เป็นพิเศษ โดยได้เรียกร้องให้มีการจัดตั้งระบบ Bretton Woods ใหม่ขึ้นมา หรือ ระบบเศรษฐกิจโลกใหม่ และ Zarkozy ได้เรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบทุนนิยมและโลกาภิวัตน์ใหม่ และให้มีการปฏิรูประบบธนาคารและความไม่โปร่งใสต่าง ๆ รวมถึงเงินโบนัสอันมหาศาลของ CEO ของแบงก์ใหญ่ ๆ
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดี Obama ก็ได้เสนอให้มีการปฏิรูประบบการเงินในสหรัฐฯ โดยเสนอให้มีการลดขนาดธนาคาร และเข้าควบคุมตรวจสอบ hedge fund
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอของ Zarkozy และ Obama ก็ได้รับการต่อต้านจาก CEO ของแบงก์ใหญ่ ๆ ซึ่งมองว่า การเข้ามาควบคุมตรวจสอบหรือ regulation นั้น จะมีผลเสียมากกว่าผลดี และการลดขนาดแบงก์ก็ไม่น่าจะแก้ไขปัญหาได้
นอกจากนี้ ในการประชุม WEF ในครั้งนี้ ประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ ในฐานะประธานการประชุม G20 ที่จะจัดขึ้นที่เกาหลีใต้ในปีนี้ ได้กล่าวสุนทรพจน์ โดยเน้นว่า การประชุม G20 ในครั้งต่อไป ควรให้ความสำคัญกับความร่วมมือในการฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจโลก และควรมีการจัดตั้ง Global Financial Safety Net ซึ่งจะเป็นกลไกในการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจ นอกจากนั้น ยังควรมีการจัดตั้งกลไกในการควบคุมตรวจสอบและเตือนภัยล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ผมมองว่า การประชุมในครั้งนี้ ถึงแม้จะมีการหารือในเรื่องการปฏิรูประบบการเงินโลก แต่ก็ไม่ได้มีข้อตกลงหรือฉันทามติที่เป็นรูปธรรมใด ๆ รากเหง้าของปัญหาที่นำไปสู่การเกิดวิกฤตการเงินโลกเมื่อปีที่แล้ว คือ การที่เราขาดกลไกควบคุมตรวจสอบสถาบันการเงินในระดับโลก แต่ดูเหมือนกับว่า ขณะนี้เรื่องนี้ก็กำลังจะถูกลืมไป ทุกประเทศหันมาแก้ไขเฉพาะหน้า คือ การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ และรัฐบาลสหรัฐฯ รวมทั้งภาคเอกชน พยายามคัดค้านแนวคิดการจัดตั้งกลไกในระดับโลก โดยยังคงเน้นหลักการในเรื่องกลไกตลาด ซึ่งแน่นอนว่า จะทำให้สถาบันการเงินของสหรัฐฯได้เปรียบมากที่สุด
เรื่องอื่น ๆ
สำหรับเรื่องอื่น ๆ ที่หารือกันใน WEF เรื่องที่หนึ่งคือ การปฏิรูปองค์การระหว่างประเทศ โดยประเด็นคือ ได้มีการมองว่า องค์การระหว่างประเทศในปัจจุบันไม่มีประสิทธิภาพ เห็นได้จากการล้มเหลวของการเจรจา WTO รอบโดฮา และความล้มเหลวของการเจรจาภาวะโลกร้อนที่โคเปนเฮเกน ได้มีการวิเคราะห์ว่า หลักการฉันทามติเป็นอุปสรรคสำคัญ เพราะเป็นเรื่องยากมากที่จะให้ประเทศสมาชิกเกือบ 200 ประเทศ ตกลงกันได้ในทุก ๆ เรื่อง ขณะนี้จึงมีแนวคิดว่า อาจจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการตัดสินใจขององค์กรโลกใหม่ นอกจากนี้ องค์กรการเงินโลก อย่าง IMF และธนาคารโลกก็กำลังถูกโจมตีอย่างหนักว่าไม่มีความโปร่งใส และจะต้องให้ประเทศกำลังพัฒนามีบทบาทมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้น คือ การขยายวงจาก G8 ไปเป็น G20 ขณะนี้มีการยอมรับแล้วว่า G20 จะเป็นกลไกหลักในการบริหารจัดการเศรษฐกิจโลก
อีกเรื่องหนึ่งที่ WEF ได้หารือ คือการช่วยเหลือประเทศยากจน โดยประเด็นหลัก คือ เป้าหมาย MDG หรือ Millennium Development Goals ซึ่งเป็นเป้าของ UN ที่ตั้งเป้าที่จะแก้ไขปัญหาความยากจนให้ได้ภายในปี 2015 นั้น คงจะเป็นไปได้ยาก ทั้งนี้ เพราะวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นทำให้ประเทศร่ำรวยไม่สามารถให้ความช่วยเงินทางการเงินแก่ประเทศยากจนได้ ที่ประชุม WEF จึงมีแนวคิดว่า น่าจะส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือประเทศยากจนมากยิ่งขึ้น
ส่วนเรื่องสุดท้าย ที่ยังคงมีความสำคัญในการประชุมครั้งนี้ คือ การผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะการผงาดขึ้นมาของจีนและอินเดีย มีหลาย session ที่จัดขึ้นที่หัวข้อเป็นเกี่ยวกับเรื่อง จีน และอินเดีย ซึ่งประเด็นเรื่องการผงาดขึ้นมาของทั้งสองประเทศ น่าจะยังคงเป็น hot issue ต่อไปอีกหลายปี ทั้งนี้ เพราะการผงาดขึ้นมาของยักษ์ใหญ่ทั้งสองจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบโลกในอนาคต แนวโน้มก็ชัดเจนขึ้นมามากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ศูนย์กลางการเมืองและเศรษฐกิจโลก กำลังจะย้ายฐานจากตะวันตกมาตะวันออก ซึ่งเราก็คงจะต้องจับตาดูและวิเคราะห์แนวโน้มที่สำคัญนี้กันอีกต่อไป
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 57 ฉบับที่ 20 วันศุกร์ที่ 5 - วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 หน้า 32-33
ภาพรวม
การประชุม World Economic Forum (WEF) จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีทีเมือง Davos ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปีนี้นับเป็นการประชุมครั้งที่ 40 การประชุม WEF ถือเป็นเวทีการประชุมของภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในอดีต ผู้เข้าร่วมประชุมจะเป็น CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ แต่ในปัจจุบันได้ขยายวงออกไป โดยมีการเชิญผู้นำรัฐบาล ผู้นำองค์การระหว่างประเทศ NGO นักวิชาการ และสื่อเข้าร่วมประชุมด้วย เวที WEF ถึงแม้จะไม่ใช่เวทีที่เป็นทางการที่จะตกลงแก้ไขปัญหาของโลกได้ แต่ก็เป็นเวทีหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และจะชี้ให้เห็นถึงปัญหาใหญ่ของโลก แนวโน้มและแนวทางการแก้ไข
สำหรับในปีนี้ การประชุมมีขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 2,500 คน มาจากกว่า 90 ประเทศ ในจำนวนนี้เป็น CEO ประมาณ 1,400 กว่าคน ผู้นำรัฐบาลกว่า 30 คน และผู้นำองค์กรระหว่างประเทศกว่า 100 คน ประธานาธิบดีฝรั่งเศส Nicolas Zarkozy เป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุม นอกจากนั้น ก็มีคนดัง ๆ หลายคน นายกรัฐมนตรีแคนาดา ในฐานะประธาน G8 ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ในฐานะประธาน G20 ในปีนี้ นอกจากนั้น ยังมี CEO ดัง ๆ อย่างเช่น Bill Gates และ CEO ของ Google คือ Eric Schmidt
สำหรับ theme ของการประชุมในครั้งนี้คือ “Improve the state of the world : Rethink, Redesign, Rebuild” โดยเน้น 3 เรื่อง คือ Rethink หรือ คิดใหม่ โดยเฉพาะปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลก น่าจะต้องมีการคิดทบทวนในเรื่องต่าง ๆ ส่วนเรื่องที่สอง คือ Redesign คือ การออกแบบใหม่ โดยเฉพาะกับกระบวนการในการจัดการกับปัญหาของโลก และ Rebuild คือ การสร้างกลไกและสถาบันของโลกขึ้นมาใหม่
สำหรับเรื่องสำคัญที่ได้มีการหารือกัน คือ ปัญหาภาวะโลกร้อน ระบบการเงินโลก การปฏิรูปองค์กรโลก รวมทั้งปัญหาการแก้ไขความยากจน และการผงาดขึ้นมาของจีนและอินเดีย แต่ตามที่กล่าวไปแล้ว เวทีนี้ทำได้แค่การหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่น แต่อย่างน้อย ก็น่าจะทำให้เห็นถึงปัญหา และแนวโน้มของการแก้ไขปัญหาของโลก
ปัญหาภาวะโลกร้อน
เรื่องที่ประชุม WEF ให้ความสำคัญเรื่องหนึ่ง คือ ปัญหาภาวะโลกร้อน โดยประธานาธิบดีของเม็กซิโก ได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า การประชุมภาวะโลกร้อนครั้งต่อไปจะมีขึ้นที่เม็กซิโกในช่วงปลายปีนี้ โดยน่าจะสรุปบทเรียนข้อผิดพลาดจากที่โคเปนเฮเกน ซึ่งถือว่าล้มเหลว ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีการผลักดันเจตนารมณ์ทางการเมือง และหวังว่า การประชุมที่เม็กซิโกน่าจะตกลงกันได้ โดยเฉพาะการตั้งเป้าของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งที่ประชุมที่โคเปนเฮเกนล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการตั้งเป้าดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ผมมองว่า การประชุมภาวะโลกร้อนในกรอบของ UN กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก ที่ประชุมที่โคเปนเฮเกนก็ล้มเหลว โดยเฉพาะในการที่จะตกลงกันใน 4 เรื่องใหญ่
เรื่องที่หนึ่งคือ รูปแบบของข้อตกลง ซึ่งทางฝ่ายประเทศยากจนต้องการให้มีการต่ออายุพิธีสารเกียวโตต่อไป ในขณะที่ประเทศร่ำรวยต้องการให้มีการทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ขึ้นมา
สำหรับเรื่องที่สองคือ การกำหนดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ประเทศยากจนต้องการไม่ให้เกิน 1 องศาเซลเซียส ในขณะที่ประเทศร่ำรวยตั้งเป้าอยู่ที่ 2 องศา
ส่วนเรื่องที่สามคือ การกำหนดการลดก๊าซเรือนกระจก ประเทศยากจนต้องการให้ประเทศร่ำรวยลดก๊าซลง 40 % ภายในปี 2020 แต่ประเทศร่ำรวย โดยเฉพาะสหรัฐฯ ประกาศจะลดเพียงแค่ 4 % เท่านั้น
ส่วนเรื่องที่สี่ คือ จำนวนเงินที่ประเทศร่ำรวยจะต้องช่วยเหลือประเทศยากจนในการจัดการกับผลกระทบของภาวะโลกร้อน ประเทศยากจนเรียกร้องให้ประเทศร่ำรวยจ่ายเงิน 1% ของ GDP แต่ประเทศร่ำรวยก็ไม่ยอมตามข้อเรียกร้อง
ข้อขัดแย้งทั้งสี่ จึงนำไปสู่ความล้มเหลวของการประชุมที่โคเปนเฮเกน ผมมองว่า การประชุมที่เม็กซิโกปลายปีนี้ จะมีความยากลำบากมากที่จะตกลงกันในสี่เรื่องดังกล่าว
การปฏิรูประบบการเงินโลก
อีกเรื่องที่ WEF ครั้งนี้ให้ความสำคัญ คือ เรื่อง การปฏิรูประบบการเงินโลก ซึ่งเรื่องนี้ต่อเนื่องมาจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกซึ่งเกิดขึ้นปีที่แล้ว ถึงแม้ในปีนี้บรรยากาศเศรษฐกิจโลก วิกฤตน่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้ว แต่การหารือเรื่องการปฏิรูประบบการเงินโลกยังเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะ หากต้องการที่จะป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตขึ้นมาอีก
ประธานาธิบดี Zarkozy ของฝรั่งเศส ในสุนทรพจน์เปิดการประชุมได้เน้นเรื่องนี้เป็นพิเศษ โดยได้เรียกร้องให้มีการจัดตั้งระบบ Bretton Woods ใหม่ขึ้นมา หรือ ระบบเศรษฐกิจโลกใหม่ และ Zarkozy ได้เรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบทุนนิยมและโลกาภิวัตน์ใหม่ และให้มีการปฏิรูประบบธนาคารและความไม่โปร่งใสต่าง ๆ รวมถึงเงินโบนัสอันมหาศาลของ CEO ของแบงก์ใหญ่ ๆ
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดี Obama ก็ได้เสนอให้มีการปฏิรูประบบการเงินในสหรัฐฯ โดยเสนอให้มีการลดขนาดธนาคาร และเข้าควบคุมตรวจสอบ hedge fund
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอของ Zarkozy และ Obama ก็ได้รับการต่อต้านจาก CEO ของแบงก์ใหญ่ ๆ ซึ่งมองว่า การเข้ามาควบคุมตรวจสอบหรือ regulation นั้น จะมีผลเสียมากกว่าผลดี และการลดขนาดแบงก์ก็ไม่น่าจะแก้ไขปัญหาได้
นอกจากนี้ ในการประชุม WEF ในครั้งนี้ ประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ ในฐานะประธานการประชุม G20 ที่จะจัดขึ้นที่เกาหลีใต้ในปีนี้ ได้กล่าวสุนทรพจน์ โดยเน้นว่า การประชุม G20 ในครั้งต่อไป ควรให้ความสำคัญกับความร่วมมือในการฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจโลก และควรมีการจัดตั้ง Global Financial Safety Net ซึ่งจะเป็นกลไกในการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจ นอกจากนั้น ยังควรมีการจัดตั้งกลไกในการควบคุมตรวจสอบและเตือนภัยล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ผมมองว่า การประชุมในครั้งนี้ ถึงแม้จะมีการหารือในเรื่องการปฏิรูประบบการเงินโลก แต่ก็ไม่ได้มีข้อตกลงหรือฉันทามติที่เป็นรูปธรรมใด ๆ รากเหง้าของปัญหาที่นำไปสู่การเกิดวิกฤตการเงินโลกเมื่อปีที่แล้ว คือ การที่เราขาดกลไกควบคุมตรวจสอบสถาบันการเงินในระดับโลก แต่ดูเหมือนกับว่า ขณะนี้เรื่องนี้ก็กำลังจะถูกลืมไป ทุกประเทศหันมาแก้ไขเฉพาะหน้า คือ การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ และรัฐบาลสหรัฐฯ รวมทั้งภาคเอกชน พยายามคัดค้านแนวคิดการจัดตั้งกลไกในระดับโลก โดยยังคงเน้นหลักการในเรื่องกลไกตลาด ซึ่งแน่นอนว่า จะทำให้สถาบันการเงินของสหรัฐฯได้เปรียบมากที่สุด
เรื่องอื่น ๆ
สำหรับเรื่องอื่น ๆ ที่หารือกันใน WEF เรื่องที่หนึ่งคือ การปฏิรูปองค์การระหว่างประเทศ โดยประเด็นคือ ได้มีการมองว่า องค์การระหว่างประเทศในปัจจุบันไม่มีประสิทธิภาพ เห็นได้จากการล้มเหลวของการเจรจา WTO รอบโดฮา และความล้มเหลวของการเจรจาภาวะโลกร้อนที่โคเปนเฮเกน ได้มีการวิเคราะห์ว่า หลักการฉันทามติเป็นอุปสรรคสำคัญ เพราะเป็นเรื่องยากมากที่จะให้ประเทศสมาชิกเกือบ 200 ประเทศ ตกลงกันได้ในทุก ๆ เรื่อง ขณะนี้จึงมีแนวคิดว่า อาจจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการตัดสินใจขององค์กรโลกใหม่ นอกจากนี้ องค์กรการเงินโลก อย่าง IMF และธนาคารโลกก็กำลังถูกโจมตีอย่างหนักว่าไม่มีความโปร่งใส และจะต้องให้ประเทศกำลังพัฒนามีบทบาทมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้น คือ การขยายวงจาก G8 ไปเป็น G20 ขณะนี้มีการยอมรับแล้วว่า G20 จะเป็นกลไกหลักในการบริหารจัดการเศรษฐกิจโลก
อีกเรื่องหนึ่งที่ WEF ได้หารือ คือการช่วยเหลือประเทศยากจน โดยประเด็นหลัก คือ เป้าหมาย MDG หรือ Millennium Development Goals ซึ่งเป็นเป้าของ UN ที่ตั้งเป้าที่จะแก้ไขปัญหาความยากจนให้ได้ภายในปี 2015 นั้น คงจะเป็นไปได้ยาก ทั้งนี้ เพราะวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นทำให้ประเทศร่ำรวยไม่สามารถให้ความช่วยเงินทางการเงินแก่ประเทศยากจนได้ ที่ประชุม WEF จึงมีแนวคิดว่า น่าจะส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือประเทศยากจนมากยิ่งขึ้น
ส่วนเรื่องสุดท้าย ที่ยังคงมีความสำคัญในการประชุมครั้งนี้ คือ การผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะการผงาดขึ้นมาของจีนและอินเดีย มีหลาย session ที่จัดขึ้นที่หัวข้อเป็นเกี่ยวกับเรื่อง จีน และอินเดีย ซึ่งประเด็นเรื่องการผงาดขึ้นมาของทั้งสองประเทศ น่าจะยังคงเป็น hot issue ต่อไปอีกหลายปี ทั้งนี้ เพราะการผงาดขึ้นมาของยักษ์ใหญ่ทั้งสองจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบโลกในอนาคต แนวโน้มก็ชัดเจนขึ้นมามากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ศูนย์กลางการเมืองและเศรษฐกิจโลก กำลังจะย้ายฐานจากตะวันตกมาตะวันออก ซึ่งเราก็คงจะต้องจับตาดูและวิเคราะห์แนวโน้มที่สำคัญนี้กันอีกต่อไป
จีน ปะทะ Google
จีน ปะทะ Google
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 57 ฉบับที่ 19 วันศุกร์ที่ 29 มกราคม - วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2553 หน้า 32-33
การปะทะ
เมื่อประมาณกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา บริษัท Google ได้ประกาศที่จะถอนตัวออกจากจีน โดยอ้างว่า ถูกล้วงข้อมูลและถูกรัฐบาลจีนเซนเซอร์ ต่อมา รัฐบาลสหรัฐฯได้ออกมาสนับสนุนท่าทีของ Google แต่รัฐบาลจีนได้ตอกกลับว่า บริษัทต่างชาติจะสามารถทำธุรกิจในจีนได้และต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของจีน โดยจีนมองว่า ความขัดแย้งกับ Google ในครั้งนี้ ไม่ควรกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งสอง
Eric Schmidt ซึ่งเป็น CEO ของ Google ได้กล่าวว่า จีนเข้มงวดกวดขันมากในเรื่องข้อมูล และมีระบบการเซนเซอร์ที่เข้มงวดมาก ดังนั้น หากคนจีนพิมพ์คำว่า “จัตุรัสเทียนอันเหมิน” หรือ คำว่า “ดาไล ลามะ” ในเว็บไซต์ของ Google ก็จะถูกบล็อก นอกจากนี้ เขายังโจมตีจีนว่า กำลังพยายามพัฒนาในเรื่องของการจารกรรมทางอินเทอร์เน็ตและการทำสงครามในอินเทอร์เน็ต โดยการ hack หรือ ล้วงข้อมูลของจีนนั้น ได้ถูกกล่าวหาจากตะวันตก ถึงขนาดอดีตผู้อำนวยการสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ William Studeman ถึงกับกล่าวว่า เรื่องการล้วงข้อมูลในอินเทอร์เน็ตถือเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดปัญหาหนึ่งที่หน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐฯกำลังเผชิญอยู่
การผงาดขึ้นมาของจีนทำให้บริษัทต่างชาติแห่เข้าไปทำธุรกิจในจีน เช่นเดียวกับ Google แต่ Google ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการเข้าไปทำธุรกิจในจีน เพราะสิ่งที่ Google ขาย คือการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งต้องอาศัยเสรีภาพในการติดต่อเชื่อมโยงข้อมูล แต่ก็มีข้อจำกัดอย่างมากในจีน Google จึงมีส่วนแบ่งในตลาดจีนเพียง 14% ในขณะที่ search engine ของจีน คือ Baidu กลับมีส่วนแบ่งในตลาดถึง 62%
ปฏิกิริยาจากรัฐบาล Obama
รัฐบาล Obama ได้ออกมากล่าวโจมตีรัฐบาลจีน โดย Hillary Clinton รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีนที่เซนเซอร์อินเทอร์เน็ต โดยมองว่าจะกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ โดย Hillary กล่าวว่า อินเทอร์เน็ตนั้นเป็นปัจจัยที่จะทำให้จีนก้าวหน้า แต่การที่รัฐบาลจีนสกัดกั้นเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล จะเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของจีนในอนาคต และได้กล่าวสนับสุนน Google ว่า ภาคเอกชนมีความรับผิดชอบที่จะต้องปกป้องเสรีภาพในการแสดงออก ดังนั้น ภาคเอกชนจะต้องมีจุดยืนในการต่อต้านการเซนเซอร์ Hillary ยังได้เรียกร้องในรัฐบาลจีนตรวจสอบข้อร้องเรียนของ Google ว่าถูกล้วงข้อมูลในจีน โดยได้มีการ hack เพื่อค้นหาอีเมล์ของนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนในจีน Hillary กล่าวกระทบจีนทางอ้อมว่า ประเทศหรือบุคคลใดที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีข้อมูลในอินเทอร์เน็ต จะต้องได้รับผลคือ การถูกประณามจากประชาคมโลก
ต่อมา เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว โฆษกทำเนียบขาวได้ประกาศว่า ประธานาธิบดี Obama ก็มีท่าทีเช่นเดียวกับ Hillary Clinton โดยบอกว่า Obama มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับกรณีของ Google ในจีน และกำลังแสวงหาคำตอบจากรัฐบาลจีน
ท่าทีของรัฐบาลจีน
อย่างไรก็ตาม โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีนก็ได้ออกมาแถลงข่าวตอบโต้ท่าทีของรัฐบาล Obama โดยบอกว่า สหรัฐฯควรจะเคารพในข้อเท็จจริงและยุติการกล่าวหาที่ไม่มีมูล และกล่าวว่า สหรัฐฯควรที่จะจัดการกับปัญหาที่มีความละเอียดอ่อนในวิถีทางที่เหมาะสมกว่านี้ สหรัฐฯได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของจีนในการจัดการบริหารอินเทอร์เน็ต และกล่าวว่าจีนปิดกั้นเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งข้อกล่าวหาเหล่านั้นไม่เป็นความจริง การกล่าวหาเช่นนี้จะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ทางฝ่ายจีนได้ตอกย้ำว่า Google และบริษัทต่างชาติต่าง ๆ จะได้รับการต้อนรับให้ทำธุรกิจในจีนได้ ก็ต่อเมื่อบริษัทเหล่านั้นปฏิบัติตามกฎหมายและจารีตประเพณีของจีน
ปัจจัย
ผมมองว่า ความขัดแย้งในครั้งนี้เป็นผลมาจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของความขัดแย้ง ดังนี้
· การผงาดขึ้นมาของจีน
ผมคิดว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้จีนมีท่าทีที่แข็งกร้าวต่อสหรัฐฯและตะวันตกมากขึ้น
เรื่อย ๆ คือ การผงาดขึ้นมาของจีน โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ ในอนาคต ขนาดเศรษฐกิจของจีนจะใหญ่ขึ้นมาเรื่อย ๆ และภายในปี 2020 หรือ 2025 จีนจะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าสหรัฐฯ นอกจากนี้ จีนได้เป็นประเทศที่มีการบริโภคมากที่สุดในโลก เป็นประเทศที่ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก แนวโน้มคือ จีนกำลังจะพัฒนาไปเป็นอภิมหาอำนาจ และเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลกในอนาคต และแน่นอนว่า ในขณะที่จีนผงาดขึ้นมา อิทธิพลของตะวันตกและสหรัฐฯก็ตกต่ำลงเรื่อย ๆ วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์คราวนี้ทำให้สถานะของสหรัฐฯตกลงไปมาก และคงจะทำให้ผู้นำจีนมีความเชื่อมั่นในแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของตนมากขึ้น และมีท่าทีแข็งกร้าวต่อตะวันตกมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีที่ตะวันตกจะมาสั่งสอนจีนหรือบีบให้จีนทำตาม
· ฉันทามติปักกิ่ง
ในอดีต นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนามักจะเดินตามนโยบายของสหรัฐฯ ที่เรียกว่า “ฉันทามติวอชิงตัน” หรือ washington consensus ซึ่งเน้นกลไกตลาด การค้าเสรี และประชาธิปไตย แต่ขณะนี้ จีนกำลังเสนอตัวแบบพัฒนาเศรษฐกิจแบบจีน ซึ่งแตกต่างจากฉันทามติวอชิงตัน ซึ่งเราอาจเรียกว่า ฉันทามติปักกิ่ง หรือ beijing consensus ซึ่งเน้นการที่รัฐเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจ และไม่จำเป็นต้องมีประชาธิปไตย
ตะวันตกมักจะมีความเชื่อว่า เมื่อจีนมีพัฒนาการเศรษฐกิจมากขึ้น สังคมจีนจะเปลี่ยนไปเป็นแบบตะวันตกมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของเสรีภาพ โดยแนวโน้มนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในหลาย ๆ ประเทศในภูมิภาคที่มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันก็รับค่านิยมตะวันตกเข้าไป ตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน อย่างไรก็ตาม ในกรณีของจีน แนวโน้มดังกล่าวก็ไม่เกิดขึ้น สังคมจีนมีท่าทีต่อต้านค่านิยมตะวันตก และระบบการเมืองจีนก็ยังเป็นระบบเผด็จการภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์
จากความสำเร็จในการผงาดขึ้นมาทางเศรษฐกิจของจีน ทำให้ผู้นำจีนมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น และเริ่มแข็งกร้าวกับตะวันตกมากขึ้น จะเห็นได้จากท่าทีที่แข็งกร้าวกับสหรัฐฯและตะวันตกในหลาย ๆ กรณี อย่างเช่น เรื่องการไม่ยอมเพิ่มค่าเงินหยวน และท่าทีที่แข็งกร้าวในการเจรจาภาวะโลกร้อนที่โคเปนเฮเกน
ในอดีต โดยเฉพาะในทศวรรษที่ 1980 และ 1990 ยุทธศาสตร์หลักของจีนคือ ไม่เผชิญหน้ากับตะวันตก โดยเฉพาะกับสหรัฐฯ โดยจีนต้องการสหรัฐฯ ทั้งเป็นแหล่งเงินทุน และตลาดส่งออก และช่วยจีนให้เข้าเป็นสมาชิกใน WTO แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ท่าทีของจีนเริ่มเปลี่ยน ผู้นำจีน เริ่มมีความเชื่อว่า สหรัฐฯไม่มีความสำคัญต่อจีนเหมือนในอดีต โดยขณะนี้ ตลาดภายในของจีนได้เติบโตขึ้นมาแทนที่ตลาดสหรัฐฯ การส่งออกเริ่มเปลี่ยนทิศทางไปยังประเทศที่ไม่ใช่ตะวันตกมากขึ้น และจีนก็มีเงินทุนเหลือเฟือ มีเงินทุนสำรองมากที่สุดในโลก ถึง 2 ล้านล้านเหรียญ สิ่งเหล่านี้ น่าจะทำให้จีนลดการประนีประนอมต่อรัฐบาลและบริษัทของตะวันตกมากขึ้น
จากปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น น่าจะนำไปสู่การที่จีนไม่สนใจที่ Google จะถอนธุรกิจออกไปจากจีน และไม่สนใจการกล่าวโจมตีจากรัฐบาล Obama แต่อย่างใด
จากกรณีความขัดแย้งระหว่างจีนกับ Google จึงนำไปสู่คำถามใหญ่ที่ว่า การผงาดขึ้นมาของจีนจะส่งผลกระทบต่อโลกอย่างไร บางคนอาจเชื่อว่า การผงาดขึ้นมาของจีนอาจจะทำให้จีนปฏิสัมพันธ์กับโลกดีขึ้น แต่จากกรณี Google ก็อาจจะทำให้มีคำถามตามมาว่า การผงาดขึ้นมาของจีนจะยิ่งทำให้จีน มีความเป็นชาตินิยมมากขึ้นหรือไม่ จะยิ่งทำให้จีนยากลำบากในการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของระบบโลกหรือไม่ และจีนกำลังจะคิดกลับไปเป็น Middle Kingdom อีกหรือไม่
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 57 ฉบับที่ 19 วันศุกร์ที่ 29 มกราคม - วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2553 หน้า 32-33
การปะทะ
เมื่อประมาณกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา บริษัท Google ได้ประกาศที่จะถอนตัวออกจากจีน โดยอ้างว่า ถูกล้วงข้อมูลและถูกรัฐบาลจีนเซนเซอร์ ต่อมา รัฐบาลสหรัฐฯได้ออกมาสนับสนุนท่าทีของ Google แต่รัฐบาลจีนได้ตอกกลับว่า บริษัทต่างชาติจะสามารถทำธุรกิจในจีนได้และต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของจีน โดยจีนมองว่า ความขัดแย้งกับ Google ในครั้งนี้ ไม่ควรกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งสอง
Eric Schmidt ซึ่งเป็น CEO ของ Google ได้กล่าวว่า จีนเข้มงวดกวดขันมากในเรื่องข้อมูล และมีระบบการเซนเซอร์ที่เข้มงวดมาก ดังนั้น หากคนจีนพิมพ์คำว่า “จัตุรัสเทียนอันเหมิน” หรือ คำว่า “ดาไล ลามะ” ในเว็บไซต์ของ Google ก็จะถูกบล็อก นอกจากนี้ เขายังโจมตีจีนว่า กำลังพยายามพัฒนาในเรื่องของการจารกรรมทางอินเทอร์เน็ตและการทำสงครามในอินเทอร์เน็ต โดยการ hack หรือ ล้วงข้อมูลของจีนนั้น ได้ถูกกล่าวหาจากตะวันตก ถึงขนาดอดีตผู้อำนวยการสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ William Studeman ถึงกับกล่าวว่า เรื่องการล้วงข้อมูลในอินเทอร์เน็ตถือเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดปัญหาหนึ่งที่หน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐฯกำลังเผชิญอยู่
การผงาดขึ้นมาของจีนทำให้บริษัทต่างชาติแห่เข้าไปทำธุรกิจในจีน เช่นเดียวกับ Google แต่ Google ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการเข้าไปทำธุรกิจในจีน เพราะสิ่งที่ Google ขาย คือการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งต้องอาศัยเสรีภาพในการติดต่อเชื่อมโยงข้อมูล แต่ก็มีข้อจำกัดอย่างมากในจีน Google จึงมีส่วนแบ่งในตลาดจีนเพียง 14% ในขณะที่ search engine ของจีน คือ Baidu กลับมีส่วนแบ่งในตลาดถึง 62%
ปฏิกิริยาจากรัฐบาล Obama
รัฐบาล Obama ได้ออกมากล่าวโจมตีรัฐบาลจีน โดย Hillary Clinton รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีนที่เซนเซอร์อินเทอร์เน็ต โดยมองว่าจะกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ โดย Hillary กล่าวว่า อินเทอร์เน็ตนั้นเป็นปัจจัยที่จะทำให้จีนก้าวหน้า แต่การที่รัฐบาลจีนสกัดกั้นเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล จะเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของจีนในอนาคต และได้กล่าวสนับสุนน Google ว่า ภาคเอกชนมีความรับผิดชอบที่จะต้องปกป้องเสรีภาพในการแสดงออก ดังนั้น ภาคเอกชนจะต้องมีจุดยืนในการต่อต้านการเซนเซอร์ Hillary ยังได้เรียกร้องในรัฐบาลจีนตรวจสอบข้อร้องเรียนของ Google ว่าถูกล้วงข้อมูลในจีน โดยได้มีการ hack เพื่อค้นหาอีเมล์ของนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนในจีน Hillary กล่าวกระทบจีนทางอ้อมว่า ประเทศหรือบุคคลใดที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีข้อมูลในอินเทอร์เน็ต จะต้องได้รับผลคือ การถูกประณามจากประชาคมโลก
ต่อมา เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว โฆษกทำเนียบขาวได้ประกาศว่า ประธานาธิบดี Obama ก็มีท่าทีเช่นเดียวกับ Hillary Clinton โดยบอกว่า Obama มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับกรณีของ Google ในจีน และกำลังแสวงหาคำตอบจากรัฐบาลจีน
ท่าทีของรัฐบาลจีน
อย่างไรก็ตาม โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีนก็ได้ออกมาแถลงข่าวตอบโต้ท่าทีของรัฐบาล Obama โดยบอกว่า สหรัฐฯควรจะเคารพในข้อเท็จจริงและยุติการกล่าวหาที่ไม่มีมูล และกล่าวว่า สหรัฐฯควรที่จะจัดการกับปัญหาที่มีความละเอียดอ่อนในวิถีทางที่เหมาะสมกว่านี้ สหรัฐฯได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของจีนในการจัดการบริหารอินเทอร์เน็ต และกล่าวว่าจีนปิดกั้นเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งข้อกล่าวหาเหล่านั้นไม่เป็นความจริง การกล่าวหาเช่นนี้จะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ทางฝ่ายจีนได้ตอกย้ำว่า Google และบริษัทต่างชาติต่าง ๆ จะได้รับการต้อนรับให้ทำธุรกิจในจีนได้ ก็ต่อเมื่อบริษัทเหล่านั้นปฏิบัติตามกฎหมายและจารีตประเพณีของจีน
ปัจจัย
ผมมองว่า ความขัดแย้งในครั้งนี้เป็นผลมาจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของความขัดแย้ง ดังนี้
· การผงาดขึ้นมาของจีน
ผมคิดว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้จีนมีท่าทีที่แข็งกร้าวต่อสหรัฐฯและตะวันตกมากขึ้น
เรื่อย ๆ คือ การผงาดขึ้นมาของจีน โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ ในอนาคต ขนาดเศรษฐกิจของจีนจะใหญ่ขึ้นมาเรื่อย ๆ และภายในปี 2020 หรือ 2025 จีนจะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าสหรัฐฯ นอกจากนี้ จีนได้เป็นประเทศที่มีการบริโภคมากที่สุดในโลก เป็นประเทศที่ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก แนวโน้มคือ จีนกำลังจะพัฒนาไปเป็นอภิมหาอำนาจ และเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลกในอนาคต และแน่นอนว่า ในขณะที่จีนผงาดขึ้นมา อิทธิพลของตะวันตกและสหรัฐฯก็ตกต่ำลงเรื่อย ๆ วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์คราวนี้ทำให้สถานะของสหรัฐฯตกลงไปมาก และคงจะทำให้ผู้นำจีนมีความเชื่อมั่นในแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของตนมากขึ้น และมีท่าทีแข็งกร้าวต่อตะวันตกมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีที่ตะวันตกจะมาสั่งสอนจีนหรือบีบให้จีนทำตาม
· ฉันทามติปักกิ่ง
ในอดีต นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนามักจะเดินตามนโยบายของสหรัฐฯ ที่เรียกว่า “ฉันทามติวอชิงตัน” หรือ washington consensus ซึ่งเน้นกลไกตลาด การค้าเสรี และประชาธิปไตย แต่ขณะนี้ จีนกำลังเสนอตัวแบบพัฒนาเศรษฐกิจแบบจีน ซึ่งแตกต่างจากฉันทามติวอชิงตัน ซึ่งเราอาจเรียกว่า ฉันทามติปักกิ่ง หรือ beijing consensus ซึ่งเน้นการที่รัฐเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจ และไม่จำเป็นต้องมีประชาธิปไตย
ตะวันตกมักจะมีความเชื่อว่า เมื่อจีนมีพัฒนาการเศรษฐกิจมากขึ้น สังคมจีนจะเปลี่ยนไปเป็นแบบตะวันตกมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของเสรีภาพ โดยแนวโน้มนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในหลาย ๆ ประเทศในภูมิภาคที่มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันก็รับค่านิยมตะวันตกเข้าไป ตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน อย่างไรก็ตาม ในกรณีของจีน แนวโน้มดังกล่าวก็ไม่เกิดขึ้น สังคมจีนมีท่าทีต่อต้านค่านิยมตะวันตก และระบบการเมืองจีนก็ยังเป็นระบบเผด็จการภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์
จากความสำเร็จในการผงาดขึ้นมาทางเศรษฐกิจของจีน ทำให้ผู้นำจีนมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น และเริ่มแข็งกร้าวกับตะวันตกมากขึ้น จะเห็นได้จากท่าทีที่แข็งกร้าวกับสหรัฐฯและตะวันตกในหลาย ๆ กรณี อย่างเช่น เรื่องการไม่ยอมเพิ่มค่าเงินหยวน และท่าทีที่แข็งกร้าวในการเจรจาภาวะโลกร้อนที่โคเปนเฮเกน
ในอดีต โดยเฉพาะในทศวรรษที่ 1980 และ 1990 ยุทธศาสตร์หลักของจีนคือ ไม่เผชิญหน้ากับตะวันตก โดยเฉพาะกับสหรัฐฯ โดยจีนต้องการสหรัฐฯ ทั้งเป็นแหล่งเงินทุน และตลาดส่งออก และช่วยจีนให้เข้าเป็นสมาชิกใน WTO แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ท่าทีของจีนเริ่มเปลี่ยน ผู้นำจีน เริ่มมีความเชื่อว่า สหรัฐฯไม่มีความสำคัญต่อจีนเหมือนในอดีต โดยขณะนี้ ตลาดภายในของจีนได้เติบโตขึ้นมาแทนที่ตลาดสหรัฐฯ การส่งออกเริ่มเปลี่ยนทิศทางไปยังประเทศที่ไม่ใช่ตะวันตกมากขึ้น และจีนก็มีเงินทุนเหลือเฟือ มีเงินทุนสำรองมากที่สุดในโลก ถึง 2 ล้านล้านเหรียญ สิ่งเหล่านี้ น่าจะทำให้จีนลดการประนีประนอมต่อรัฐบาลและบริษัทของตะวันตกมากขึ้น
จากปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น น่าจะนำไปสู่การที่จีนไม่สนใจที่ Google จะถอนธุรกิจออกไปจากจีน และไม่สนใจการกล่าวโจมตีจากรัฐบาล Obama แต่อย่างใด
จากกรณีความขัดแย้งระหว่างจีนกับ Google จึงนำไปสู่คำถามใหญ่ที่ว่า การผงาดขึ้นมาของจีนจะส่งผลกระทบต่อโลกอย่างไร บางคนอาจเชื่อว่า การผงาดขึ้นมาของจีนอาจจะทำให้จีนปฏิสัมพันธ์กับโลกดีขึ้น แต่จากกรณี Google ก็อาจจะทำให้มีคำถามตามมาว่า การผงาดขึ้นมาของจีนจะยิ่งทำให้จีน มีความเป็นชาตินิยมมากขึ้นหรือไม่ จะยิ่งทำให้จีนยากลำบากในการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของระบบโลกหรือไม่ และจีนกำลังจะคิดกลับไปเป็น Middle Kingdom อีกหรือไม่
สหรัฐกับสถาปัตยกรรมในภูมิภาค
สหรัฐฯกับสถาปัตยกรรมในภูมิภาค
ไทยโพสต์ วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2553 หน้า 4
ขณะนี้ เรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งที่มีการถกเถียงกันในเวทีการทูตในภูมิภาคคือ เรื่อง รูปแบบของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค หรือ อาจจะเรียกง่าย ๆ ระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาค เมื่อช่วงกลางเดือนมกราคมนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ คือ Hillary Clinton ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่ฮาวาย ประกาศท่าทีของสหรัฐฯ ต่อประเด็นสถาปัตยกรรมในภูมิภาคนี้ คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้ จะสรุปและวิเคราะห์ท่าทีของสหรัฐฯ ดังนี้
สุนทรพจน์ของ Hillary Clinton
Hillary Clinton ได้กล่าวนำว่า ขณะนี้ผู้นำในเอเชียกำลังมีการหารือกันถึงเรื่องความร่วมมือในภูมิภาค และสถาปัตยกรรมทางด้านความมั่นคง การเมือง และเศรษฐกิจของเอเชีย ก็กำลังมีวิวัฒนาการเกิดขึ้น Hillary พยายามเน้นถึงหลักการนโยบายพื้นฐานของสหรัฐฯในการปฏิสัมพันธ์และในการเป็นผู้นำของภูมิภาค และยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ต่อความร่วมมือพหุภาคี
Hillary ได้เน้นว่า พันธมิตรทั้ง 5 ของสหรัฐฯในเอเชียจะเป็นรากฐานสำคัญของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค พันธมิตรทั้ง 5 ดังกล่าว คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ไทย และฟิลิปปินส์ โดยได้ย้ำว่า ความสัมพันธ์กับพันธมิตรทั้ง 5 ได้นำไปสู่ความมั่นคงและเสถียรภาพในภูมิภาค ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ภูมิภาคประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจ Hillary มองว่า พันธกรณีทวิภาคีระหว่างพันธมิตรเหล่านี้จะสอดคล้องกับเวทีพหุภาคีในภูมิภาค
นอกจากพันธมิตรทั้ง 5 แล้ว สหรัฐฯ กำลังกระชับความสัมพันธ์กับตัวแสดงในภูมิภาค คือ อินเดีย จีน และอินโดนีเชีย รวมทั้งเวียดนามและสิงคโปร์ ความร่วมมือพหุภาคีควรจะถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของความสัมพันธ์ทวิภาคีเหล่านี้
ประเด็นที่ 2 ที่ Hillary เน้นคือ สหรัฐฯจะเข้าร่วมหารือในเวทีเฉพาะกิจที่ไม่เป็นทางการและสนับสนุนสถาบันในระดับอนุภูมิภาค โดยได้ยกตัวอย่างเวทีการเจรจา 6 ฝ่าย ในการแก้ปัญหาวิกฤตนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ เวทีการหารือกับประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง ( Lower Mekong Initiative) และเวทีการเจรจาไตรภาคี ซึ่งขณะนี้สหรัฐฯมีการเจรจาไตรภาคีอยู่หลายเวที คือ สหรัฐฯ – ญี่ปุ่น – ออสเตรเลีย สหรัฐฯ- ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ และในอนาคตสหรัฐฯกำลังจะพัฒนาเวทีไตรภาคีระหว่าง สหรัฐฯ – ญี่ปุ่น – จีน และสหรัฐฯ – ญี่ปุ่น – อินเดีย ด้วย
ประเด็นที่ 3 ที่ Hillary เน้น คือ การให้คำจำกัดความของสถาบันในภูมิภาค โดยน่าจะมีการระบุว่า องค์กรใดน่าจะดีที่สุด แต่ Hillary ก็ยังไม่ฟันธง และพูดกลาง ๆ ว่า สถาบันที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่ละสถาบันก็มีจุดประสงค์ของตน แต่สำหรับสหรัฐฯ สถาบันที่เหมาะสมจะต้องมีประเทศสำคัญ ๆ รวมอยู่ด้วยทั้งหมด โดยได้ยกตัวอย่าง เช่น APEC และ East Asia Summit(EAS) หรืออาจจะเป็นการผสมผสานหรือการตั้งสถาบันใหม่ขึ้นมา ซึ่งประเด็นนี้เป็นคำถามสำคัญที่ต้องหาคำตอบด้วยการปรึกษาหารือร่วมกัน
และที่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์นี้คือ การที่สหรัฐฯ เสนอที่จะเริ่มหารือกับประเทศในเอเชียถึงการที่สหรัฐฯจะเข้ามามีบทบาทในเวที EAS หรือ อาเซียน +6
Hillary ได้กล่าวในตอนท้ายว่า การเข้ามามีส่วนร่วมของสหรัฐฯ และการเล่นบทบาทเป็นผู้นำในการจัดตั้งสถาบันในภูมิภาค ทุกประเทศจะได้รับประโยชน์ และย้ำว่าไม่ควรมีประเทศใดประเทศหนึ่ง รวมทั้งสหรัฐฯที่จะพยายามครอบงำจากสถาบันเหล่านี้
บทวิเคราะห์
· สรุปยุทธศาสตร์สหรัฐฯต่อสถาปัตยกรรมในภูมิภาค
ผมมองว่า ยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯที่ Hillary ประกาศในครั้งนี้ ถึงแม้จะยังไม่มีความ
ชัดเจนและไม่กล้าฟันธง แต่ก็พอเห็นเป็นลาง ๆ แล้วว่า สหรัฐฯ กำลังคิดอะไรอยู่ ผมอยากจะสรุปว่า ยุทธศาสตร์หลักของสหรัฐฯ คือ การทำให้สหรัฐฯ เป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค ภาษาอังกฤษอาจใช้คำว่า US as the core of regional architecture โดยผมอยากจะสรุปยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ด้วยภาพข้างล่างนี้
จากภาพสรุปได้ว่า ยุทธศาสตร์หลักของสหรัฐฯ คือ การทำให้สหรัฐฯ เป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค คือ มีสหรัฐฯ อยู่วงในสุด
วงที่สอง คือ ความสัมพันธ์ทวิภาคีกับพันธมิตรทั้ง 5 รวมทั้งพันธมิตรใหม่ ๆ เช่น อินเดีย สิงคโปร์ เวียดนาม ความสัมพันธ์จะมีลักษณะเป็น hub and spokes คือ สหรัฐฯ เป็น hub หรือ เป็นดุมล้อ และพันธมิตรเป็น spokes หรือ เป็นซี่ล้อ ดังนั้น ระบบความสัมพันธ์กับพันธมิตร และ ระบบ hub and spokes สำหรับสหรัฐฯ จะยังคงเป็นสถาปัตยกรรมหรือเป็นระบบที่สำคัญที่สุดในภูมิภาค
วงที่สาม คือ เวทีเฉพาะกิจและเวทีอนุภูมิภาค ที่สำคัญคือ เวทีเจรจา 6 ฝ่าย เวทีลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง และเวทีไตรภาคี
วงที่สี่ คือ เวที APEC ซึ่งเป็นเวทีพหุภาคีในภูมิภาคที่สหรัฐฯให้ความสำคัญที่สุด ในอดีต สหรัฐฯก็ครอบงำ APEC มาโดยตลอด แต่ขณะนี้ APEC กำลังประสบวิกฤต เพราะประเทศในภูมิภาคแทบจะไม่มีใครให้ความสำคัญ
วงที่ห้า คือ เวที EAS หรือ อาเซียน + 6 ซึ่งขณะนี้สหรัฐยังไม่มีท่าทีชัดเจนว่าจะเข้ามาเป็นสมาชิก EAS อย่างเป็นทางการหรือไม่ และจะปฏิสัมพันธ์กับ EAS ในลักษณะใด
วงที่หก เป็นวงที่เผื่อไว้ในอนาคต ที่สหรัฐฯ อาจจะกำลังดูลู่ทางในเรื่องของการจัดตั้งสถาบันในภูมิภาคใหม่ขึ้นมา
· grand strategy ของสหรัฐฯ
หากจะถามว่า ทำไมสหรัฐฯจึงต้องมียุทธศาสตร์ดังกล่าวข้างต้น คือ ยุทธศาสตร์สหรัฐฯ
เป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค คำตอบ ก็จะอยู่ที่การวิเคราะห์ grand strategy ของสหรัฐฯ ผมมองว่า ยุทธศาสตร์หลักของสหรัฐฯต่อภูมิภาค คือ ยุทธศาสตร์ครองความเป็นเจ้า ซึ่งยุทธศาสตร์ย่อยที่ตามมาในการจะดำรงความเป็นเจ้า คือ ต้องป้องกันไม่ให้อิทธิพลของสหรัฐฯ ในภูมิภาคลดลง ยุทธศาสตร์ป้องกันการขยายอิทธิพลของจีน และยุทธศาสตร์การป้องกันไม่ให้ประเทศในเอเชียรวมกลุ่มกันโดยไม่มีสหรัฐฯ และนี่ก็คือ เหตุผลสำคัญในการอธิบายยุทธศาสตร์สหรัฐฯต่อสถาปัตยกรรมในภูมิภาค
· ท่าทีสหรัฐฯต่ออาเซียน + 3
อีกเหตุผลหนึ่งที่จะอธิบายท่าทีล่าสุดของสหรัฐฯ ต่อสถาปัตยกรรมในภูมิภาค คือ
พัฒนาการของกรอบอาเซียน +3 ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกัน โดยมี อาเซียน จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งมีเป้าหมายระยะยาวที่จะจัดตั้งประชาคมเอเชียตะวันออกขึ้น และถ้าเอเชียตะวันออกรวมตัวกันได้จริง ก็จะกลายเป็นขั้วอำนาจใหม่ที่จะมีพลังอำนาจทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก ซึ่งจะท้าทายอำนาจของสหรัฐฯเป็นอย่างมาก และจะเป็นการกีดกันสหรัฐฯออกไปจากภูมิภาค ซึ่งจะส่งผลกระทบในทางลบอย่างมากต่ออิทธิพลของสหรัฐฯในอนาคต และสิ่งที่สหรัฐฯ วิตกกังวลอย่างมาก ก็คือ ประชาคมเอเชียตะวันออกในที่สุดอาจจะถูกครอบงำโดยจีน สหรัฐฯจึงได้เริ่มส่งสัญญาณคัดค้านพัฒนาการของอาเซียน +3 และทำให้ประเทศอาเซียนบางประเทศ รวมทั้งญี่ปุ่นเริ่มถอย และหันมาดึงอินเดีย ออสเตรเลีย เข้ามาถ่วงดุลจีน ซึ่งพัฒนากลายเป็น EAS หรือ อาเซียน +6
· ผลกระทบต่ออาเซียน
ประเด็นสุดท้ายที่ผมจะวิเคราะห์คือ ท่าทีล่าสุดของสหรัฐฯต่อสถาปัตยกรรมในภูมิภาค
ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งมียุทธศาสตร์หลักคือ จะให้สหรัฐฯเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรม จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อยุทธศาสตร์ของอาเซียนในเรื่องนี้ เพราะอาเซียนก็ต้องการจะเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาคเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงมีแนวโน้มที่อาเซียน กับสหรัฐฯ จะแข่งกันเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค แต่สหรัฐฯก็เป็นต่ออาเซียน ในแง่ของพลังอำนาจทางทหารและเศรษฐกิจ แต่ข้อได้เปรียบของอาเซียน คือ อาเซียนมีความชอบธรรมมากกว่าสหรัฐฯ เพราะอาเซียนเป็นสถาบันในภูมิภาคอยู่แล้ว แต่สหรัฐฯเป็นอภิมหาอำนาจที่ความชอบธรรมในการครองความเป็นเจ้ากำลังตกต่ำลงเรื่อย ๆ
สรุปแล้ว เราคงต้องจับตาดูกันต่อว่า ในอนาคต สถาปัตยกรรมในภูมิภาคจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไรกัน ผมเดาว่า ในระยะยาว อาจจะเป็นทั้งสองรูปแบบเหลื่อมทับซ้อนกัน คือ มีทั้งอาเซียนและสหรัฐฯ ที่จะเป็นแกนหลักของสถาปัตยกรรมในภูมิภาคในอนาคต
ไทยโพสต์ วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2553 หน้า 4
ขณะนี้ เรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งที่มีการถกเถียงกันในเวทีการทูตในภูมิภาคคือ เรื่อง รูปแบบของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค หรือ อาจจะเรียกง่าย ๆ ระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาค เมื่อช่วงกลางเดือนมกราคมนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ คือ Hillary Clinton ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่ฮาวาย ประกาศท่าทีของสหรัฐฯ ต่อประเด็นสถาปัตยกรรมในภูมิภาคนี้ คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้ จะสรุปและวิเคราะห์ท่าทีของสหรัฐฯ ดังนี้
สุนทรพจน์ของ Hillary Clinton
Hillary Clinton ได้กล่าวนำว่า ขณะนี้ผู้นำในเอเชียกำลังมีการหารือกันถึงเรื่องความร่วมมือในภูมิภาค และสถาปัตยกรรมทางด้านความมั่นคง การเมือง และเศรษฐกิจของเอเชีย ก็กำลังมีวิวัฒนาการเกิดขึ้น Hillary พยายามเน้นถึงหลักการนโยบายพื้นฐานของสหรัฐฯในการปฏิสัมพันธ์และในการเป็นผู้นำของภูมิภาค และยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ต่อความร่วมมือพหุภาคี
Hillary ได้เน้นว่า พันธมิตรทั้ง 5 ของสหรัฐฯในเอเชียจะเป็นรากฐานสำคัญของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค พันธมิตรทั้ง 5 ดังกล่าว คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ไทย และฟิลิปปินส์ โดยได้ย้ำว่า ความสัมพันธ์กับพันธมิตรทั้ง 5 ได้นำไปสู่ความมั่นคงและเสถียรภาพในภูมิภาค ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ภูมิภาคประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจ Hillary มองว่า พันธกรณีทวิภาคีระหว่างพันธมิตรเหล่านี้จะสอดคล้องกับเวทีพหุภาคีในภูมิภาค
นอกจากพันธมิตรทั้ง 5 แล้ว สหรัฐฯ กำลังกระชับความสัมพันธ์กับตัวแสดงในภูมิภาค คือ อินเดีย จีน และอินโดนีเชีย รวมทั้งเวียดนามและสิงคโปร์ ความร่วมมือพหุภาคีควรจะถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของความสัมพันธ์ทวิภาคีเหล่านี้
ประเด็นที่ 2 ที่ Hillary เน้นคือ สหรัฐฯจะเข้าร่วมหารือในเวทีเฉพาะกิจที่ไม่เป็นทางการและสนับสนุนสถาบันในระดับอนุภูมิภาค โดยได้ยกตัวอย่างเวทีการเจรจา 6 ฝ่าย ในการแก้ปัญหาวิกฤตนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ เวทีการหารือกับประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง ( Lower Mekong Initiative) และเวทีการเจรจาไตรภาคี ซึ่งขณะนี้สหรัฐฯมีการเจรจาไตรภาคีอยู่หลายเวที คือ สหรัฐฯ – ญี่ปุ่น – ออสเตรเลีย สหรัฐฯ- ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ และในอนาคตสหรัฐฯกำลังจะพัฒนาเวทีไตรภาคีระหว่าง สหรัฐฯ – ญี่ปุ่น – จีน และสหรัฐฯ – ญี่ปุ่น – อินเดีย ด้วย
ประเด็นที่ 3 ที่ Hillary เน้น คือ การให้คำจำกัดความของสถาบันในภูมิภาค โดยน่าจะมีการระบุว่า องค์กรใดน่าจะดีที่สุด แต่ Hillary ก็ยังไม่ฟันธง และพูดกลาง ๆ ว่า สถาบันที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่ละสถาบันก็มีจุดประสงค์ของตน แต่สำหรับสหรัฐฯ สถาบันที่เหมาะสมจะต้องมีประเทศสำคัญ ๆ รวมอยู่ด้วยทั้งหมด โดยได้ยกตัวอย่าง เช่น APEC และ East Asia Summit(EAS) หรืออาจจะเป็นการผสมผสานหรือการตั้งสถาบันใหม่ขึ้นมา ซึ่งประเด็นนี้เป็นคำถามสำคัญที่ต้องหาคำตอบด้วยการปรึกษาหารือร่วมกัน
และที่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์นี้คือ การที่สหรัฐฯ เสนอที่จะเริ่มหารือกับประเทศในเอเชียถึงการที่สหรัฐฯจะเข้ามามีบทบาทในเวที EAS หรือ อาเซียน +6
Hillary ได้กล่าวในตอนท้ายว่า การเข้ามามีส่วนร่วมของสหรัฐฯ และการเล่นบทบาทเป็นผู้นำในการจัดตั้งสถาบันในภูมิภาค ทุกประเทศจะได้รับประโยชน์ และย้ำว่าไม่ควรมีประเทศใดประเทศหนึ่ง รวมทั้งสหรัฐฯที่จะพยายามครอบงำจากสถาบันเหล่านี้
บทวิเคราะห์
· สรุปยุทธศาสตร์สหรัฐฯต่อสถาปัตยกรรมในภูมิภาค
ผมมองว่า ยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯที่ Hillary ประกาศในครั้งนี้ ถึงแม้จะยังไม่มีความ
ชัดเจนและไม่กล้าฟันธง แต่ก็พอเห็นเป็นลาง ๆ แล้วว่า สหรัฐฯ กำลังคิดอะไรอยู่ ผมอยากจะสรุปว่า ยุทธศาสตร์หลักของสหรัฐฯ คือ การทำให้สหรัฐฯ เป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค ภาษาอังกฤษอาจใช้คำว่า US as the core of regional architecture โดยผมอยากจะสรุปยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ด้วยภาพข้างล่างนี้
จากภาพสรุปได้ว่า ยุทธศาสตร์หลักของสหรัฐฯ คือ การทำให้สหรัฐฯ เป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค คือ มีสหรัฐฯ อยู่วงในสุด
วงที่สอง คือ ความสัมพันธ์ทวิภาคีกับพันธมิตรทั้ง 5 รวมทั้งพันธมิตรใหม่ ๆ เช่น อินเดีย สิงคโปร์ เวียดนาม ความสัมพันธ์จะมีลักษณะเป็น hub and spokes คือ สหรัฐฯ เป็น hub หรือ เป็นดุมล้อ และพันธมิตรเป็น spokes หรือ เป็นซี่ล้อ ดังนั้น ระบบความสัมพันธ์กับพันธมิตร และ ระบบ hub and spokes สำหรับสหรัฐฯ จะยังคงเป็นสถาปัตยกรรมหรือเป็นระบบที่สำคัญที่สุดในภูมิภาค
วงที่สาม คือ เวทีเฉพาะกิจและเวทีอนุภูมิภาค ที่สำคัญคือ เวทีเจรจา 6 ฝ่าย เวทีลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง และเวทีไตรภาคี
วงที่สี่ คือ เวที APEC ซึ่งเป็นเวทีพหุภาคีในภูมิภาคที่สหรัฐฯให้ความสำคัญที่สุด ในอดีต สหรัฐฯก็ครอบงำ APEC มาโดยตลอด แต่ขณะนี้ APEC กำลังประสบวิกฤต เพราะประเทศในภูมิภาคแทบจะไม่มีใครให้ความสำคัญ
วงที่ห้า คือ เวที EAS หรือ อาเซียน + 6 ซึ่งขณะนี้สหรัฐยังไม่มีท่าทีชัดเจนว่าจะเข้ามาเป็นสมาชิก EAS อย่างเป็นทางการหรือไม่ และจะปฏิสัมพันธ์กับ EAS ในลักษณะใด
วงที่หก เป็นวงที่เผื่อไว้ในอนาคต ที่สหรัฐฯ อาจจะกำลังดูลู่ทางในเรื่องของการจัดตั้งสถาบันในภูมิภาคใหม่ขึ้นมา
· grand strategy ของสหรัฐฯ
หากจะถามว่า ทำไมสหรัฐฯจึงต้องมียุทธศาสตร์ดังกล่าวข้างต้น คือ ยุทธศาสตร์สหรัฐฯ
เป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค คำตอบ ก็จะอยู่ที่การวิเคราะห์ grand strategy ของสหรัฐฯ ผมมองว่า ยุทธศาสตร์หลักของสหรัฐฯต่อภูมิภาค คือ ยุทธศาสตร์ครองความเป็นเจ้า ซึ่งยุทธศาสตร์ย่อยที่ตามมาในการจะดำรงความเป็นเจ้า คือ ต้องป้องกันไม่ให้อิทธิพลของสหรัฐฯ ในภูมิภาคลดลง ยุทธศาสตร์ป้องกันการขยายอิทธิพลของจีน และยุทธศาสตร์การป้องกันไม่ให้ประเทศในเอเชียรวมกลุ่มกันโดยไม่มีสหรัฐฯ และนี่ก็คือ เหตุผลสำคัญในการอธิบายยุทธศาสตร์สหรัฐฯต่อสถาปัตยกรรมในภูมิภาค
· ท่าทีสหรัฐฯต่ออาเซียน + 3
อีกเหตุผลหนึ่งที่จะอธิบายท่าทีล่าสุดของสหรัฐฯ ต่อสถาปัตยกรรมในภูมิภาค คือ
พัฒนาการของกรอบอาเซียน +3 ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกัน โดยมี อาเซียน จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งมีเป้าหมายระยะยาวที่จะจัดตั้งประชาคมเอเชียตะวันออกขึ้น และถ้าเอเชียตะวันออกรวมตัวกันได้จริง ก็จะกลายเป็นขั้วอำนาจใหม่ที่จะมีพลังอำนาจทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก ซึ่งจะท้าทายอำนาจของสหรัฐฯเป็นอย่างมาก และจะเป็นการกีดกันสหรัฐฯออกไปจากภูมิภาค ซึ่งจะส่งผลกระทบในทางลบอย่างมากต่ออิทธิพลของสหรัฐฯในอนาคต และสิ่งที่สหรัฐฯ วิตกกังวลอย่างมาก ก็คือ ประชาคมเอเชียตะวันออกในที่สุดอาจจะถูกครอบงำโดยจีน สหรัฐฯจึงได้เริ่มส่งสัญญาณคัดค้านพัฒนาการของอาเซียน +3 และทำให้ประเทศอาเซียนบางประเทศ รวมทั้งญี่ปุ่นเริ่มถอย และหันมาดึงอินเดีย ออสเตรเลีย เข้ามาถ่วงดุลจีน ซึ่งพัฒนากลายเป็น EAS หรือ อาเซียน +6
· ผลกระทบต่ออาเซียน
ประเด็นสุดท้ายที่ผมจะวิเคราะห์คือ ท่าทีล่าสุดของสหรัฐฯต่อสถาปัตยกรรมในภูมิภาค
ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งมียุทธศาสตร์หลักคือ จะให้สหรัฐฯเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรม จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อยุทธศาสตร์ของอาเซียนในเรื่องนี้ เพราะอาเซียนก็ต้องการจะเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาคเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงมีแนวโน้มที่อาเซียน กับสหรัฐฯ จะแข่งกันเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค แต่สหรัฐฯก็เป็นต่ออาเซียน ในแง่ของพลังอำนาจทางทหารและเศรษฐกิจ แต่ข้อได้เปรียบของอาเซียน คือ อาเซียนมีความชอบธรรมมากกว่าสหรัฐฯ เพราะอาเซียนเป็นสถาบันในภูมิภาคอยู่แล้ว แต่สหรัฐฯเป็นอภิมหาอำนาจที่ความชอบธรรมในการครองความเป็นเจ้ากำลังตกต่ำลงเรื่อย ๆ
สรุปแล้ว เราคงต้องจับตาดูกันต่อว่า ในอนาคต สถาปัตยกรรมในภูมิภาคจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไรกัน ผมเดาว่า ในระยะยาว อาจจะเป็นทั้งสองรูปแบบเหลื่อมทับซ้อนกัน คือ มีทั้งอาเซียนและสหรัฐฯ ที่จะเป็นแกนหลักของสถาปัตยกรรมในภูมิภาคในอนาคต
วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ประชาคมโลกกับการช่วยเหลือเฮติ
ประชาคมโลกกับการช่วยเหลือเฮติ
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 57 ฉบับที่ 18 วันศุกร์ที่ 22 - วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2553
เฮติ : ประเทศที่มีแต่ความโชคร้าย
เมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ขนาดความรุนแรง 7.0 ริกเตอร์ ซึ่งทำให้เมืองหลวงของเฮติ คือ Port-Au-Prince พังพินาศเกือบทั้งเมือง ขณะนี้ตัวเลขผู้เสียชีวิตยังไม่แน่นอน แต่มีการคาดการณ์ว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตอาจจะสูงถึง 200,000 คน สำหรับผู้ที่รอดชีวิตก็ประสบปัญหาอย่างหนัก ขาดทั้งน้ำ อาหาร ที่อยู่อาศัย จำนวนประมาณ 3.5 ล้านคน
หายนะของเฮติในครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเฮติที่มีแต่ความโชคร้าย ในช่วงที่ผ่านมา เฮติได้ประสบกับภัยพิบัติ รวมทั้งความวุ่นวายทางการเมือง และเศรษฐกิจมาโดยตลอด เฮติเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในทวีปอเมริกา ทุก ๆ ปี จะมีพายุเฮอริเคนถล่มอยู่ประจำ ในปี 2004 ถูกพายุเฮอริเคนถล่มถึง 4 ลูก ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 3,000 คน
นอกจากโชคร้ายจากภัยพิบัติแล้ว เฮติยังประสบกับความวุ่นวายทางการเมืองมาโดยตลอด โดยในปี 1990 ได้มีการเลือกตั้งและ Jean-Bertrand Aristide ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี แต่อยู่ในตำแหน่งได้ไม่กี่เดือนก็ถูกทำรัฐประหาร ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการทหารมีการปราบปรามผู้ต่อต้านอย่างรุนแรง โดยมีประชาชนถูกสังหารไปหลายพันคน ในช่วงปี 1994 จึงได้มีชาวเฮติอพยพหนีออกจากประเทศโดยทางเรือเพื่อที่จะมาที่สหรัฐฯ ซึ่งในที่สุดก็ทำให้ประธานาธิบดี Clinton ตัดสินใจแทรกแซงทางทหารและล้มระบอบทหารในเฮติ
หลังจากนั้น ได้มีการเลือกตั้งและ Aristide ได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีในปี 2001 แต่หลังจากนั้น ความวุ่นวายและความรุนแรงทางการเมืองได้เกิดขึ้นอีก จนในที่สุด Aristide ได้ถูกบีบให้ออกจากตำแหน่งในปี 2004 และได้มีการส่งกองกำลังสันติภาพของ UN เข้าไป 9,000 คน เพื่อที่จะช่วยฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน ต่อมาในปี 2006 ประธานาธิบดี Rene Preval ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ทางสหประชาชาติและองค์กรต่างๆ ก็ได้ให้ความช่วยเหลือ แต่เฮติก็ยังเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในภูมิภาค โดยประชาชนมีรายได้เฉลี่ยต่อวันไม่ถึง 2 เหรียญ และล่าสุด เฮติก็มาประสบกับหายนะครั้งใหญ่จากแผ่นดินไหวในครั้งนี้อีก
หลังจากเกิดแผ่นดินไหว รัฐบาลของเฮติก็เป็นอัมพาตไม่สามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ ประเทศต่าง ๆ จึงได้พยายามเข้าไปช่วย แต่ก็ประสบกับความยากลำบาก ทั้งนี้ เพราะสนามบินชำรุด ท่าเรือถูกทำลาย ถนนหนทางก็เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง และขาดแคลนทั้งทรัพยากร พลังงาน และบุคลากร
บทบาทของสหรัฐฯ
สหรัฐฯ ในฐานะอภิมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก และเป็นลูกพี่ใหญ่ในภูมิภาค ได้เล่นบทเป็นพระเอกในการช่วยเหลือเฮติ โดยประธานาธิบดี Obama ได้ประกาศจะให้เงินช่วยเหลือเฮติในเบื้องต้น เป็นเงิน 100 ล้านเหรียญ และยังได้เชิญอดีตประธานาธิบดี George Bush กับ Bill Clinton มาช่วยระดมทุนเพื่อช่วยเหลือเฮติ ต่อมา เมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ คือ Hillary Clinton ได้เดินทางไปเฮติ และได้พบปะหารือกับประธานาธิบดี Preval และให้คำมั่นสัญญาว่าสหรัฐจะให้ความช่วยเหลือเฮติอย่างเต็มที่
โดยตั้งแต่วันที่ 17 มกราคมเป็นต้นมา สหรัฐฯ ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือเฮติดังนี้
· ได้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินจอดอยู่นอกชายฝั่งเฮติ และส่งเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงความ
ช่วยเหลือฉุกเฉิน
· กระทรวงกลาโหมได้รายงานว่า ได้ส่งทหารเข้าไป 4,200 คน และจะเพิ่มขึ้นอีก 6,300 คน
รวมทั้งสิ้น 10,000 กว่าคนที่จะเข้าไปช่วยเหลือ ทหารสหรัฐฯ ได้ไปใช้ท่าเรือที่ Cap Haitian ทางเหนือของเฮติ เพื่อลำเลียงความช่วยเหลือ นอกจากนี้ สหรัฐฯยังได้ใช้ฐานทัพเรือที่ Guantanamo ที่คิวบา ซึ่งอยู่ใกล้กับเฮติในการเป็นฐานสำคัญในการส่งความช่วยเหลือและบุคลากรไปยังเฮติ
· USAID องค์กรให้ความช่วยเหลือของสหรัฐฯ ได้จัดตั้งศูนย์กระจายอาหารและน้ำขึ้น 14
จุด รวมทั้งได้มีการจัดตั้งระบบกรองน้ำซึ่งสามารถผลิตน้ำได้ 100,000 ลิตรต่อวัน
· รัฐบาลเฮติได้อนุญาตให้สหรัฐฯเข้าควบคุมจัดการสนามบิน อย่างไรก็ตาม ได้มีเสียง
วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขว้างจากประเทศอื่น ๆ และองค์กรความช่วยเหลือ ที่ไม่สามารถเอาเครื่องบินลงจอดได้ โดยได้มีการกล่าวหาว่า ทางสหรัฐฯจะอนุญาตให้แต่เครื่องบินของสหรัฐฯ และจะเน้นในการเอาคนของสหรัฐฯและอพยพชาวอเมริกันออกจากเฮติ
World Food Program หรือ WFP ซึ่งเป็นหน่วยงานของ UN ไม่สามารถเอาเครื่องบินลงจอดได้ เครื่องบินบางลำต้องไปจอดที่ Santo Domingo เมืองหลวงของสาธารณรัฐโดมินิแกน ประเทศเพื่อนบ้านของเฮติแทน และหลังจากนั้น ต้องใช้รถบรรทุกลำเลียงความช่วยเหลือมาทางถนน ซึ่งต้องใช้เวลานานมากเพราะถนนก็อยู่ในสภาพไม่ดี
หลายประเทศได้แสดงความไม่พอใจ โดยเฉพาะ ฝรั่งเศส บราซิล และอิตาลี รวมทั้งสภากาชาด รัฐบาลฝรั่งเศสได้แสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมากที่เครื่องบินของตนลงจอดไม่ได้ ถึงกับรัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศสได้ทำเรื่องประท้วงไปยังกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ทูตฝรั่งเศสประจำเฮติถึงกับกล่าวว่า สนามบินที่ Port-Au-Prince ได้กลายเป็นสนามบินของสหรัฐฯไปแล้ว
บทบาทของ UN
UN มีกองกำลังรักษาสันติภาพอยู่ในเฮติ และมีประสบการณ์ในการให้ความช่วยเหลือได้เป็น
อย่างดี อย่างไรก็ตาม ที่ทำการของ UN ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากแผ่นดินไหว เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ UN เสียชีวิตไปหลายคน จึงทำให้ UN ไม่สามารถมีบทบาทที่ควรจะเป็นได้ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคมเป็นต้นมา โฆษกของ UN ที่เฮติ ได้กล่าวว่า UN กำลังประสานกับองค์กรอื่น ๆ และกองกำลังรักษาสันติภาพกำลังให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ
ต่อมา เมื่อวันที่ 17 มกราคม Ban Ki-moon เลขาธิการ UN ได้เดินทางไปที่เฮติ และได้กล่าวว่า สถานการณ์ในเฮติถือเป็นวิกฤตการณ์ทางด้านมนุษยธรรมที่รุนแรงที่สุดในหลายสิบปีที่ผ่านมา UN ตั้งเป้าว่า จะพยายามให้ความช่วยเหลือด้านอาหารให้ได้ 2 ล้านคนต่อวัน ซึ่งถือเป็นงานที่หนักมาก และทาง UN ได้มีการระดมทุนประมาณ 560 ล้านเหรียญ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยประมาณ 3 ล้านคนในอีก 6 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะขออนุมัติจากคณะมนตรีความมั่นคงเพื่อเพิ่มจำนวนกองกำลังรักษาสันติภาพในเฮติด้วย
ในส่วนของ World Food Program หรือ WFP ซึ่งเป็นกลไกของ UN ได้ให้ความช่วยเหลือด้านอาหารแก่ผู้ประสบภัยประมาณ 60,000 คนในวันที่ 17 มกราคม โดยในวันที่ 16 มกราฯ ได้ช่วยเหลือไป 40,000 คน WFP ตั้งเป้าที่จะให้ความช่วยเหลือเป็น 1 ล้านต่อวัน และเพิ่มเป็น 2 ล้านคนภายใน 1 เดือน นอกจากนี้ WFP มีแผนที่จะสร้างที่พักชั่วคราวให้กับคนที่ไร้ที่อยู่อาศัย 100,000 คน
ความช่วยเหลือจากประเทศต่าง ๆ
ในส่วนของ EU ได้ประกาศตั้งวงเงินช่วยเหลือ 474 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ อังกฤษได้ประกาศที่จะให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก 37 ล้านเหรียญ และฝรั่งเศสประกาศยกเลิกเงินกู้จำนวน 55 ล้านเหรียญของเฮติ และประกาศให้เงินให้ความช่วยเหลือ 14 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ นอร์เวย์ซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆที่มีประชากรเพียง 4.8 ล้านคนประกาศให้เงินช่วยเหลือ 17 ล้านเหรียญ
นอกจากนี้ บราซิล เม็กซิโก แคนาดา ฝรั่งเศส โคลัมเบีย รัสเซีย ญี่ปุ่น อังกฤษ และอีกหลาย ๆ ประเทศได้จัดเครื่องบินลำเลียงความช่วยเหลือและบุคลากรไปยังเฮติ
จะเห็นได้ว่า การให้ความช่วยเหลือเฮติของประชาคมโลกในครั้งนี้ ถือเป็นความร่วมมือร่วมใจกันของชาวโลกครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อผมได้เห็นจำนวนเงินที่รัฐบาลไทยประกาศจะให้เงินช่วยเหลือแก่เฮติ ซึ่งเพียงแค่ 20,000 เหรียญ ผมก็รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่งกัมพูชาซึ่งเป็นประเทศที่ยากจนกว่าเราเยอะ ก็ยังประกาศให้ความช่วยเหลือมากกว่าเรา คือ 50,000 เหรียญ
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 57 ฉบับที่ 18 วันศุกร์ที่ 22 - วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2553
เฮติ : ประเทศที่มีแต่ความโชคร้าย
เมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ขนาดความรุนแรง 7.0 ริกเตอร์ ซึ่งทำให้เมืองหลวงของเฮติ คือ Port-Au-Prince พังพินาศเกือบทั้งเมือง ขณะนี้ตัวเลขผู้เสียชีวิตยังไม่แน่นอน แต่มีการคาดการณ์ว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตอาจจะสูงถึง 200,000 คน สำหรับผู้ที่รอดชีวิตก็ประสบปัญหาอย่างหนัก ขาดทั้งน้ำ อาหาร ที่อยู่อาศัย จำนวนประมาณ 3.5 ล้านคน
หายนะของเฮติในครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเฮติที่มีแต่ความโชคร้าย ในช่วงที่ผ่านมา เฮติได้ประสบกับภัยพิบัติ รวมทั้งความวุ่นวายทางการเมือง และเศรษฐกิจมาโดยตลอด เฮติเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในทวีปอเมริกา ทุก ๆ ปี จะมีพายุเฮอริเคนถล่มอยู่ประจำ ในปี 2004 ถูกพายุเฮอริเคนถล่มถึง 4 ลูก ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 3,000 คน
นอกจากโชคร้ายจากภัยพิบัติแล้ว เฮติยังประสบกับความวุ่นวายทางการเมืองมาโดยตลอด โดยในปี 1990 ได้มีการเลือกตั้งและ Jean-Bertrand Aristide ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี แต่อยู่ในตำแหน่งได้ไม่กี่เดือนก็ถูกทำรัฐประหาร ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการทหารมีการปราบปรามผู้ต่อต้านอย่างรุนแรง โดยมีประชาชนถูกสังหารไปหลายพันคน ในช่วงปี 1994 จึงได้มีชาวเฮติอพยพหนีออกจากประเทศโดยทางเรือเพื่อที่จะมาที่สหรัฐฯ ซึ่งในที่สุดก็ทำให้ประธานาธิบดี Clinton ตัดสินใจแทรกแซงทางทหารและล้มระบอบทหารในเฮติ
หลังจากนั้น ได้มีการเลือกตั้งและ Aristide ได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีในปี 2001 แต่หลังจากนั้น ความวุ่นวายและความรุนแรงทางการเมืองได้เกิดขึ้นอีก จนในที่สุด Aristide ได้ถูกบีบให้ออกจากตำแหน่งในปี 2004 และได้มีการส่งกองกำลังสันติภาพของ UN เข้าไป 9,000 คน เพื่อที่จะช่วยฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน ต่อมาในปี 2006 ประธานาธิบดี Rene Preval ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ทางสหประชาชาติและองค์กรต่างๆ ก็ได้ให้ความช่วยเหลือ แต่เฮติก็ยังเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในภูมิภาค โดยประชาชนมีรายได้เฉลี่ยต่อวันไม่ถึง 2 เหรียญ และล่าสุด เฮติก็มาประสบกับหายนะครั้งใหญ่จากแผ่นดินไหวในครั้งนี้อีก
หลังจากเกิดแผ่นดินไหว รัฐบาลของเฮติก็เป็นอัมพาตไม่สามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ ประเทศต่าง ๆ จึงได้พยายามเข้าไปช่วย แต่ก็ประสบกับความยากลำบาก ทั้งนี้ เพราะสนามบินชำรุด ท่าเรือถูกทำลาย ถนนหนทางก็เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง และขาดแคลนทั้งทรัพยากร พลังงาน และบุคลากร
บทบาทของสหรัฐฯ
สหรัฐฯ ในฐานะอภิมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก และเป็นลูกพี่ใหญ่ในภูมิภาค ได้เล่นบทเป็นพระเอกในการช่วยเหลือเฮติ โดยประธานาธิบดี Obama ได้ประกาศจะให้เงินช่วยเหลือเฮติในเบื้องต้น เป็นเงิน 100 ล้านเหรียญ และยังได้เชิญอดีตประธานาธิบดี George Bush กับ Bill Clinton มาช่วยระดมทุนเพื่อช่วยเหลือเฮติ ต่อมา เมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ คือ Hillary Clinton ได้เดินทางไปเฮติ และได้พบปะหารือกับประธานาธิบดี Preval และให้คำมั่นสัญญาว่าสหรัฐจะให้ความช่วยเหลือเฮติอย่างเต็มที่
โดยตั้งแต่วันที่ 17 มกราคมเป็นต้นมา สหรัฐฯ ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือเฮติดังนี้
· ได้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินจอดอยู่นอกชายฝั่งเฮติ และส่งเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงความ
ช่วยเหลือฉุกเฉิน
· กระทรวงกลาโหมได้รายงานว่า ได้ส่งทหารเข้าไป 4,200 คน และจะเพิ่มขึ้นอีก 6,300 คน
รวมทั้งสิ้น 10,000 กว่าคนที่จะเข้าไปช่วยเหลือ ทหารสหรัฐฯ ได้ไปใช้ท่าเรือที่ Cap Haitian ทางเหนือของเฮติ เพื่อลำเลียงความช่วยเหลือ นอกจากนี้ สหรัฐฯยังได้ใช้ฐานทัพเรือที่ Guantanamo ที่คิวบา ซึ่งอยู่ใกล้กับเฮติในการเป็นฐานสำคัญในการส่งความช่วยเหลือและบุคลากรไปยังเฮติ
· USAID องค์กรให้ความช่วยเหลือของสหรัฐฯ ได้จัดตั้งศูนย์กระจายอาหารและน้ำขึ้น 14
จุด รวมทั้งได้มีการจัดตั้งระบบกรองน้ำซึ่งสามารถผลิตน้ำได้ 100,000 ลิตรต่อวัน
· รัฐบาลเฮติได้อนุญาตให้สหรัฐฯเข้าควบคุมจัดการสนามบิน อย่างไรก็ตาม ได้มีเสียง
วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขว้างจากประเทศอื่น ๆ และองค์กรความช่วยเหลือ ที่ไม่สามารถเอาเครื่องบินลงจอดได้ โดยได้มีการกล่าวหาว่า ทางสหรัฐฯจะอนุญาตให้แต่เครื่องบินของสหรัฐฯ และจะเน้นในการเอาคนของสหรัฐฯและอพยพชาวอเมริกันออกจากเฮติ
World Food Program หรือ WFP ซึ่งเป็นหน่วยงานของ UN ไม่สามารถเอาเครื่องบินลงจอดได้ เครื่องบินบางลำต้องไปจอดที่ Santo Domingo เมืองหลวงของสาธารณรัฐโดมินิแกน ประเทศเพื่อนบ้านของเฮติแทน และหลังจากนั้น ต้องใช้รถบรรทุกลำเลียงความช่วยเหลือมาทางถนน ซึ่งต้องใช้เวลานานมากเพราะถนนก็อยู่ในสภาพไม่ดี
หลายประเทศได้แสดงความไม่พอใจ โดยเฉพาะ ฝรั่งเศส บราซิล และอิตาลี รวมทั้งสภากาชาด รัฐบาลฝรั่งเศสได้แสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมากที่เครื่องบินของตนลงจอดไม่ได้ ถึงกับรัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศสได้ทำเรื่องประท้วงไปยังกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ทูตฝรั่งเศสประจำเฮติถึงกับกล่าวว่า สนามบินที่ Port-Au-Prince ได้กลายเป็นสนามบินของสหรัฐฯไปแล้ว
บทบาทของ UN
UN มีกองกำลังรักษาสันติภาพอยู่ในเฮติ และมีประสบการณ์ในการให้ความช่วยเหลือได้เป็น
อย่างดี อย่างไรก็ตาม ที่ทำการของ UN ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากแผ่นดินไหว เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ UN เสียชีวิตไปหลายคน จึงทำให้ UN ไม่สามารถมีบทบาทที่ควรจะเป็นได้ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคมเป็นต้นมา โฆษกของ UN ที่เฮติ ได้กล่าวว่า UN กำลังประสานกับองค์กรอื่น ๆ และกองกำลังรักษาสันติภาพกำลังให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ
ต่อมา เมื่อวันที่ 17 มกราคม Ban Ki-moon เลขาธิการ UN ได้เดินทางไปที่เฮติ และได้กล่าวว่า สถานการณ์ในเฮติถือเป็นวิกฤตการณ์ทางด้านมนุษยธรรมที่รุนแรงที่สุดในหลายสิบปีที่ผ่านมา UN ตั้งเป้าว่า จะพยายามให้ความช่วยเหลือด้านอาหารให้ได้ 2 ล้านคนต่อวัน ซึ่งถือเป็นงานที่หนักมาก และทาง UN ได้มีการระดมทุนประมาณ 560 ล้านเหรียญ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยประมาณ 3 ล้านคนในอีก 6 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะขออนุมัติจากคณะมนตรีความมั่นคงเพื่อเพิ่มจำนวนกองกำลังรักษาสันติภาพในเฮติด้วย
ในส่วนของ World Food Program หรือ WFP ซึ่งเป็นกลไกของ UN ได้ให้ความช่วยเหลือด้านอาหารแก่ผู้ประสบภัยประมาณ 60,000 คนในวันที่ 17 มกราคม โดยในวันที่ 16 มกราฯ ได้ช่วยเหลือไป 40,000 คน WFP ตั้งเป้าที่จะให้ความช่วยเหลือเป็น 1 ล้านต่อวัน และเพิ่มเป็น 2 ล้านคนภายใน 1 เดือน นอกจากนี้ WFP มีแผนที่จะสร้างที่พักชั่วคราวให้กับคนที่ไร้ที่อยู่อาศัย 100,000 คน
ความช่วยเหลือจากประเทศต่าง ๆ
ในส่วนของ EU ได้ประกาศตั้งวงเงินช่วยเหลือ 474 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ อังกฤษได้ประกาศที่จะให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก 37 ล้านเหรียญ และฝรั่งเศสประกาศยกเลิกเงินกู้จำนวน 55 ล้านเหรียญของเฮติ และประกาศให้เงินให้ความช่วยเหลือ 14 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ นอร์เวย์ซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆที่มีประชากรเพียง 4.8 ล้านคนประกาศให้เงินช่วยเหลือ 17 ล้านเหรียญ
นอกจากนี้ บราซิล เม็กซิโก แคนาดา ฝรั่งเศส โคลัมเบีย รัสเซีย ญี่ปุ่น อังกฤษ และอีกหลาย ๆ ประเทศได้จัดเครื่องบินลำเลียงความช่วยเหลือและบุคลากรไปยังเฮติ
จะเห็นได้ว่า การให้ความช่วยเหลือเฮติของประชาคมโลกในครั้งนี้ ถือเป็นความร่วมมือร่วมใจกันของชาวโลกครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อผมได้เห็นจำนวนเงินที่รัฐบาลไทยประกาศจะให้เงินช่วยเหลือแก่เฮติ ซึ่งเพียงแค่ 20,000 เหรียญ ผมก็รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่งกัมพูชาซึ่งเป็นประเทศที่ยากจนกว่าเราเยอะ ก็ยังประกาศให้ความช่วยเหลือมากกว่าเรา คือ 50,000 เหรียญ
ระบบเศรษฐกิจโลกในปี 2050
ระบบเศรษฐกิจโลกในปี 2050
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 57 ฉบับที่ 17 วันศุกร์ที่ 15 - วันพฤหัสที่ 21 มกราคม 2553
ภาพรวม
ในปี 2050 คือ ในอีก 40 ปีข้างหน้า ระบบเศรษฐกิจโลกจะเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจ สหรัฐฯและยุโรป ซึ่งในปัจจุบันเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลก ในอนาคตจะสูญเสียสถานะดังกล่าว โดยการผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ จากเอเชียและลาตินอเมริกา ในปี 2050 60% ของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ G20 จะมาจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของ 5 ประเทศเศรษฐกิจใหม่ ได้แก่ บราซิล จีน อินเดีย รัสเซีย และเม็กซิโก อย่างไรก็ตาม ในอีก 40 ข้างหน้า GDP ต่อหัว ของประเทศเหล่านี้จะยังคงต่ำกว่ากลุ่มประเทศร่ำรวยเดิม คือ กลุ่มประเทศ G7 อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะกระทบอย่างมากต่อระเบียบเศรษฐกิจโลก การปฏิรูปกลไกเศรษฐกิจโลกจาก G8 มาเป็น G20 ได้เริ่มชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของระเบียบเศรษฐกิจโลกในอนาคต
การผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่
ใน 40 ข้างหน้า GDP ของ G20 จะโตโดยเฉลี่ย 3.6 % โดยในปี 2009 G20 มี GDP รวมกันมูลค่า 38 ล้านล้านเหรียญ แต่ในปี 2050 จะเพิ่มขึ้นเป็น 160 ล้านล้านเหรียญ แต่ 60% ของ GDP ที่เพิ่มขึ้นจะมาจากมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ 5 ประเทศ คือ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และเม็กซิโก ซึ่งกลุ่มนี้อาจเรียกว่า กลุ่ม BRIC+M เศรษฐกิจของกลุ่มนี้จะโต 6% ต่อปี ซึ่งจะทำให้สัดส่วน GDP ของกลุ่มนี้ใน G20 เพิ่มขึ้นจาก 18% ในปี 2009 เป็นเกือบ 50% ในปี 2050 ในทางตรงกันข้าม GDP ของมหาอำนาจเศรษฐกิจเก่า คือ กลุ่ม G7 จะโตเพียง 2% ต่อปี ซึ่งจะทำให้สัดส่วน GDP ใน G20 ลดลงจาก 72% ในปี 2009 เหลือเพียง 40% ในปี 2050
หากปรับตัวเลขโดยใช้หลัก Purchasing Power Parity หรือ PPP (เป็นการปรับมูลค่าเศรษฐกิจโดยคำนึงถึงอำนาจในการซื้อที่ต่างกันของแต่ละประเทศ) จะยิ่งเห็นความเปลี่ยนแปลงมากขึ้นอีก โดยในปี 2050 เศรษฐกิจของ BRIC+M จะใหญ่เป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจของ G7 และจะมีสัดส่วนถึง 60% ของ GDP ของ G20 ในขณะที่ G7 จะมีสัดส่วนแค่ 28%
3 ยักษ์ใหญ่
ในปี 2050 จีน อินเดีย และสหรัฐฯ จะเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก โดยเฉพาะ จีนกับอินเดีย GDP จะเพิ่มขึ้นเกือบ 60 ล้านล้านเหรียญ แต่ความแตกต่างในเรื่อง GDP ต่อหัวระหว่าง 3 ประเทศยังมีอยู่ โดยถึงแม้ว่า GDP ของมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ จะเพิ่มขึ้น แต่ GDP ต่อหัวยังคงต่ำอยู่ โดยรายได้เฉลี่ยของประเทศเหล่านี้จะอยู่ที่ประมาณ 22,000 เหรียญต่อคนต่อปี ซึ่งต่ำกว่าสหรัฐฯและกลุ่ม G7 เป็นอย่างมาก
การคาดการณ์ว่า ในปีอะไร เศรษฐกิจจีนจะใหญ่เท่ากับสหรัฐฯ และจะแซงสหรัฐฯ ก็ยังมีความเห็นที่แตกต่างกันในหมู่นักเศรษฐศาสตร์ แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่า จีนจะไล่ทันสหรัฐฯได้หรือไม่ แต่คำถาม คือ เมื่อไรเท่านั้นเอง จากการคำนวณของ Council on Foreign Relations ได้ฟันธงว่า จีนจะแซงหน้าสหรัฐฯ ในการเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2032 อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์บางสำนักได้คำนวณว่า จีนจะแซงหน้าสหรัฐฯ ก่อนหน้านั้น สำนักหนึ่งฟันธงว่า ภายในปี 2025 GDP จีนจะเท่ากับสหรัฐฯ โดยเฉพาะถ้าใช้หลัก PPP มาคำนวณ และเศรษฐกิจจีนจะแซงหน้าสหรัฐฯ ไปแบบไม่เห็นฝุ่น โดยในปี 2050 เศรษฐกิจจีนจะใหญ่เท่ากับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และ EU รวมกัน
หากมองในแง่ประวัติศาสตร์ การผงาดขึ้นมาของจีนนั้น ดูเป็นเรื่องปกติ เพราะตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงศตวรรษที่ 19 จีนก็มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกมาตลอด ตัวอย่างเช่นในปี 1600 เศรษฐกิจจีนก็ใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็น 30% ของเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม ยังมีการถกเถียงกันอยู่ว่า จีนจะแซงอเมริกาไปแบบไม่เห็นฝุ่นหรือไม่ บางสำนักบอกว่า จีนจะแซงไปแบบไม่เห็นฝุ่น แต่บางสำนัก ก็ประเมินว่า จีนจะแซงเมริกาไปไม่มาก โดยอ้างว่า ในปี 2009 GDP ของสหรัฐฯใหญ่กว่าจีนหลายเท่า และถ้าหากในอนาคต สหรัฐฯสามารถรักษาระดับอัตราการเจริญเติบโตอยู่ที่ประมาณ 2-3 % ก็จะทำให้สหรัฐฯ ไม่ถูกจีนทิ้งห่างมากเท่าใดนัก
สำหรับจีนนั้น มีการคาดการณ์ว่า อัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยจะอยู่ที่ 5-6% ซึ่งจะทำให้ GDP ของจีนเพิ่มขึ้นจากในปี 2009 ที่มีมูลค่า 3 ล้านล้านเหรียญ เป็น 45 ล้านล้านเหรียญในปี 2050 ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ในปี 2050 เศรษฐกิจจีนจะใหญ่กว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ 20% แต่ถ้าปรับเป็น PPP เศรษฐกิจจีนจะใหญ่กว่าสหรัฐฯเกือบ 90%
สำหรับอินเดีย มีการคาดการณ์ว่า จะมีอัตราการเจริญเติบโตสูงที่สุด แต่โดยที่ในปัจจุบันเศรษฐกิจของอินเดียมีขนาดเล็กกว่าเศรษฐกิจจีนและสหรัฐฯมาก ดังนั้น ในปี 2050 อินเดียยังจะไล่จีนและสหรัฐฯไม่ทัน แต่ GDP ของอินเดียจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก จาก 1 ล้านล้านเหรียญในปี 2009 เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 18 ล้านล้านเหรียญในปี 2050 คือเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า
สำหรับสถานะทางเศรษฐกิจของ EU นั้น ปัจจุบัน เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดใน EU แต่ในปี 2050 อังกฤษ จะมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดใน EU และเป็นอันดับ 7 ของโลก อย่างไรก็ตาม GDP ของ 4 ประเทศนี้ จะเล็กกว่า GDP ของอินเดียเกือบครึ่ง และเมื่อเทียบกับจีนแล้ว จะมีขนาดไม่ถึง 1 ใน 4 ของ GDP จีน แนวโน้มในอนาคต หาก EU จะรักษาสถานะของตน คงจะต้องเดินหน้าบูรณาการทางเศรษฐกิจ โดยในปี 2009 GDP ของ EU ทั้งกลุ่ม คิดเป็น 14 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งใหญ่กว่า GDP ของสหรัฐฯ เสียอีก ในปี 2050 คาดว่า EU จะมีอัตราการเจริญเติบโตประมาณ 1.5% ซึ่งจะทำให้มี GDP ประมาณ 25 ล้านล้านเหรียญ
สำหรับรัสเซีย ซึ่งในอดีตและปัจจุบันเป็นมหาอำนาจประเทศหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว ในปี 2050 บทบาทของรัสเซียคงจะลดลงเรื่อย ๆ และขนาดเศรษฐกิจของรัสเซียก็คงจะถูกแซงโดยมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ ดังนั้น ในระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ในอนาคต บทบาทของรัสเซียคงจะลดลงไปมาก
ระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่
การผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ และตัวแสดงใหม่ ๆ เหล่านี้ โดยเฉพาะการผงาดขึ้นมาของประเทศในเอเชียและลาตินอเมริกา จะทำให้ การแบ่งประเทศเป็นประเทศพัฒนาแล้วกับกำลังพัฒนา คงจะล้าสมัย และคงจะมีคำถามตามมามากมายเกี่ยวกับระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ รวมทั้งบทบาทและโครงสร้างขององค์การระหว่างประเทศและสถาบันการเงินระหว่างประเทศในปี 2050 ยังไม่มีความชัดเจนว่า มหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่จะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน และอำนาจในการจัดการเศรษฐกิจโลกจะยังคงอยู่ในมือของกลุ่ม G7 ต่อไปหรือไม่ อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่า ระเบียบเศรษฐกิจโลกและสถาบันระหว่างประเทศจะมีการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในอนาคต และการที่ G20 มาแทนที่ G8 ก็เป็นการเริ่มส่งสัญญาณให้เห็นถึงแนวโน้มการเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจเศรษฐกิจโลกในอนาคต
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 57 ฉบับที่ 17 วันศุกร์ที่ 15 - วันพฤหัสที่ 21 มกราคม 2553
ภาพรวม
ในปี 2050 คือ ในอีก 40 ปีข้างหน้า ระบบเศรษฐกิจโลกจะเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจ สหรัฐฯและยุโรป ซึ่งในปัจจุบันเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลก ในอนาคตจะสูญเสียสถานะดังกล่าว โดยการผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ จากเอเชียและลาตินอเมริกา ในปี 2050 60% ของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ G20 จะมาจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของ 5 ประเทศเศรษฐกิจใหม่ ได้แก่ บราซิล จีน อินเดีย รัสเซีย และเม็กซิโก อย่างไรก็ตาม ในอีก 40 ข้างหน้า GDP ต่อหัว ของประเทศเหล่านี้จะยังคงต่ำกว่ากลุ่มประเทศร่ำรวยเดิม คือ กลุ่มประเทศ G7 อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะกระทบอย่างมากต่อระเบียบเศรษฐกิจโลก การปฏิรูปกลไกเศรษฐกิจโลกจาก G8 มาเป็น G20 ได้เริ่มชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของระเบียบเศรษฐกิจโลกในอนาคต
การผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่
ใน 40 ข้างหน้า GDP ของ G20 จะโตโดยเฉลี่ย 3.6 % โดยในปี 2009 G20 มี GDP รวมกันมูลค่า 38 ล้านล้านเหรียญ แต่ในปี 2050 จะเพิ่มขึ้นเป็น 160 ล้านล้านเหรียญ แต่ 60% ของ GDP ที่เพิ่มขึ้นจะมาจากมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ 5 ประเทศ คือ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และเม็กซิโก ซึ่งกลุ่มนี้อาจเรียกว่า กลุ่ม BRIC+M เศรษฐกิจของกลุ่มนี้จะโต 6% ต่อปี ซึ่งจะทำให้สัดส่วน GDP ของกลุ่มนี้ใน G20 เพิ่มขึ้นจาก 18% ในปี 2009 เป็นเกือบ 50% ในปี 2050 ในทางตรงกันข้าม GDP ของมหาอำนาจเศรษฐกิจเก่า คือ กลุ่ม G7 จะโตเพียง 2% ต่อปี ซึ่งจะทำให้สัดส่วน GDP ใน G20 ลดลงจาก 72% ในปี 2009 เหลือเพียง 40% ในปี 2050
หากปรับตัวเลขโดยใช้หลัก Purchasing Power Parity หรือ PPP (เป็นการปรับมูลค่าเศรษฐกิจโดยคำนึงถึงอำนาจในการซื้อที่ต่างกันของแต่ละประเทศ) จะยิ่งเห็นความเปลี่ยนแปลงมากขึ้นอีก โดยในปี 2050 เศรษฐกิจของ BRIC+M จะใหญ่เป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจของ G7 และจะมีสัดส่วนถึง 60% ของ GDP ของ G20 ในขณะที่ G7 จะมีสัดส่วนแค่ 28%
3 ยักษ์ใหญ่
ในปี 2050 จีน อินเดีย และสหรัฐฯ จะเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก โดยเฉพาะ จีนกับอินเดีย GDP จะเพิ่มขึ้นเกือบ 60 ล้านล้านเหรียญ แต่ความแตกต่างในเรื่อง GDP ต่อหัวระหว่าง 3 ประเทศยังมีอยู่ โดยถึงแม้ว่า GDP ของมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ จะเพิ่มขึ้น แต่ GDP ต่อหัวยังคงต่ำอยู่ โดยรายได้เฉลี่ยของประเทศเหล่านี้จะอยู่ที่ประมาณ 22,000 เหรียญต่อคนต่อปี ซึ่งต่ำกว่าสหรัฐฯและกลุ่ม G7 เป็นอย่างมาก
การคาดการณ์ว่า ในปีอะไร เศรษฐกิจจีนจะใหญ่เท่ากับสหรัฐฯ และจะแซงสหรัฐฯ ก็ยังมีความเห็นที่แตกต่างกันในหมู่นักเศรษฐศาสตร์ แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่า จีนจะไล่ทันสหรัฐฯได้หรือไม่ แต่คำถาม คือ เมื่อไรเท่านั้นเอง จากการคำนวณของ Council on Foreign Relations ได้ฟันธงว่า จีนจะแซงหน้าสหรัฐฯ ในการเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2032 อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์บางสำนักได้คำนวณว่า จีนจะแซงหน้าสหรัฐฯ ก่อนหน้านั้น สำนักหนึ่งฟันธงว่า ภายในปี 2025 GDP จีนจะเท่ากับสหรัฐฯ โดยเฉพาะถ้าใช้หลัก PPP มาคำนวณ และเศรษฐกิจจีนจะแซงหน้าสหรัฐฯ ไปแบบไม่เห็นฝุ่น โดยในปี 2050 เศรษฐกิจจีนจะใหญ่เท่ากับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และ EU รวมกัน
หากมองในแง่ประวัติศาสตร์ การผงาดขึ้นมาของจีนนั้น ดูเป็นเรื่องปกติ เพราะตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงศตวรรษที่ 19 จีนก็มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกมาตลอด ตัวอย่างเช่นในปี 1600 เศรษฐกิจจีนก็ใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็น 30% ของเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม ยังมีการถกเถียงกันอยู่ว่า จีนจะแซงอเมริกาไปแบบไม่เห็นฝุ่นหรือไม่ บางสำนักบอกว่า จีนจะแซงไปแบบไม่เห็นฝุ่น แต่บางสำนัก ก็ประเมินว่า จีนจะแซงเมริกาไปไม่มาก โดยอ้างว่า ในปี 2009 GDP ของสหรัฐฯใหญ่กว่าจีนหลายเท่า และถ้าหากในอนาคต สหรัฐฯสามารถรักษาระดับอัตราการเจริญเติบโตอยู่ที่ประมาณ 2-3 % ก็จะทำให้สหรัฐฯ ไม่ถูกจีนทิ้งห่างมากเท่าใดนัก
สำหรับจีนนั้น มีการคาดการณ์ว่า อัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยจะอยู่ที่ 5-6% ซึ่งจะทำให้ GDP ของจีนเพิ่มขึ้นจากในปี 2009 ที่มีมูลค่า 3 ล้านล้านเหรียญ เป็น 45 ล้านล้านเหรียญในปี 2050 ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ในปี 2050 เศรษฐกิจจีนจะใหญ่กว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ 20% แต่ถ้าปรับเป็น PPP เศรษฐกิจจีนจะใหญ่กว่าสหรัฐฯเกือบ 90%
สำหรับอินเดีย มีการคาดการณ์ว่า จะมีอัตราการเจริญเติบโตสูงที่สุด แต่โดยที่ในปัจจุบันเศรษฐกิจของอินเดียมีขนาดเล็กกว่าเศรษฐกิจจีนและสหรัฐฯมาก ดังนั้น ในปี 2050 อินเดียยังจะไล่จีนและสหรัฐฯไม่ทัน แต่ GDP ของอินเดียจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก จาก 1 ล้านล้านเหรียญในปี 2009 เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 18 ล้านล้านเหรียญในปี 2050 คือเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า
สำหรับสถานะทางเศรษฐกิจของ EU นั้น ปัจจุบัน เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดใน EU แต่ในปี 2050 อังกฤษ จะมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดใน EU และเป็นอันดับ 7 ของโลก อย่างไรก็ตาม GDP ของ 4 ประเทศนี้ จะเล็กกว่า GDP ของอินเดียเกือบครึ่ง และเมื่อเทียบกับจีนแล้ว จะมีขนาดไม่ถึง 1 ใน 4 ของ GDP จีน แนวโน้มในอนาคต หาก EU จะรักษาสถานะของตน คงจะต้องเดินหน้าบูรณาการทางเศรษฐกิจ โดยในปี 2009 GDP ของ EU ทั้งกลุ่ม คิดเป็น 14 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งใหญ่กว่า GDP ของสหรัฐฯ เสียอีก ในปี 2050 คาดว่า EU จะมีอัตราการเจริญเติบโตประมาณ 1.5% ซึ่งจะทำให้มี GDP ประมาณ 25 ล้านล้านเหรียญ
สำหรับรัสเซีย ซึ่งในอดีตและปัจจุบันเป็นมหาอำนาจประเทศหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว ในปี 2050 บทบาทของรัสเซียคงจะลดลงเรื่อย ๆ และขนาดเศรษฐกิจของรัสเซียก็คงจะถูกแซงโดยมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ ดังนั้น ในระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ในอนาคต บทบาทของรัสเซียคงจะลดลงไปมาก
ระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่
การผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ และตัวแสดงใหม่ ๆ เหล่านี้ โดยเฉพาะการผงาดขึ้นมาของประเทศในเอเชียและลาตินอเมริกา จะทำให้ การแบ่งประเทศเป็นประเทศพัฒนาแล้วกับกำลังพัฒนา คงจะล้าสมัย และคงจะมีคำถามตามมามากมายเกี่ยวกับระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ รวมทั้งบทบาทและโครงสร้างขององค์การระหว่างประเทศและสถาบันการเงินระหว่างประเทศในปี 2050 ยังไม่มีความชัดเจนว่า มหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่จะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน และอำนาจในการจัดการเศรษฐกิจโลกจะยังคงอยู่ในมือของกลุ่ม G7 ต่อไปหรือไม่ อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่า ระเบียบเศรษฐกิจโลกและสถาบันระหว่างประเทศจะมีการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในอนาคต และการที่ G20 มาแทนที่ G8 ก็เป็นการเริ่มส่งสัญญาณให้เห็นถึงแนวโน้มการเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจเศรษฐกิจโลกในอนาคต
แนวโน้มสถานการณ์โลกในปี 2553
แนวโน้มสถานการณ์โลกในปี 2553
ไทยโพสต์ วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2553
คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้ จะวิเคราะห์คาดการณ์สถานการณ์โลกในปีนี้ โดยเรื่องสำคัญ ๆ ที่จะต้องจับตามอง มีอยู่ 6 เรื่องใหญ่ดังนี้
ปัญหาภาวะโลกร้อน
ในช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว การประชุมภาวะโลกร้อนที่โคเปนเฮเกน ผลการประชุมล้มเหลว เพราะข้อตกลงที่เรียกว่า Copenhagen Accord เป็นข้อตกลงที่เจรจากันระหว่างสหรัฐฯ จีน อินเดีย บราซิล และอัฟริกาใต้เท่านั้น ข้อตกลงจึงมีปัญหาทางสถานะทางกฎหมายระหว่างประเทศ และข้อตกลงไม่ได้กำหนดว่า จะเจรจาในรูปแบบสนธิสัญญาเมื่อใด และไม่มีการกำหนดปริมาณการตัดลดก๊าซเรือนกระจกแต่อย่างใด
มี 4 เรื่องใหญ่ที่ยังตกลงกันไม่ได้ เรื่องแรกคือ รูปแบบของข้อตกลง โดยประเทศยากจนต้องการคงพิธีสารเกียวโตต่อไป ในขณะที่ประเทศร่ำรวยต้องการสนธิสัญญาฉบับใหม่แทนที่พิธีสารเกียวโต เรื่องที่สอง คือ การกำหนดระดับการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก โดยประเทศยากจนต้องการให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1 องศาเซลเซียส ในขณะที่ประเทศร่ำรวยตั้งเป้าไว้ที่ 2 องศา เรื่องที่สาม คือ การกำหนดปริมาณการปรับลดก๊าซเรือนกระจก โดยประเทศยากจนต้องการให้ประเทศร่ำรวยตัดลดก๊าซเรือนกระจกลง 40 % ภายในปี 2020 ส่วนประเทศร่ำรวยอย่างสหรัฐฯ ไม่ต้องการให้มีการกำหนดปริมาณการปรับลดก๊าซเรือนกระจก และถ้าสหรัฐฯจะตั้งเป้าก็จะลดเพียง 4% เท่านั้น ส่วนเรื่องสุดท้ายคือ จำนวนเงินที่ประเทศร่ำรวยจะต้องจ่ายเพื่อช่วยเหลือประเทศยากจน โดยประเทศยากจนเรียกร้องประเทศร่ำรวยจ่ายเงิน 1% ของ GDP แต่ประเทศร่ำรวยก็ไม่ยอมตั้งเป้าตามที่ประเทศยากจนต้องการ
ดังนั้น ในปีนี้ การเจรจาภาวะโลกร้อนจะเดินหน้าเจรจาต่อไปอย่างไร ผมมองว่า ขณะนี้เป็นเรื่องยากมากที่จะตกลงกันได้ใน 4 เรื่องดังกล่าว โดยแต่ละประเทศก็พยายามให้ประเทศตนรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ให้น้อยที่สุด และปัดความรับผิดชอบไปให้ประเทศอื่นมากที่สุด สหรัฐฯ ที่ควรจะเล่นบทบาทเป็นผู้นำก็ล้มเหลว ดังนั้น เราคงจะไม่เห็นการจัดทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ภายในปีนี้แน่
ปัญหาการก่อการร้ายสากล
อีกเรื่องที่ต้องจับตาดูกันในปีนี้คือ ปัญหาการก่อการร้ายที่ยังคงลุกลามบานปลายไม่จบ ปีที่แล้ว Obama ได้กล่าวสุนทรพจน์ประกาศยุคใหม่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับโลกมุสลิม โดยเชื่อว่า กุญแจสำคัญของการลดความขัดแย้งระหว่างตะวันตกกับอิสลามคือ ความพยายามเข้าใจกัน และลดความมีอคติต่อกัน
อย่างไรก็ตาม ผมมองว่า แนวนโยบายดังกล่าวจะนำไปสู่การแก้ปัญหาการก่อการร้ายจากกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในปีนี้ได้อย่างไร ในปีนี้ มีแนวโน้มว่า การก่อการร้ายจะลุกลามขยายตัว โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง เยเมนและโซมาเลีย และนโยบายของ Obama จะนำไปสู่ชัยชนะในสงครามอัฟกานิสถานและปากีสถานต่อนักรบตาลีบันได้อย่างไร
สงครามในอัฟกานิสถานได้เลวร้ายลงเรื่อย ๆ เพราะทั้งนักรบตาลีบันและ Al Qaeda ได้ฟื้นคืนชีพ แหล่งซ่องสุมใหม่ของ Al Qaeda อยู่บริเวณพรมแดนระหว่างปากีสถานกับอัฟกานิสถาน ตาลีบันได้พยายามที่จะล้มล้างรัฐบาล Karzai และได้ยึดครองพื้นที่ในอัฟกานิสถานได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ Obama ต้องตัดสินใจเพิ่มจำนวนทหารไปอีก 30,000 คน แต่ก็เป็นเกมที่ค่อนข้างเสี่ยงมาก เพราะอาจซ้ำรอยสงครามเวียดนาม เพราะสาเหตุหลักที่ตาลีบันได้ยึดครองพื้นที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เพราะชาวอัฟกานิสถานสนับสนุนตาลีบัน และต่อต้านกองกำลังต่างชาติจากนาโต้ และสหรัฐฯ เพราะฉะนั้น ในปีนี้ คงต้องจับตาดูว่า การบ้านชิ้นยากสุดของ Obama คือ สงครามอัฟกานิสถานจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างไร แต่ผมมองว่า การที่สหรัฐฯหวังที่จะเอาชนะในสงครามอัฟกานิสถานคงไม่ใช่เรื่องง่าย
สำหรับสถานการณ์สู้รบระหว่างปากีสถานกับนักรบตาลีบันก็กำลังเข้าสู่จุดวิกฤต ปากีสถานได้กลายเป็นแหล่งซ่องสุมใหม่ของ Al Qaeda และตาลีบัน ขณะนี้นักรบตาลีบันได้รุกคืบเข้าใกล้เมืองหลวงของปากีสถานมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้มีความหวาดวิตกมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงความมั่นคงปลอดภัยของความมั่นคงของอาวุธนิวเคลียร์ในปากีสถาน โดยหากตาลีบันสามารถยึดกุมอำนาจรัฐได้ จะทำให้รัฐบาลตาลีบันในปากีสถานมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครองถึง 80 ลูก
วิกฤตนิวเคลียร์
อีกเรื่องที่ยังคงต้องจับตามองในปีนี้ คือ วิกฤตนิวเคลียร์เกาหลีเหนือและอิหร่าน ปีที่แล้ว เกาหลีเหนือได้ทดลองอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งที่ 2 ทำให้โลกตกตะลึง เกาหลีเหนือได้กลับมาเดินหน้าโรงงานพลังงานนิวเคลียร์ที่ Yongbyon ซึ่งเกาหลีเหนือได้ปิดไปเมื่อ 2007 จึงมีความห่วงกังวลว่า เกาหลีเหนือจะเดินหน้าต่อในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และขายเทคโนโลยีนิวเคลียร์ให้กับประเทศอื่นด้วย เช่นเดียวกับอิหร่านก็ยังคงเดินหน้าต่อในการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์
อย่างไรก็ตาม ปีที่แล้ว Obama ได้เปลี่ยนนโยบายใหม่ต่ออิหร่านและเกาหลีเหนือ โดยหันมาใช้ไม้อ่อน คือ นโยบายปฏิสัมพันธ์และได้เริ่มมีการเจรจากับอิหร่านและเกาหลีเหนือ แต่ขณะนี้ผลของนโยบายปฏิสัมพันธ์ยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม เพราะท่าทีของทั้งอิหร่านและเกาหลีเหนือก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงที่จะยุติการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์แต่อย่างใด
ดังนั้น ในปีนี้ คงต้องจับตาดูกันอย่างใกล้ชิดว่า นโยบายปฏิสัมพันธ์ของ Obama จะประสบความสำเร็จหรือความล้มเหลวอย่างไร หากเรามองโลกในแง่ดี ก็อาจจะหวังว่า การเจรจาน่าจะนำไปสู่การผ่อนคลายวิกฤตนิวเคลียร์ลงไปได้ แต่การเจรจาคงหนีไปไม่พ้น เจรจาสองฝ่ายระหว่างสหรัฐฯกับเกาหลีเหนือ และ สหรัฐฯกับอิหร่าน ซึ่งสหรัฐฯ คงจะต้องยอมหลายเรื่อง เช่นสนธิสัญญาสันติภาพกับเกาหลีเหนือ สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีเหนือและอิหร่าน ให้หลักประกันความมั่นคง โดยไม่ขู่จะโจมตีหรือโค่นรัฐบาลทั้งสอง ทั้งนี้ เพื่อแลกกับการที่เกาหลีเหนือและอิหร่านจะยอมอ่อนข้อลง
สันติภาพในตะวันออกกลาง
เรื่องสำคัญอีกเรื่องที่จะต้องจับตาดูกันในปีนี้ คือ ปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ปีที่แล้ว Obama ได้พยายามเน้นการแก้ปัญหาอิสราเอล-ปาเลสไตน์ โดยเสนอทางแก้ที่เรียกว่า two- state solution คือ การให้รัฐอิสราเอลและรัฐปาเลสไตน์อยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่เส้นทางสันติภาพในตะวันออกกลางก็เต็มไปด้วยอุปสรรค โดยในปีนี้ หากมีการผลักดันให้มีการเจรจา ก็มีหลายเรื่องที่ยากจะหาข้อยุติ อาทิ เขตแดนของรัฐปาเลสไตน์ สถานะของกรุงเยรูซาเล็ม สถานะของผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์กว่า 5 ล้านคน และปัญหาการตั้งถิ่นฐานของชาวยิวในเขต west bank ดังนั้น ในปีนี้จึงต้องดูว่า สันติภาพในตะวันออกกลางจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ โดยเฉพาะความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ จะได้รับการแก้ไขได้หรือไม่ ซึ่งผมคิดว่า เป็นเรื่องยากมาก
ความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจ
ในสมัยรัฐบาล Bush ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับรัสเซียเสื่อมโทรมลงไปมาก จนถึงขั้นมีบางคนมองว่า การเมืองโลกจะกลับไปสู่สงครามเย็นภาคสองหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ปีที่แล้ว Obama ได้เดินทางไปรัสเซีย และประกาศนโยบายต้องการปรับความสัมพันธ์กับรัสเซียใหม่ และหลังจากได้หารือกับ Medvedev ก็ได้มีข้อตกลงกันหลายเรื่อง ดังนั้น จึงเห็นได้ชัดว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับรัสเซียได้เริ่มดีขึ้น โดย Obama ประสบความสำเร็จในการเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสอง
ดังนั้น แนวโน้มในปีนี้ ความสัมพันธ์สหรัฐฯ – รัสเซีย น่าจะพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เราอาจจะต้องไม่มองโลกในแง่ดีเกินไป ทั้งนี้เพราะธรรมชาติของการเมืองโลกนั้นสวนทางกับแนวคิดของ Obama คือ มีลักษณะเป็นโลกแห่งสัจจนิยมที่มองโลกในแง่ร้าย และมักจะมองประเทศอื่นว่าเป็นศัตรู การเมืองโลกจึงเต็มไปด้วยการแข่งขันและความขัดแย้ง ทั้งสองประเทศก็คงจะหลีกหนีตรรกะของการเมืองโลกไปไม่พ้น
สำหรับความสัมพันธ์ของสหรัฐฯกับจีนก็มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกับความสัมพันธ์สหรัฐฯ-รัสเซีย คือ ในสมัยรัฐบาล Bush กลุ่มอนุรักษ์นิยมสายเหยี่ยวมองว่า จีนกำลังเป็นภัยคุกคาม ยุทธศาสตร์ของ Bush คือ นโยบายปิดล้อมจีน แต่มาในสมัย Obama ยุทธศาสตร์หลักของสหรัฐฯก็เปลี่ยนมาเป็นนโยบายปฏิสัมพันธ์ โดยในช่วงปลายปีที่แล้ว การเยือนจีนของ Obama ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยได้มีการขยายความร่วมมือในหลายสาขาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่า สหรัฐฯกับจีนจะตกลงกันได้ทุกเรื่อง ความขัดแย้งทางด้านเศรษฐกิจและปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนอาจจะเป็นปัจจัยที่จะทำให้ความสัมพันธ์ที่ในปีนี้ดูมีแนวโน้มดีขึ้น อาจจะสะดุดลงไป ก็เป็นไปได้
วิกฤตเศรษฐกิจโลก
เรื่องสุดท้ายที่คงจะต้องจับตาดูกันในปีนี้ คือ การคลี่คลายของวิกฤตเศรษฐกิจโลก ปีที่แล้วประเทศต่าง ๆ ได้หาหนทางกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะมาตรการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลทั่วโลกได้ใช้จ่ายเงินในการกอบกู้วิกฤตถึง 10 ล้านล้านเหรียญ รวมทั้งได้มีการจัดประชุมสุดยอด G20 ไปแล้ว 3 ครั้ง เพื่อประสานความร่วมมือมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการเสริมสร้างกลไกการตรวจสอบระบบการเงิน การเพิ่มบทบาทให้กับ IMF รวมทั้งการปฏิรูประบบการเงินโลก ซึ่งดูแล้ว ในรอบปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่า มาตรการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและมาตรการกอบกู้วิกฤตในระยะสั้นกำลังจะได้ผล
ดังนั้น ในปีนี้ จึงมีแนวโน้มค่อนข้างชัดเจนว่า วิกฤตน่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้ว และเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ คงจะเริ่มเป็นบวก โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ อย่างเช่นจีน ก็คงจะฟื้นตัวเร็วมาก และอาจจะกลับมามีอัตราการเจริญโตที่สูงเกินความคาดหมายได้
ไทยโพสต์ วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2553
คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้ จะวิเคราะห์คาดการณ์สถานการณ์โลกในปีนี้ โดยเรื่องสำคัญ ๆ ที่จะต้องจับตามอง มีอยู่ 6 เรื่องใหญ่ดังนี้
ปัญหาภาวะโลกร้อน
ในช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว การประชุมภาวะโลกร้อนที่โคเปนเฮเกน ผลการประชุมล้มเหลว เพราะข้อตกลงที่เรียกว่า Copenhagen Accord เป็นข้อตกลงที่เจรจากันระหว่างสหรัฐฯ จีน อินเดีย บราซิล และอัฟริกาใต้เท่านั้น ข้อตกลงจึงมีปัญหาทางสถานะทางกฎหมายระหว่างประเทศ และข้อตกลงไม่ได้กำหนดว่า จะเจรจาในรูปแบบสนธิสัญญาเมื่อใด และไม่มีการกำหนดปริมาณการตัดลดก๊าซเรือนกระจกแต่อย่างใด
มี 4 เรื่องใหญ่ที่ยังตกลงกันไม่ได้ เรื่องแรกคือ รูปแบบของข้อตกลง โดยประเทศยากจนต้องการคงพิธีสารเกียวโตต่อไป ในขณะที่ประเทศร่ำรวยต้องการสนธิสัญญาฉบับใหม่แทนที่พิธีสารเกียวโต เรื่องที่สอง คือ การกำหนดระดับการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก โดยประเทศยากจนต้องการให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1 องศาเซลเซียส ในขณะที่ประเทศร่ำรวยตั้งเป้าไว้ที่ 2 องศา เรื่องที่สาม คือ การกำหนดปริมาณการปรับลดก๊าซเรือนกระจก โดยประเทศยากจนต้องการให้ประเทศร่ำรวยตัดลดก๊าซเรือนกระจกลง 40 % ภายในปี 2020 ส่วนประเทศร่ำรวยอย่างสหรัฐฯ ไม่ต้องการให้มีการกำหนดปริมาณการปรับลดก๊าซเรือนกระจก และถ้าสหรัฐฯจะตั้งเป้าก็จะลดเพียง 4% เท่านั้น ส่วนเรื่องสุดท้ายคือ จำนวนเงินที่ประเทศร่ำรวยจะต้องจ่ายเพื่อช่วยเหลือประเทศยากจน โดยประเทศยากจนเรียกร้องประเทศร่ำรวยจ่ายเงิน 1% ของ GDP แต่ประเทศร่ำรวยก็ไม่ยอมตั้งเป้าตามที่ประเทศยากจนต้องการ
ดังนั้น ในปีนี้ การเจรจาภาวะโลกร้อนจะเดินหน้าเจรจาต่อไปอย่างไร ผมมองว่า ขณะนี้เป็นเรื่องยากมากที่จะตกลงกันได้ใน 4 เรื่องดังกล่าว โดยแต่ละประเทศก็พยายามให้ประเทศตนรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ให้น้อยที่สุด และปัดความรับผิดชอบไปให้ประเทศอื่นมากที่สุด สหรัฐฯ ที่ควรจะเล่นบทบาทเป็นผู้นำก็ล้มเหลว ดังนั้น เราคงจะไม่เห็นการจัดทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ภายในปีนี้แน่
ปัญหาการก่อการร้ายสากล
อีกเรื่องที่ต้องจับตาดูกันในปีนี้คือ ปัญหาการก่อการร้ายที่ยังคงลุกลามบานปลายไม่จบ ปีที่แล้ว Obama ได้กล่าวสุนทรพจน์ประกาศยุคใหม่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับโลกมุสลิม โดยเชื่อว่า กุญแจสำคัญของการลดความขัดแย้งระหว่างตะวันตกกับอิสลามคือ ความพยายามเข้าใจกัน และลดความมีอคติต่อกัน
อย่างไรก็ตาม ผมมองว่า แนวนโยบายดังกล่าวจะนำไปสู่การแก้ปัญหาการก่อการร้ายจากกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในปีนี้ได้อย่างไร ในปีนี้ มีแนวโน้มว่า การก่อการร้ายจะลุกลามขยายตัว โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง เยเมนและโซมาเลีย และนโยบายของ Obama จะนำไปสู่ชัยชนะในสงครามอัฟกานิสถานและปากีสถานต่อนักรบตาลีบันได้อย่างไร
สงครามในอัฟกานิสถานได้เลวร้ายลงเรื่อย ๆ เพราะทั้งนักรบตาลีบันและ Al Qaeda ได้ฟื้นคืนชีพ แหล่งซ่องสุมใหม่ของ Al Qaeda อยู่บริเวณพรมแดนระหว่างปากีสถานกับอัฟกานิสถาน ตาลีบันได้พยายามที่จะล้มล้างรัฐบาล Karzai และได้ยึดครองพื้นที่ในอัฟกานิสถานได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ Obama ต้องตัดสินใจเพิ่มจำนวนทหารไปอีก 30,000 คน แต่ก็เป็นเกมที่ค่อนข้างเสี่ยงมาก เพราะอาจซ้ำรอยสงครามเวียดนาม เพราะสาเหตุหลักที่ตาลีบันได้ยึดครองพื้นที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เพราะชาวอัฟกานิสถานสนับสนุนตาลีบัน และต่อต้านกองกำลังต่างชาติจากนาโต้ และสหรัฐฯ เพราะฉะนั้น ในปีนี้ คงต้องจับตาดูว่า การบ้านชิ้นยากสุดของ Obama คือ สงครามอัฟกานิสถานจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างไร แต่ผมมองว่า การที่สหรัฐฯหวังที่จะเอาชนะในสงครามอัฟกานิสถานคงไม่ใช่เรื่องง่าย
สำหรับสถานการณ์สู้รบระหว่างปากีสถานกับนักรบตาลีบันก็กำลังเข้าสู่จุดวิกฤต ปากีสถานได้กลายเป็นแหล่งซ่องสุมใหม่ของ Al Qaeda และตาลีบัน ขณะนี้นักรบตาลีบันได้รุกคืบเข้าใกล้เมืองหลวงของปากีสถานมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้มีความหวาดวิตกมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงความมั่นคงปลอดภัยของความมั่นคงของอาวุธนิวเคลียร์ในปากีสถาน โดยหากตาลีบันสามารถยึดกุมอำนาจรัฐได้ จะทำให้รัฐบาลตาลีบันในปากีสถานมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครองถึง 80 ลูก
วิกฤตนิวเคลียร์
อีกเรื่องที่ยังคงต้องจับตามองในปีนี้ คือ วิกฤตนิวเคลียร์เกาหลีเหนือและอิหร่าน ปีที่แล้ว เกาหลีเหนือได้ทดลองอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งที่ 2 ทำให้โลกตกตะลึง เกาหลีเหนือได้กลับมาเดินหน้าโรงงานพลังงานนิวเคลียร์ที่ Yongbyon ซึ่งเกาหลีเหนือได้ปิดไปเมื่อ 2007 จึงมีความห่วงกังวลว่า เกาหลีเหนือจะเดินหน้าต่อในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และขายเทคโนโลยีนิวเคลียร์ให้กับประเทศอื่นด้วย เช่นเดียวกับอิหร่านก็ยังคงเดินหน้าต่อในการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์
อย่างไรก็ตาม ปีที่แล้ว Obama ได้เปลี่ยนนโยบายใหม่ต่ออิหร่านและเกาหลีเหนือ โดยหันมาใช้ไม้อ่อน คือ นโยบายปฏิสัมพันธ์และได้เริ่มมีการเจรจากับอิหร่านและเกาหลีเหนือ แต่ขณะนี้ผลของนโยบายปฏิสัมพันธ์ยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม เพราะท่าทีของทั้งอิหร่านและเกาหลีเหนือก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงที่จะยุติการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์แต่อย่างใด
ดังนั้น ในปีนี้ คงต้องจับตาดูกันอย่างใกล้ชิดว่า นโยบายปฏิสัมพันธ์ของ Obama จะประสบความสำเร็จหรือความล้มเหลวอย่างไร หากเรามองโลกในแง่ดี ก็อาจจะหวังว่า การเจรจาน่าจะนำไปสู่การผ่อนคลายวิกฤตนิวเคลียร์ลงไปได้ แต่การเจรจาคงหนีไปไม่พ้น เจรจาสองฝ่ายระหว่างสหรัฐฯกับเกาหลีเหนือ และ สหรัฐฯกับอิหร่าน ซึ่งสหรัฐฯ คงจะต้องยอมหลายเรื่อง เช่นสนธิสัญญาสันติภาพกับเกาหลีเหนือ สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีเหนือและอิหร่าน ให้หลักประกันความมั่นคง โดยไม่ขู่จะโจมตีหรือโค่นรัฐบาลทั้งสอง ทั้งนี้ เพื่อแลกกับการที่เกาหลีเหนือและอิหร่านจะยอมอ่อนข้อลง
สันติภาพในตะวันออกกลาง
เรื่องสำคัญอีกเรื่องที่จะต้องจับตาดูกันในปีนี้ คือ ปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ปีที่แล้ว Obama ได้พยายามเน้นการแก้ปัญหาอิสราเอล-ปาเลสไตน์ โดยเสนอทางแก้ที่เรียกว่า two- state solution คือ การให้รัฐอิสราเอลและรัฐปาเลสไตน์อยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่เส้นทางสันติภาพในตะวันออกกลางก็เต็มไปด้วยอุปสรรค โดยในปีนี้ หากมีการผลักดันให้มีการเจรจา ก็มีหลายเรื่องที่ยากจะหาข้อยุติ อาทิ เขตแดนของรัฐปาเลสไตน์ สถานะของกรุงเยรูซาเล็ม สถานะของผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์กว่า 5 ล้านคน และปัญหาการตั้งถิ่นฐานของชาวยิวในเขต west bank ดังนั้น ในปีนี้จึงต้องดูว่า สันติภาพในตะวันออกกลางจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ โดยเฉพาะความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ จะได้รับการแก้ไขได้หรือไม่ ซึ่งผมคิดว่า เป็นเรื่องยากมาก
ความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจ
ในสมัยรัฐบาล Bush ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับรัสเซียเสื่อมโทรมลงไปมาก จนถึงขั้นมีบางคนมองว่า การเมืองโลกจะกลับไปสู่สงครามเย็นภาคสองหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ปีที่แล้ว Obama ได้เดินทางไปรัสเซีย และประกาศนโยบายต้องการปรับความสัมพันธ์กับรัสเซียใหม่ และหลังจากได้หารือกับ Medvedev ก็ได้มีข้อตกลงกันหลายเรื่อง ดังนั้น จึงเห็นได้ชัดว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับรัสเซียได้เริ่มดีขึ้น โดย Obama ประสบความสำเร็จในการเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสอง
ดังนั้น แนวโน้มในปีนี้ ความสัมพันธ์สหรัฐฯ – รัสเซีย น่าจะพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เราอาจจะต้องไม่มองโลกในแง่ดีเกินไป ทั้งนี้เพราะธรรมชาติของการเมืองโลกนั้นสวนทางกับแนวคิดของ Obama คือ มีลักษณะเป็นโลกแห่งสัจจนิยมที่มองโลกในแง่ร้าย และมักจะมองประเทศอื่นว่าเป็นศัตรู การเมืองโลกจึงเต็มไปด้วยการแข่งขันและความขัดแย้ง ทั้งสองประเทศก็คงจะหลีกหนีตรรกะของการเมืองโลกไปไม่พ้น
สำหรับความสัมพันธ์ของสหรัฐฯกับจีนก็มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกับความสัมพันธ์สหรัฐฯ-รัสเซีย คือ ในสมัยรัฐบาล Bush กลุ่มอนุรักษ์นิยมสายเหยี่ยวมองว่า จีนกำลังเป็นภัยคุกคาม ยุทธศาสตร์ของ Bush คือ นโยบายปิดล้อมจีน แต่มาในสมัย Obama ยุทธศาสตร์หลักของสหรัฐฯก็เปลี่ยนมาเป็นนโยบายปฏิสัมพันธ์ โดยในช่วงปลายปีที่แล้ว การเยือนจีนของ Obama ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยได้มีการขยายความร่วมมือในหลายสาขาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่า สหรัฐฯกับจีนจะตกลงกันได้ทุกเรื่อง ความขัดแย้งทางด้านเศรษฐกิจและปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนอาจจะเป็นปัจจัยที่จะทำให้ความสัมพันธ์ที่ในปีนี้ดูมีแนวโน้มดีขึ้น อาจจะสะดุดลงไป ก็เป็นไปได้
วิกฤตเศรษฐกิจโลก
เรื่องสุดท้ายที่คงจะต้องจับตาดูกันในปีนี้ คือ การคลี่คลายของวิกฤตเศรษฐกิจโลก ปีที่แล้วประเทศต่าง ๆ ได้หาหนทางกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะมาตรการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลทั่วโลกได้ใช้จ่ายเงินในการกอบกู้วิกฤตถึง 10 ล้านล้านเหรียญ รวมทั้งได้มีการจัดประชุมสุดยอด G20 ไปแล้ว 3 ครั้ง เพื่อประสานความร่วมมือมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการเสริมสร้างกลไกการตรวจสอบระบบการเงิน การเพิ่มบทบาทให้กับ IMF รวมทั้งการปฏิรูประบบการเงินโลก ซึ่งดูแล้ว ในรอบปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่า มาตรการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและมาตรการกอบกู้วิกฤตในระยะสั้นกำลังจะได้ผล
ดังนั้น ในปีนี้ จึงมีแนวโน้มค่อนข้างชัดเจนว่า วิกฤตน่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้ว และเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ คงจะเริ่มเป็นบวก โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ อย่างเช่นจีน ก็คงจะฟื้นตัวเร็วมาก และอาจจะกลับมามีอัตราการเจริญโตที่สูงเกินความคาดหมายได้
ประเมินนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ ในปี 2009 และแนวโน้มในปี 2010
ประเมินนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ ในปี 2009 และแนวโน้มในปี 2010
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 57 ฉบับที่ 15 วันศุกร์ที่ 8 - วันพฤหัสที่ 14 มกราคม 2553
คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ จะวิเคราะห์สรุปนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ในสมัยรัฐบาล Obama ในรอบปี 2009 ที่ผ่านมา และจะประเมินและคาดการณ์แนวโน้มนโยบายในปี 2010 ด้วย
นโยบายต่างประเทศของรัฐบาล Obama
ในรอบปีที่ผ่านมา หลังจาก Obama ได้มาเป็นประธานาธิบดีในเดือนมกราคมปี 2009 Obama ได้ประกาศและปฏิรูปนโยบายต่างประเทศใหม่ โดยตัวอย่างของนโยบายที่เปลี่ยนไป คือ
· Obama ประกาศว่าพร้อมที่จะเจรจา แม้จะเป็นประเทศที่เป็นศัตรูกับสหรัฐฯ โดย
ได้เสนอพร้อมที่จะเจรจากับอิหร่านในเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ และเดินหน้าเจรจาทวิภาคี และเริ่มปฏิสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ และพม่า
· เปิดศักราชใหม่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับโลกมุสลิม โดยได้กล่าวสุนทร
พจน์ที่ไคโร เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว เรียกร้องให้ฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับโลกมุสลิม เดินหน้าถอนทหารออกจากอิรัก และประกาศจะสร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์
· ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัสเซียและจีน โดยได้เดินทางไปเยือนทั้งสองประเทศ และ
บรรลุข้อตกลงความร่วมมือกันหลายเรื่อง
· จุดยืนของรัฐบาล Obama ต่อปัญหาโลกได้เปลี่ยนแปลงไปหลายเรื่อง อาทิ ท่าทีที่
เปลี่ยนแปลงไปต่อปัญหาภาวะโลกร้อน และท่าทีต่อ UN
การประเมิน
สำหรับการประเมิลผลนโยบายต่างประเทศของ Obama นั้น ก็มีทั้งมุมมองที่เป็นบวกและ
เป็นลบ คือ มีทั้งที่มองว่า นโยบายประสบความสำเร็จ และที่มองว่านโยบายประสบความล้มเหลว
สำหรับที่มองว่า Obama ประสบความสำเร็จนั้น ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด คือ คณะกรรมการ โนเบลที่ให้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพแก่ Obama โดยคณะกรรมการได้กล่าวชื่นชม Obama ว่า ได้สร้างบรรยากาศใหม่ให้เกิดขึ้นในการเมืองโลก การทูตพหุภาคีได้กลับมามีความสำคัญอีกครั้งหนึ่ง การเจรจาหารือได้กลับมาเป็นเครื่องมือในการแก้ไขความขัดแย้ง Obama จึงทำให้ชาวโลกมีความหวังสำหรับอนาคตที่จะดีขึ้น
แต่สำหรับมุมมองว่า นโยบายของ Obama ประสบความล้มเหลว (ซึ่งจะเป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยม พรรครีพับริกัน) จะวิพากษ์วิจารณ์ว่า Obama ก็ได้แต่พูด แต่ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรที่เป็นรูปธรรม ปัญหาต่าง ๆ ในโลกก็ยังคงอยู่ ไม่มีปัญหาใดที่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอิสราเอล – ปาเลสไตน์ เกาหลีเหนือ และอิหร่าน
สำหรับผม ผมมองว่า นโยบายของ Obama มีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลว ประสบความสำเร็จ ในแง่ที่ได้ริเริ่มแนวนโยบายต่างๆ ที่นับว่าเป็นก้าวแรกที่ดี แต่ว่าที่ล้มเหลวคือ ยังไม่ได้มีผลอะไรออกมาเป็นรูปธรรม
ผมประเมินว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา Obama ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง โดยได้ริเริ่มปฏิรูปนโยบายต่าง ๆ อย่างเห็นได้ชัด ดูจะเป็นการเริ่มที่ดี นับเป็นก้าวแรกที่ดี ซึ่งน่าจะส่งผลกระทบในทางบวกต่อประชาคมโลก แต่คงจะเป็นการเร็วเกินไป ที่จะด่วนสรุปถึงความสำเร็จหรือความล้มเหลว คงจะต้องรอดูกันยาว ๆ อีกหลายปี ถึงจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน
แนวโน้ม
สำหรับการคาดการณ์แนวโน้มนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯในปี 2010 นี้ ก่อนอื่น ต้องมองว่า นโยบายต่างประเทศของ Obama นั้น มีลักษณะเป็นอุดมคตินิยมและเสรีนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นการมองโลกในแง่ดี เป็นการขายฝันให้แก่ชาวโลก ผมก็อยากให้ความฝันของ Obama เป็นจริง แต่ก็อดห่วงไม่ได้ว่า จะมีอุปสรรคอีกมากมายเหลือเกินกว่าที่ Obama จะสานฝันให้เป็นจริงได้
ในปี 2010 นี้ คงต้องจับตาดูกันว่า Obama จะสามารถสานฝันให้เป็นจริง จะสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโลกอย่างเป็นรูปธรรมได้มากน้อยแค่ไหน แต่ประวัติศาสตร์ได้บอกเราว่า ในที่สุด แนวนโยบายอุดมคตินิยมและเสรีนิยมจะเจอกับอุปสรรค ทั้งนี้เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ได้เป็นโลกของอุดมคตินิยม และกลับเป็นโลกของสัจจนิยม ที่เน้นในเรื่องการแข่งขันต่อสู้เพื่ออำนาจระหว่างประเทศ และความขัดแย้งระหว่างประเทศ
แนวโน้มนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯในปี 2010 ที่จะต้องจับตามองเป็นพิเศษ จะมีเรื่องสำคัญ ดังนี้
· นโยบายต่อปัญหาภาวะโลกร้อน
ในช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว การประชุมภาวะโลกร้อนที่โคเปนเฮเกน ผลการประชุม
เป็นที่น่าผิดหวังและถือว่าล้มเหลว เพราะข้อตกลงที่เรียกว่า Copenhagen Accord เป็นข้อตกลงที่เจรจากันระหว่างสหรัฐฯ จีน อินเดีย บราซิล และอัฟริกาใต้เท่านั้น ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีสถานะทางกฎหมายที่เป็นปัญหาเป็นอย่างมาก และข้อตกลงไม่ได้มีการกำหนดว่า จะมีการเจรจาในรูปแบบสนธิสัญญาเมื่อใด และไม่ได้มีการกำหนดปริมาณการตัดลดก๊าซเรือนกระจกแต่อย่างใด
ท่าทีของสหรัฐฯ และ Obama ถือว่าน่าผิดหวังและประสบความล้มเหลวในการประชุมที่โคเปนเฮเกน ในปีนี้ การเจรจาภาวะโลกร้อนจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร ท่าทีของสหรัฐฯที่ควรจะเล่นบทบาทเป็นผู้นำก็ถูกจำกัด เพราะกระแสต่อต้านจากสภาคองเกรส ทำให้ในที่สุด สหรัฐฯ คงไม่สามารถที่จะเล่นบทบาทนำในการผลักดันสนธิสัญญาฉบับใหม่ภายในปี 2010 ได้
· นโยบายต่อสงครามอัฟกานิสถาน
ในปี 2010 ปัญหาที่ปวดหัวที่สุดของ Obama น่าจะเป็นสงครามในอัฟกานิสถาน การ
ตัดสินใจเพิ่มกำลังทหารเข้าไป 30,000 คน ดูจะสวนทางกับนโยบายต่างประเทศของ Obama ในด้านอื่น ๆ ที่เน้นปฏิสัมพันธ์และความร่วมมือ แต่การเพิ่มกองกำลังเข้าไปในอัฟกานิสถานถือเป็นเกมที่ค่อนข้างเสี่ยงมากของ Obama เพราะอาจจะซ้ำรอยสงครามเวียดนาม เหตุผล คือ การเพิ่มกองกำลังเข้าไปจะยิ่งก่อให้เกิดกระแสต่อต้านสหรัฐฯมากขึ้นจากชาวอัฟกานิสถาน สาเหตุหลักที่ตาลีบันได้ยึดครองพื้นที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เพราะชาวอัฟกานิสถานสนับสนุนตาลีบัน และต่อต้านกองกำลังต่างชาติ
เพราะฉะนั้น ในที่สุดแล้ว การที่สหรัฐฯ หวังว่าจะเอาชนะในสงครามอัฟกานิสถานคงจะไม่ใช่เรื่องง่าย ในปีนี้ เราจึงต้องจับตาดูกันต่อว่า การบ้านชิ้นที่ยากที่สุดของ Obama คือ สงครามอัฟกานิสถานนั้น จะประสบความสำเร็จ หรือ ล้มเหลวอย่างไร
· นโยบายปฏิสัมพันธ์
หัวใจของนโยบายต่างประเทศของ Obama คือ นโยบายปฏิสัมพันธ์ โดย Obama ได้
ประกาศและเริ่มปฏิสัมพันธ์ต่ออิหร่าน เกาหลีเหนือ และพม่า โดยได้เริ่มมีการเจรจาในเรื่องอาวุธนิวเคลียร์กับอิหร่าน เช่นเดียวกับในกรณีเกาหลีเหนือ สหรัฐฯ ได้เริ่มเจรจาทวิภาคีกับเกาหลีเหนือในเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ และในกรณีของพม่าก็เช่นเดียวกัน สหรัฐฯได้ประกาศยุทธศาสตร์ใหม่ต่อพม่า จากนโยบายคว่ำบาตรมาเป็นนโยบายปฏิสัมพันธ์ โดยสหรัฐฯเรียกนโยบายปฏิสัมพันธ์กับพม่าว่า “practical engagement” ซึ่งถ้าแปลตรงตัว คือ “ปฏิสัมพันธ์ที่ปฏิบัติได้จริง” แต่ผมคิดว่า จริง ๆ แล้ว ยุทธศาสตร์นี้น่าจะเรียกว่า ยุทธศาสตร์กึ่งปฏิสัมพันธ์กึ่งคว่ำบาตร น่าจะตรงกว่า
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ผลของนโยบายปฏิสัมพันธ์ยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม เพราะท่าทีของอิหร่านยังไม่เปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับในกรณีเกาหลีเหนือ ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงท่าที ที่จะยุติการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์แต่อย่างใด สำหรับในกรณีพม่า ก็เช่นเดียวกัน ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณใด ๆ ที่รัฐบาลทหารพม่าจะเปลี่ยนแปลงท่าทีในเรื่องของนโยบายปฏิรูปทางการเมือง
ดังนั้น ในปีนี้ เราคงจะต้องจับตาดูกันอย่างใกล้ชิดว่า นโยบายปฏิสัมพันธ์ของ Obama จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างไร
· นโยบายต่อโลกมุสลิม
เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว Obama ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่กรุงไคโร ประกาศยุคใหม่ของ
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับโลกมุสลิม โดยมองว่า ไม่จำเป็นที่โลกตะวันตกกับโลกมุสลิมจะต้องขัดแย้งกัน Obama เชื่อว่ากุญแจสำคัญของการลดความขัดแย้งระหว่างตะวันตกกับอิสลาม คือ ต้องพยายามเข้าใจกันและลดความมีอคติต่อกัน
อย่างไรก็ตาม ผมมองว่า แนวนโยบายดังกล่าวจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายสากลจากกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงได้อย่างไร และแนวคิดดังกล่าวจะนำไปสู่การสร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะการแก้ปัญหาระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ได้อย่างไร ในทางกลับกัน ในปี 2010 นี้ เราอาจจะเห็น การรื้อฟื้นของกระแสการก่อการร้ายสากล สงครามในอัฟกานิสถานและปากีสถาน โดยนักรบตาลีบัน ก็ไม่มีท่าทีว่าจะยุติ
อีกเรื่องหนึ่งคือ ปัญหาอิสราเอล- ปาเลสไตน์ Obama พยายามใช้วิธีที่ Obama เชื่อว่า จะใช้แก้ปัญหาได้ คือ ความพยายามที่จะเข้าใจกันและเห็นใจกัน และผลักดันแนวทางในการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์และรัฐอิสราเอลคู่กันนั้น แต่ในความเป็นจริง เส้นทางของสันติภาพในตะวันออกกลางเต็มไปด้วยอุปสรรค หลายเรื่องที่ยากที่จะหาข้อยุติ ไม่ว่าจะเป็นเขตแดนของรัฐปาเลสไตน์ สถานะของกรุงเยรูซาเล็ม สถานะของผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์กว่า 5 ล้านคน รวมทั้งปัญหาการตั้งถิ่นฐานของชาวยิวในเขต west bank ดังนั้น ในปี 2010 จึงต้องดูกันว่า สหรัฐฯจะสามารถผลักดันสันติภาพในตะวันออกกลางให้เกิดขึ้นได้หรือไม่ ซึ่งผมคิดว่ายาก
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 57 ฉบับที่ 15 วันศุกร์ที่ 8 - วันพฤหัสที่ 14 มกราคม 2553
คอลัมน์โลกทรรศน์ในวันนี้ จะวิเคราะห์สรุปนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ในสมัยรัฐบาล Obama ในรอบปี 2009 ที่ผ่านมา และจะประเมินและคาดการณ์แนวโน้มนโยบายในปี 2010 ด้วย
นโยบายต่างประเทศของรัฐบาล Obama
ในรอบปีที่ผ่านมา หลังจาก Obama ได้มาเป็นประธานาธิบดีในเดือนมกราคมปี 2009 Obama ได้ประกาศและปฏิรูปนโยบายต่างประเทศใหม่ โดยตัวอย่างของนโยบายที่เปลี่ยนไป คือ
· Obama ประกาศว่าพร้อมที่จะเจรจา แม้จะเป็นประเทศที่เป็นศัตรูกับสหรัฐฯ โดย
ได้เสนอพร้อมที่จะเจรจากับอิหร่านในเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ และเดินหน้าเจรจาทวิภาคี และเริ่มปฏิสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ และพม่า
· เปิดศักราชใหม่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับโลกมุสลิม โดยได้กล่าวสุนทร
พจน์ที่ไคโร เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว เรียกร้องให้ฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับโลกมุสลิม เดินหน้าถอนทหารออกจากอิรัก และประกาศจะสร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์
· ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัสเซียและจีน โดยได้เดินทางไปเยือนทั้งสองประเทศ และ
บรรลุข้อตกลงความร่วมมือกันหลายเรื่อง
· จุดยืนของรัฐบาล Obama ต่อปัญหาโลกได้เปลี่ยนแปลงไปหลายเรื่อง อาทิ ท่าทีที่
เปลี่ยนแปลงไปต่อปัญหาภาวะโลกร้อน และท่าทีต่อ UN
การประเมิน
สำหรับการประเมิลผลนโยบายต่างประเทศของ Obama นั้น ก็มีทั้งมุมมองที่เป็นบวกและ
เป็นลบ คือ มีทั้งที่มองว่า นโยบายประสบความสำเร็จ และที่มองว่านโยบายประสบความล้มเหลว
สำหรับที่มองว่า Obama ประสบความสำเร็จนั้น ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด คือ คณะกรรมการ โนเบลที่ให้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพแก่ Obama โดยคณะกรรมการได้กล่าวชื่นชม Obama ว่า ได้สร้างบรรยากาศใหม่ให้เกิดขึ้นในการเมืองโลก การทูตพหุภาคีได้กลับมามีความสำคัญอีกครั้งหนึ่ง การเจรจาหารือได้กลับมาเป็นเครื่องมือในการแก้ไขความขัดแย้ง Obama จึงทำให้ชาวโลกมีความหวังสำหรับอนาคตที่จะดีขึ้น
แต่สำหรับมุมมองว่า นโยบายของ Obama ประสบความล้มเหลว (ซึ่งจะเป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยม พรรครีพับริกัน) จะวิพากษ์วิจารณ์ว่า Obama ก็ได้แต่พูด แต่ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรที่เป็นรูปธรรม ปัญหาต่าง ๆ ในโลกก็ยังคงอยู่ ไม่มีปัญหาใดที่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอิสราเอล – ปาเลสไตน์ เกาหลีเหนือ และอิหร่าน
สำหรับผม ผมมองว่า นโยบายของ Obama มีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลว ประสบความสำเร็จ ในแง่ที่ได้ริเริ่มแนวนโยบายต่างๆ ที่นับว่าเป็นก้าวแรกที่ดี แต่ว่าที่ล้มเหลวคือ ยังไม่ได้มีผลอะไรออกมาเป็นรูปธรรม
ผมประเมินว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา Obama ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง โดยได้ริเริ่มปฏิรูปนโยบายต่าง ๆ อย่างเห็นได้ชัด ดูจะเป็นการเริ่มที่ดี นับเป็นก้าวแรกที่ดี ซึ่งน่าจะส่งผลกระทบในทางบวกต่อประชาคมโลก แต่คงจะเป็นการเร็วเกินไป ที่จะด่วนสรุปถึงความสำเร็จหรือความล้มเหลว คงจะต้องรอดูกันยาว ๆ อีกหลายปี ถึงจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน
แนวโน้ม
สำหรับการคาดการณ์แนวโน้มนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯในปี 2010 นี้ ก่อนอื่น ต้องมองว่า นโยบายต่างประเทศของ Obama นั้น มีลักษณะเป็นอุดมคตินิยมและเสรีนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นการมองโลกในแง่ดี เป็นการขายฝันให้แก่ชาวโลก ผมก็อยากให้ความฝันของ Obama เป็นจริง แต่ก็อดห่วงไม่ได้ว่า จะมีอุปสรรคอีกมากมายเหลือเกินกว่าที่ Obama จะสานฝันให้เป็นจริงได้
ในปี 2010 นี้ คงต้องจับตาดูกันว่า Obama จะสามารถสานฝันให้เป็นจริง จะสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโลกอย่างเป็นรูปธรรมได้มากน้อยแค่ไหน แต่ประวัติศาสตร์ได้บอกเราว่า ในที่สุด แนวนโยบายอุดมคตินิยมและเสรีนิยมจะเจอกับอุปสรรค ทั้งนี้เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ได้เป็นโลกของอุดมคตินิยม และกลับเป็นโลกของสัจจนิยม ที่เน้นในเรื่องการแข่งขันต่อสู้เพื่ออำนาจระหว่างประเทศ และความขัดแย้งระหว่างประเทศ
แนวโน้มนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯในปี 2010 ที่จะต้องจับตามองเป็นพิเศษ จะมีเรื่องสำคัญ ดังนี้
· นโยบายต่อปัญหาภาวะโลกร้อน
ในช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว การประชุมภาวะโลกร้อนที่โคเปนเฮเกน ผลการประชุม
เป็นที่น่าผิดหวังและถือว่าล้มเหลว เพราะข้อตกลงที่เรียกว่า Copenhagen Accord เป็นข้อตกลงที่เจรจากันระหว่างสหรัฐฯ จีน อินเดีย บราซิล และอัฟริกาใต้เท่านั้น ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีสถานะทางกฎหมายที่เป็นปัญหาเป็นอย่างมาก และข้อตกลงไม่ได้มีการกำหนดว่า จะมีการเจรจาในรูปแบบสนธิสัญญาเมื่อใด และไม่ได้มีการกำหนดปริมาณการตัดลดก๊าซเรือนกระจกแต่อย่างใด
ท่าทีของสหรัฐฯ และ Obama ถือว่าน่าผิดหวังและประสบความล้มเหลวในการประชุมที่โคเปนเฮเกน ในปีนี้ การเจรจาภาวะโลกร้อนจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร ท่าทีของสหรัฐฯที่ควรจะเล่นบทบาทเป็นผู้นำก็ถูกจำกัด เพราะกระแสต่อต้านจากสภาคองเกรส ทำให้ในที่สุด สหรัฐฯ คงไม่สามารถที่จะเล่นบทบาทนำในการผลักดันสนธิสัญญาฉบับใหม่ภายในปี 2010 ได้
· นโยบายต่อสงครามอัฟกานิสถาน
ในปี 2010 ปัญหาที่ปวดหัวที่สุดของ Obama น่าจะเป็นสงครามในอัฟกานิสถาน การ
ตัดสินใจเพิ่มกำลังทหารเข้าไป 30,000 คน ดูจะสวนทางกับนโยบายต่างประเทศของ Obama ในด้านอื่น ๆ ที่เน้นปฏิสัมพันธ์และความร่วมมือ แต่การเพิ่มกองกำลังเข้าไปในอัฟกานิสถานถือเป็นเกมที่ค่อนข้างเสี่ยงมากของ Obama เพราะอาจจะซ้ำรอยสงครามเวียดนาม เหตุผล คือ การเพิ่มกองกำลังเข้าไปจะยิ่งก่อให้เกิดกระแสต่อต้านสหรัฐฯมากขึ้นจากชาวอัฟกานิสถาน สาเหตุหลักที่ตาลีบันได้ยึดครองพื้นที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เพราะชาวอัฟกานิสถานสนับสนุนตาลีบัน และต่อต้านกองกำลังต่างชาติ
เพราะฉะนั้น ในที่สุดแล้ว การที่สหรัฐฯ หวังว่าจะเอาชนะในสงครามอัฟกานิสถานคงจะไม่ใช่เรื่องง่าย ในปีนี้ เราจึงต้องจับตาดูกันต่อว่า การบ้านชิ้นที่ยากที่สุดของ Obama คือ สงครามอัฟกานิสถานนั้น จะประสบความสำเร็จ หรือ ล้มเหลวอย่างไร
· นโยบายปฏิสัมพันธ์
หัวใจของนโยบายต่างประเทศของ Obama คือ นโยบายปฏิสัมพันธ์ โดย Obama ได้
ประกาศและเริ่มปฏิสัมพันธ์ต่ออิหร่าน เกาหลีเหนือ และพม่า โดยได้เริ่มมีการเจรจาในเรื่องอาวุธนิวเคลียร์กับอิหร่าน เช่นเดียวกับในกรณีเกาหลีเหนือ สหรัฐฯ ได้เริ่มเจรจาทวิภาคีกับเกาหลีเหนือในเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ และในกรณีของพม่าก็เช่นเดียวกัน สหรัฐฯได้ประกาศยุทธศาสตร์ใหม่ต่อพม่า จากนโยบายคว่ำบาตรมาเป็นนโยบายปฏิสัมพันธ์ โดยสหรัฐฯเรียกนโยบายปฏิสัมพันธ์กับพม่าว่า “practical engagement” ซึ่งถ้าแปลตรงตัว คือ “ปฏิสัมพันธ์ที่ปฏิบัติได้จริง” แต่ผมคิดว่า จริง ๆ แล้ว ยุทธศาสตร์นี้น่าจะเรียกว่า ยุทธศาสตร์กึ่งปฏิสัมพันธ์กึ่งคว่ำบาตร น่าจะตรงกว่า
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ผลของนโยบายปฏิสัมพันธ์ยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม เพราะท่าทีของอิหร่านยังไม่เปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับในกรณีเกาหลีเหนือ ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงท่าที ที่จะยุติการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์แต่อย่างใด สำหรับในกรณีพม่า ก็เช่นเดียวกัน ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณใด ๆ ที่รัฐบาลทหารพม่าจะเปลี่ยนแปลงท่าทีในเรื่องของนโยบายปฏิรูปทางการเมือง
ดังนั้น ในปีนี้ เราคงจะต้องจับตาดูกันอย่างใกล้ชิดว่า นโยบายปฏิสัมพันธ์ของ Obama จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างไร
· นโยบายต่อโลกมุสลิม
เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว Obama ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่กรุงไคโร ประกาศยุคใหม่ของ
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับโลกมุสลิม โดยมองว่า ไม่จำเป็นที่โลกตะวันตกกับโลกมุสลิมจะต้องขัดแย้งกัน Obama เชื่อว่ากุญแจสำคัญของการลดความขัดแย้งระหว่างตะวันตกกับอิสลาม คือ ต้องพยายามเข้าใจกันและลดความมีอคติต่อกัน
อย่างไรก็ตาม ผมมองว่า แนวนโยบายดังกล่าวจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายสากลจากกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงได้อย่างไร และแนวคิดดังกล่าวจะนำไปสู่การสร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะการแก้ปัญหาระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ได้อย่างไร ในทางกลับกัน ในปี 2010 นี้ เราอาจจะเห็น การรื้อฟื้นของกระแสการก่อการร้ายสากล สงครามในอัฟกานิสถานและปากีสถาน โดยนักรบตาลีบัน ก็ไม่มีท่าทีว่าจะยุติ
อีกเรื่องหนึ่งคือ ปัญหาอิสราเอล- ปาเลสไตน์ Obama พยายามใช้วิธีที่ Obama เชื่อว่า จะใช้แก้ปัญหาได้ คือ ความพยายามที่จะเข้าใจกันและเห็นใจกัน และผลักดันแนวทางในการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์และรัฐอิสราเอลคู่กันนั้น แต่ในความเป็นจริง เส้นทางของสันติภาพในตะวันออกกลางเต็มไปด้วยอุปสรรค หลายเรื่องที่ยากที่จะหาข้อยุติ ไม่ว่าจะเป็นเขตแดนของรัฐปาเลสไตน์ สถานะของกรุงเยรูซาเล็ม สถานะของผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์กว่า 5 ล้านคน รวมทั้งปัญหาการตั้งถิ่นฐานของชาวยิวในเขต west bank ดังนั้น ในปี 2010 จึงต้องดูกันว่า สหรัฐฯจะสามารถผลักดันสันติภาพในตะวันออกกลางให้เกิดขึ้นได้หรือไม่ ซึ่งผมคิดว่ายาก
สรุปสถานการณ์โลกในปี 2552 ตอนจบ
สรุปสถานการณ์โลกในปี 2552 (ตอนจบ)
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 57 ฉบับที่ 15 วันศุกร์ที่ 1 - วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม 2553
คอลัมน์โลกทรรศน์ตอนที่แล้วและตอนนี้ เป็นตอนส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ ผมจึงอยากจะสรุปสถานการณ์โลกในรอบปีที่ผ่านมา โดยผมได้จัดลำดับเรื่องที่มีความสำคัญที่สุด 10 อันดับ ดังนี้
อันดับที่ 1 : ปัญหาภาวะโลกร้อนและการประชุมที่โคเปนเฮเกน
อันดับที่ 2 : วิกฤตเศรษฐกิจโลก
อันดับที่ 3 : นโยบายต่างประเทศของ Obama
อันดับที่ 4 : วิกฤตนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ
อันดับที่ 5 : สงครามอัฟกานิสถาน
อันดับที่ 6 : สงครามปากีสถาน
อันดับที่ 7 : วิกฤตนิวเคลียร์อิหร่าน
อันดับที่ 8 : ความสัมพันธ์สหรัฐฯ – รัสเซีย
อันดับที่ 9 : ความสัมพันธ์สหรัฐ- จีน
อันดับที่ 10 : ความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์
ในตอนที่แล้ว ผมได้วิเคราะห์อันดับ 1 ถึงอันดับ 5 ไปแล้ว คอลัมน์ในวันนี้จะมาวิเคราะห์ต่ออันดับที่ 6 ถึงอันดับที่ 10 ดังนี้
อันดับที่ 6 : สงครามปากีสถาน
เรื่องที่มีความสำคัญต่อโลกในอันดับ 6 ในความคิดของผม คือ สงครามปากีสถาน
สถานการณ์การสู้รบระหว่างทหารปากีสถานกับนักรบตาลีบันกำลังเข้าสู่จุดวิกฤต ขณะนี้ปากีสถานกลายเป็นแหล่งซ่องสุมใหญ่ของนักรบตาลีบันและ Al Qaeda ซึ่งได้ย้ายฐานมาจากอัฟกานิสถาน โดยได้ใช้บริเวณพรมแดนอัฟกานิสถานและปากีสถานเป็นฐานที่มั่นใหญ่ และได้รุกคืบเข้าไปยึดหุบเขา Swat ซึ่งอยู่ห่างจากกรุง Islamabad เมืองหลวงของปากีสถานเพียง 100 กว่าเมตร นักรบตาลีบันจึงได้รุกคืบเข้าใกล้เมืองหลวงของปากีสถานมากขึ้น จึงทำให้มีความหวาดวิตกมากขึ้น ถึงความมั่นคงปลอดภัยของอาวุธนิวเคลียร์ของปากีสถาน Al Qaeda และ Bin Laden ได้เคยประกาศว่า จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อหาอาวุธร้ายแรง สำหรับอาวุธนิวเคลียร์นั้น ในกรณีของปากีสถานน่าเป็นห่วงมาก ทั้งนี้เพราะรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ และคนในรัฐบาลบางกลุ่มก็มีใจฝักใฝ่และนิยมตาลีบันและ Al Qaeda สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ หากตาลีบันสามารถเข้ายึดกรุง Islamabad ได้และสามารถเข้ายึดกุมอำนาจรัฐปากีสถานได้ ก็จะทำให้รัฐบาลตาลีบันในปากีสถานจะมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครองกว่า 80 ลูก
อันดับที่ 7 : วิกฤตนิวเคลียร์อิหร่าน
เรื่องที่มีความสำคัญต่อโลกเป็นอันดับ 7 ในรอบปี 2552 คือ ปัญหาวิกฤตนิวเคลียร์อิหร่าน
ตะวันตกและสหรัฐฯ ได้กล่าวหาอิหร่านว่า กำลังแอบพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ตะวันตกพยายามกดดันอิหร่านด้วยวิธีต่าง ๆ โดยการนำเรื่องเข้าสู่คณะมนตรีความมั่นคงของ UN เพื่อผลักดันมาตรการคว่ำบาตร และหลายครั้งที่อเมริกาออกมาขู่ว่า จะใช้กำลังทหารโจมตีโรงงานพลังงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน ในสมัยรัฐบาล Bush ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่านตึงเครียดอย่างหนัก โดย Bush ประกาศว่า อิหร่านเป็นหนึ่งในอักษะแห่งความชั่วร้าย ส่วนผู้นำอิหร่านคือ Ahmadinejad ก็ออกมาตอบโต้และขู่ว่าจะลบอิสราเอลออกจากแผนที่โลก
อย่างไรก็ตาม Obama ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ได้กล่าวโจมตีนโยบายของ Bush ต่ออิหร่านและประกาศว่า หากได้เป็นประธานาธิบดีก็พร้อมที่จะเจรจากับผู้นำอิหร่าน ต่อมาในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดี Obama ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่กรุงไคโรประกาศศักราชของความสัมพันธ์สหรัฐฯ กับโลกมุสลิมและได้กล่าวว่า สหรัฐฯ กับอิหร่านไม่ควรจะติดอยู่กับความขัดแย้งในอดีต แต่ประเทศทั้งสองควรจะพร้อมที่จะเดินไปข้างหน้า ดังนั้น จึงมีหลายเรื่องที่จะต้องหารือกัน ต่อมา Susan Rice ทูตประจำ UN ได้ประกาศท่าทีว่า สหรัฐฯ จะพยายามใช้ทุกวิถีทาง รวมทั้งการใช้การทูตเพื่อแก้ไขปัญหาและป้องกันไม่ให้อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ จึงเห็นได้ชัดว่า รัฐบาล Obama ได้เปลี่ยนท่าที โดยได้หันกลับมาเน้นปฏิสัมพันธ์กับอิหร่าน กระบวนการเจรจาทางการทูตจึงได้เริ่มขึ้น
อันดับที่ 8 : ความสัมพันธ์สหรัฐฯ – รัสเซีย
เรื่องที่มีความสำคัญต่อโลกเป็นอันดับ 8 คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย
ในสมัยรัฐบาล Bush ความสัมพันธ์สหรัฐฯ- รัสเซียเสื่อมโทรมลงอย่างมาก จนถึงขั้นมีบางคนมองว่า การเมืองโลกกำลังจะกลับไปสู่สงครามเย็นภาค 2
อย่างไรก็ตาม ในสมัยรัฐบาล Obama ได้ประกาศนโยบายชัดเจนว่า ต้องการปรับความสัมพันธ์กับรัสเซียใหม่ และ Obama ได้เดินทางไปเยือนรัสเซีย ได้หารือกับประธานาธิบดี Medvedev และได้มีข้อตกลงกันหลายเรื่อง โดยทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะลดหัวรบนิวเคลียร์ลงให้เหลือ 1 ใน 3 และจะร่วมมือกันในเรื่องการรักษาความปลอดภัยให้กับวัตถุดิบนิวเคลียร์ ทั้งสองฝ่าย ยังได้หารือกันถึงกรณีของเกาหลีเหนือและอิหร่าน รวมทั้งความร่วมมือในการต่อต้านการก่อการร้าย แต่เรื่องที่ยังขัดแย้งกันอยู่ คือ เรื่องที่เกี่ยวกับจอร์เจียและยูเครน โดยรัสเซียไม่พอใจอย่างมากที่สหรัฐฯจะดึงเอาจอร์เจียและยูเครนมาเป็นสมาชิกนาโต้
อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมแล้ว การเยือนรัสเซียของ Obama ถือว่าประสบความสำเร็จ นับเป็นการเปิดศักราชใหม่ความสัมพันธ์สหรัฐฯ – รัสเซีย เห็นได้ชัดว่า Obama พยายามอย่างเต็มที่ที่จะปรับความสัมพันธ์กับรัสเซียโดยเน้นปฏิสัมพันธ์ และเปลี่ยนจากความขัดแย้งมาเป็นความร่วมมือ
อันดับที่ 9 : ความสัมพันธ์สหรัฐ- จีน
เรื่องที่มีความสำคัญเป็นอันดับ 9 คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับจีนในรอบปีที่ผ่านมา
ในอดีตโดยเฉพาะในสมัยรัฐบาล Bush กลุ่มอนุรักษ์นิยมสายเหยี่ยวมองว่า จีนเป็นภัยคุกคาม และยุทธศาสตร์ของ Bush คือ นโยบายกึ่งปิดล้อมกึ่งปฏิสัมพันธ์ คือ ปิดล้อมทางทหารแต่ปฏิสัมพันธ์ทางการทูตและเศรษฐกิจ ต่อมา ในสมัยรัฐบาล Obama ยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ต่อจีนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง คือ ยังมีลักษณะกึ่งปิดล้อมกึ่งปฏิสัมพันธ์ แต่ Obama มีนโยบายจะเพิ่มสัดส่วนปฏิสัมพันธ์เป็นพิเศษ และพยายามที่จะลดสัดส่วนของนโยบายปิดล้อมทางทหารลง
ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา Obama ได้เดินทางไปเยือนจีนเป็นครั้งแรก โดยได้พยายามตอกย้ำนโยบายต่างประเทศใหม่ของตน คือนโยบายปฏิสัมพันธ์ และได้พยายามขยายความร่วมมือกับจีนในทุก ๆ ด้าน การเยือนจีนของ Obama ในครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะได้มีการขยายความร่วมมือออกไปมากมายหลายสาขาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ ไม่เคยมีครั้งใดที่จีนกับสหรัฐฯ จะมีท่าทีตรงกันได้มากมายหลายเรื่องเหมือนในครั้งนี้ โดยมีทั้งความร่วมมือด้านความมั่นคงและทางทหาร ในหลาย ๆ เรื่องก็เป็นเรื่องที่สหรัฐฯยอมประนีประนอมและโอนอ่อนไปตามท่าทีของจีน อาทิ ปัญหาไต้หวัน และปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน ความร่วมมือด้านภาวะโลกร้อนก็เป็นพัฒนาการที่สำคัญ เพราะในอดีต สหรัฐฯกับจีนมีท่าทีตรงกันข้าม แต่ท่าทีของทั้งสองก็เปลี่ยนแปลงไปมาก อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีประเด็นขัดแย้งกัน โดยเฉพาะในประเด็นทางด้านเศรษฐกิจ ก็ยังมีหลายเรื่องที่ยังตกลงกันไม่ได้
อันดับที่ 10 : ความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์
และสุดท้ายก็เป็นอันดับ 10 เรื่องที่มีความสำคัญต่อโลกเป็นอันดับ 10 คือ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล- ปาเลสไตน์
พัฒนาการที่สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา คือ การดำเนินนโยบายในเชิงรุกของ Obama ในสุนทรพจน์ที่กรุงไคโร ซึ่งเป็นสุนทรพจน์ประกาศยุคใหม่ความสัมพันธ์สหรัฐฯกับโลกมุสลิม Obama ได้เน้นที่จะแก้ปัญหาอิสราเอล – ปาเลสไตน์ โดยเชื่อว่า ทางแก้ที่ดีที่สุด คือ two- state solution คือ การผลักดันให้รัฐอิสราเอล และรัฐปาเลสไตน์คงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่การจะบรรลุเป้าหมายได้ ปาเลสไตน์ โดยเฉพาะฮามาสจะต้องยุติความรุนแรง และยอมรับสิทธิของอิสราเอลในการคงอยู่ ขณะเดียวกัน อิสราเอลก็ต้องยอมรับสิทธิของปาเลสไตน์และการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ และยุติการตั้งถิ่นฐานของชาวยิวในเขต west bank
ต่อมา นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล คือ Netanyahu ได้ประกาศท่าทีของอิสราเอลต่อข้อเสนอของ Obama โดยกล่าวว่า อิสราเอลยอมรับรัฐปาเลสไตน์ แต่ก็มีเงื่อนไข โดยไม่สนใจที่จะยุติการตั้งถิ่นฐานในเขต west bank เรียกร้องให้ปาเลสไตน์ยอมรับอิสราเอลว่าเป็นรัฐของชาวยิว สำหรับสถานะของกรุงเยรูซาเล็ม ก็จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของอิสลาเอล (เป็นที่รู้กันดีว่า ปาเลสไตน์ต้องการให้เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของปาเลสไตน์) นอกจากนี้ Netanyahu ยังได้ตั้งเงื่อนไขว่า รัฐปาเลสไตน์จะต้องไม่มีกองกำลังทหาร
สำหรับปาเลสไตน์ก็ได้แสดงความผิดหวังต่อ Netanyahu โดยกล่าวว่า ท่าทีของ Netanyahu เท่ากับเป็นการทำลายกระบวนการสันติภาพและทำลายความเป็นไปได้ที่จะเริ่มเจรจาครั้งใหม่
โดยสรุป ถึงแม้ Obama จะมีความหวังอย่างแรงกล้าที่จะแก้ปัญหาอิสราเอล – ปาเลสไตน์ แต่เส้นทางของสันติภาพในตะวันออกกลาง ก็ยังเต็มไปด้วยอุปสรรคนานานัปการ
เพราะในอดีตสหรัฐฯกับจีนมีท่าทีตรงกันข้าม
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 57 ฉบับที่ 15 วันศุกร์ที่ 1 - วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม 2553
คอลัมน์โลกทรรศน์ตอนที่แล้วและตอนนี้ เป็นตอนส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ ผมจึงอยากจะสรุปสถานการณ์โลกในรอบปีที่ผ่านมา โดยผมได้จัดลำดับเรื่องที่มีความสำคัญที่สุด 10 อันดับ ดังนี้
อันดับที่ 1 : ปัญหาภาวะโลกร้อนและการประชุมที่โคเปนเฮเกน
อันดับที่ 2 : วิกฤตเศรษฐกิจโลก
อันดับที่ 3 : นโยบายต่างประเทศของ Obama
อันดับที่ 4 : วิกฤตนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ
อันดับที่ 5 : สงครามอัฟกานิสถาน
อันดับที่ 6 : สงครามปากีสถาน
อันดับที่ 7 : วิกฤตนิวเคลียร์อิหร่าน
อันดับที่ 8 : ความสัมพันธ์สหรัฐฯ – รัสเซีย
อันดับที่ 9 : ความสัมพันธ์สหรัฐ- จีน
อันดับที่ 10 : ความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์
ในตอนที่แล้ว ผมได้วิเคราะห์อันดับ 1 ถึงอันดับ 5 ไปแล้ว คอลัมน์ในวันนี้จะมาวิเคราะห์ต่ออันดับที่ 6 ถึงอันดับที่ 10 ดังนี้
อันดับที่ 6 : สงครามปากีสถาน
เรื่องที่มีความสำคัญต่อโลกในอันดับ 6 ในความคิดของผม คือ สงครามปากีสถาน
สถานการณ์การสู้รบระหว่างทหารปากีสถานกับนักรบตาลีบันกำลังเข้าสู่จุดวิกฤต ขณะนี้ปากีสถานกลายเป็นแหล่งซ่องสุมใหญ่ของนักรบตาลีบันและ Al Qaeda ซึ่งได้ย้ายฐานมาจากอัฟกานิสถาน โดยได้ใช้บริเวณพรมแดนอัฟกานิสถานและปากีสถานเป็นฐานที่มั่นใหญ่ และได้รุกคืบเข้าไปยึดหุบเขา Swat ซึ่งอยู่ห่างจากกรุง Islamabad เมืองหลวงของปากีสถานเพียง 100 กว่าเมตร นักรบตาลีบันจึงได้รุกคืบเข้าใกล้เมืองหลวงของปากีสถานมากขึ้น จึงทำให้มีความหวาดวิตกมากขึ้น ถึงความมั่นคงปลอดภัยของอาวุธนิวเคลียร์ของปากีสถาน Al Qaeda และ Bin Laden ได้เคยประกาศว่า จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อหาอาวุธร้ายแรง สำหรับอาวุธนิวเคลียร์นั้น ในกรณีของปากีสถานน่าเป็นห่วงมาก ทั้งนี้เพราะรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ และคนในรัฐบาลบางกลุ่มก็มีใจฝักใฝ่และนิยมตาลีบันและ Al Qaeda สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ หากตาลีบันสามารถเข้ายึดกรุง Islamabad ได้และสามารถเข้ายึดกุมอำนาจรัฐปากีสถานได้ ก็จะทำให้รัฐบาลตาลีบันในปากีสถานจะมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครองกว่า 80 ลูก
อันดับที่ 7 : วิกฤตนิวเคลียร์อิหร่าน
เรื่องที่มีความสำคัญต่อโลกเป็นอันดับ 7 ในรอบปี 2552 คือ ปัญหาวิกฤตนิวเคลียร์อิหร่าน
ตะวันตกและสหรัฐฯ ได้กล่าวหาอิหร่านว่า กำลังแอบพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ตะวันตกพยายามกดดันอิหร่านด้วยวิธีต่าง ๆ โดยการนำเรื่องเข้าสู่คณะมนตรีความมั่นคงของ UN เพื่อผลักดันมาตรการคว่ำบาตร และหลายครั้งที่อเมริกาออกมาขู่ว่า จะใช้กำลังทหารโจมตีโรงงานพลังงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน ในสมัยรัฐบาล Bush ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่านตึงเครียดอย่างหนัก โดย Bush ประกาศว่า อิหร่านเป็นหนึ่งในอักษะแห่งความชั่วร้าย ส่วนผู้นำอิหร่านคือ Ahmadinejad ก็ออกมาตอบโต้และขู่ว่าจะลบอิสราเอลออกจากแผนที่โลก
อย่างไรก็ตาม Obama ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ได้กล่าวโจมตีนโยบายของ Bush ต่ออิหร่านและประกาศว่า หากได้เป็นประธานาธิบดีก็พร้อมที่จะเจรจากับผู้นำอิหร่าน ต่อมาในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดี Obama ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่กรุงไคโรประกาศศักราชของความสัมพันธ์สหรัฐฯ กับโลกมุสลิมและได้กล่าวว่า สหรัฐฯ กับอิหร่านไม่ควรจะติดอยู่กับความขัดแย้งในอดีต แต่ประเทศทั้งสองควรจะพร้อมที่จะเดินไปข้างหน้า ดังนั้น จึงมีหลายเรื่องที่จะต้องหารือกัน ต่อมา Susan Rice ทูตประจำ UN ได้ประกาศท่าทีว่า สหรัฐฯ จะพยายามใช้ทุกวิถีทาง รวมทั้งการใช้การทูตเพื่อแก้ไขปัญหาและป้องกันไม่ให้อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ จึงเห็นได้ชัดว่า รัฐบาล Obama ได้เปลี่ยนท่าที โดยได้หันกลับมาเน้นปฏิสัมพันธ์กับอิหร่าน กระบวนการเจรจาทางการทูตจึงได้เริ่มขึ้น
อันดับที่ 8 : ความสัมพันธ์สหรัฐฯ – รัสเซีย
เรื่องที่มีความสำคัญต่อโลกเป็นอันดับ 8 คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย
ในสมัยรัฐบาล Bush ความสัมพันธ์สหรัฐฯ- รัสเซียเสื่อมโทรมลงอย่างมาก จนถึงขั้นมีบางคนมองว่า การเมืองโลกกำลังจะกลับไปสู่สงครามเย็นภาค 2
อย่างไรก็ตาม ในสมัยรัฐบาล Obama ได้ประกาศนโยบายชัดเจนว่า ต้องการปรับความสัมพันธ์กับรัสเซียใหม่ และ Obama ได้เดินทางไปเยือนรัสเซีย ได้หารือกับประธานาธิบดี Medvedev และได้มีข้อตกลงกันหลายเรื่อง โดยทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะลดหัวรบนิวเคลียร์ลงให้เหลือ 1 ใน 3 และจะร่วมมือกันในเรื่องการรักษาความปลอดภัยให้กับวัตถุดิบนิวเคลียร์ ทั้งสองฝ่าย ยังได้หารือกันถึงกรณีของเกาหลีเหนือและอิหร่าน รวมทั้งความร่วมมือในการต่อต้านการก่อการร้าย แต่เรื่องที่ยังขัดแย้งกันอยู่ คือ เรื่องที่เกี่ยวกับจอร์เจียและยูเครน โดยรัสเซียไม่พอใจอย่างมากที่สหรัฐฯจะดึงเอาจอร์เจียและยูเครนมาเป็นสมาชิกนาโต้
อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมแล้ว การเยือนรัสเซียของ Obama ถือว่าประสบความสำเร็จ นับเป็นการเปิดศักราชใหม่ความสัมพันธ์สหรัฐฯ – รัสเซีย เห็นได้ชัดว่า Obama พยายามอย่างเต็มที่ที่จะปรับความสัมพันธ์กับรัสเซียโดยเน้นปฏิสัมพันธ์ และเปลี่ยนจากความขัดแย้งมาเป็นความร่วมมือ
อันดับที่ 9 : ความสัมพันธ์สหรัฐ- จีน
เรื่องที่มีความสำคัญเป็นอันดับ 9 คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับจีนในรอบปีที่ผ่านมา
ในอดีตโดยเฉพาะในสมัยรัฐบาล Bush กลุ่มอนุรักษ์นิยมสายเหยี่ยวมองว่า จีนเป็นภัยคุกคาม และยุทธศาสตร์ของ Bush คือ นโยบายกึ่งปิดล้อมกึ่งปฏิสัมพันธ์ คือ ปิดล้อมทางทหารแต่ปฏิสัมพันธ์ทางการทูตและเศรษฐกิจ ต่อมา ในสมัยรัฐบาล Obama ยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ต่อจีนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง คือ ยังมีลักษณะกึ่งปิดล้อมกึ่งปฏิสัมพันธ์ แต่ Obama มีนโยบายจะเพิ่มสัดส่วนปฏิสัมพันธ์เป็นพิเศษ และพยายามที่จะลดสัดส่วนของนโยบายปิดล้อมทางทหารลง
ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา Obama ได้เดินทางไปเยือนจีนเป็นครั้งแรก โดยได้พยายามตอกย้ำนโยบายต่างประเทศใหม่ของตน คือนโยบายปฏิสัมพันธ์ และได้พยายามขยายความร่วมมือกับจีนในทุก ๆ ด้าน การเยือนจีนของ Obama ในครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะได้มีการขยายความร่วมมือออกไปมากมายหลายสาขาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ ไม่เคยมีครั้งใดที่จีนกับสหรัฐฯ จะมีท่าทีตรงกันได้มากมายหลายเรื่องเหมือนในครั้งนี้ โดยมีทั้งความร่วมมือด้านความมั่นคงและทางทหาร ในหลาย ๆ เรื่องก็เป็นเรื่องที่สหรัฐฯยอมประนีประนอมและโอนอ่อนไปตามท่าทีของจีน อาทิ ปัญหาไต้หวัน และปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน ความร่วมมือด้านภาวะโลกร้อนก็เป็นพัฒนาการที่สำคัญ เพราะในอดีต สหรัฐฯกับจีนมีท่าทีตรงกันข้าม แต่ท่าทีของทั้งสองก็เปลี่ยนแปลงไปมาก อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีประเด็นขัดแย้งกัน โดยเฉพาะในประเด็นทางด้านเศรษฐกิจ ก็ยังมีหลายเรื่องที่ยังตกลงกันไม่ได้
อันดับที่ 10 : ความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์
และสุดท้ายก็เป็นอันดับ 10 เรื่องที่มีความสำคัญต่อโลกเป็นอันดับ 10 คือ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล- ปาเลสไตน์
พัฒนาการที่สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา คือ การดำเนินนโยบายในเชิงรุกของ Obama ในสุนทรพจน์ที่กรุงไคโร ซึ่งเป็นสุนทรพจน์ประกาศยุคใหม่ความสัมพันธ์สหรัฐฯกับโลกมุสลิม Obama ได้เน้นที่จะแก้ปัญหาอิสราเอล – ปาเลสไตน์ โดยเชื่อว่า ทางแก้ที่ดีที่สุด คือ two- state solution คือ การผลักดันให้รัฐอิสราเอล และรัฐปาเลสไตน์คงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่การจะบรรลุเป้าหมายได้ ปาเลสไตน์ โดยเฉพาะฮามาสจะต้องยุติความรุนแรง และยอมรับสิทธิของอิสราเอลในการคงอยู่ ขณะเดียวกัน อิสราเอลก็ต้องยอมรับสิทธิของปาเลสไตน์และการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ และยุติการตั้งถิ่นฐานของชาวยิวในเขต west bank
ต่อมา นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล คือ Netanyahu ได้ประกาศท่าทีของอิสราเอลต่อข้อเสนอของ Obama โดยกล่าวว่า อิสราเอลยอมรับรัฐปาเลสไตน์ แต่ก็มีเงื่อนไข โดยไม่สนใจที่จะยุติการตั้งถิ่นฐานในเขต west bank เรียกร้องให้ปาเลสไตน์ยอมรับอิสราเอลว่าเป็นรัฐของชาวยิว สำหรับสถานะของกรุงเยรูซาเล็ม ก็จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของอิสลาเอล (เป็นที่รู้กันดีว่า ปาเลสไตน์ต้องการให้เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของปาเลสไตน์) นอกจากนี้ Netanyahu ยังได้ตั้งเงื่อนไขว่า รัฐปาเลสไตน์จะต้องไม่มีกองกำลังทหาร
สำหรับปาเลสไตน์ก็ได้แสดงความผิดหวังต่อ Netanyahu โดยกล่าวว่า ท่าทีของ Netanyahu เท่ากับเป็นการทำลายกระบวนการสันติภาพและทำลายความเป็นไปได้ที่จะเริ่มเจรจาครั้งใหม่
โดยสรุป ถึงแม้ Obama จะมีความหวังอย่างแรงกล้าที่จะแก้ปัญหาอิสราเอล – ปาเลสไตน์ แต่เส้นทางของสันติภาพในตะวันออกกลาง ก็ยังเต็มไปด้วยอุปสรรคนานานัปการ
เพราะในอดีตสหรัฐฯกับจีนมีท่าทีตรงกันข้าม
ประเมินนโยบายต่างประเทศรัฐบาลอภิสิทธิ์ในรอบ 1 ปี
ประเมินนโยบายต่างประเทศรัฐบาลอภิสิทธิ์ในรอบ 1 ปี
ไทยโพสต์ วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม 2552
คอลัมน์กระบวนทรรศน์ตอนนี้ ซึ่งเป็นตอนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ผมจึงขอถือโอกาสประเมินนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในรอบ 1 ปี ดังนี้
ในภาพรวม ก็โอเค สำหรับนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่ว่า ก็ไม่ถึงกับมีอะไรโดดเด่น ไม่มีอะไรที่เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงให้เห็น แต่ก็ไม่ถึงกับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ก็จะมีปน ๆ กันไป มีทั้งเรื่องที่สำเร็จและบางเรื่องที่ดูล้มเหลว
ความสำเร็จ
เริ่มจากที่ประสบความสำเร็จก่อน เรื่องที่ประสบความสำเร็จ น่าจะเป็นเรื่องของการจัดประชุมที่ไทยเป็นประธานอาเซียน จัดประชุมสุดยอดไป 2 ครั้ง ประชุมครั้งที่ 14 ที่ชะอำ-หัวหิน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ อันนี้เป็นผลงานที่ออกมาดีทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรูปแบบ ผลการประชุม เนื้อหาของการประชุม ทุกอย่างออกมาดีหมด ผมให้ A สำหรับการประชุมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
อีกครั้งหนึ่งที่จัดต่อมา คือ ในเดือนตุลาคมที่เป็นการประชุมสุดยอดครั้งที่ 15 ครั้งนี้ดูเหมือนจะแผ่วลงไป ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องโดดเด่น อันนี้ให้เกรด B แต่อันที่ล้มเหลวที่ประชุมที่พัทยานั้น ผมจะเก็บเอาไว้ก่อน แต่ตรงนี้ เอาเรื่องในแง่ของความสำเร็จก่อนละกันนะครับ
อีกจุดหนึ่งที่ผมมองว่า ค่อนข้างโดดเด่น แต่ไม่ใช่ที่ตัวรัฐมนตรีต่างประเทศ แต่เป็นที่ตัวนายกรัฐมนตรี ในการเล่นบทบาทด้านต่างประเทศ ที่ผมเห็นรัฐบาลพยายาม โดยเฉพาะนายกอภิสิทธิ์ ที่พยายามเดินทางเข้าร่วมในการประชุมต่าง ๆ ในระดับโลกหลายการประชุม ไม่ว่าจะเป็นการประชุมสหประชาชาติในเดือนกันยายน ก็ได้ไปกล่าวสุนทรพจน์ที่ประชุมสมัชชาใหญ่ เป็นตัวแทนในฐานะประธานอาเซียน เข้าร่วมการประชุม G20 ที่ลอนดอน และที่พิตต์สเบิร์ก และยังเข้าร่วมการประชุมในอีกหลายเวที ถ้าผมจำไม่ผิด คือ การประชุม World Economic Forum และในฐานะประธานอาเซียน เป็นประธานการในการประชุมสุดยอดระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯครั้งแรก ที่สิงคโปร์ เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา รวมทั้งการเข้าร่วมประชุมภาวะโลกร้อนที่โคเปนเฮเกนด้วย เพราะฉะนั้น ผมคิดว่า ตรงนี้ก็ประสบความสำเร็จพอควร ที่ทำให้ไทยชูบทบาทในระดับโลกได้เหมือนกัน ในการที่คุณอภิสิทธิ์ได้ไปเข้าร่วมในหลาย ๆ การประชุม แต่ว่า ก็ได้ระดับหนึ่ง คือว่าเราไปเข้าร่วมประชุม แต่ก็ไม่มีบทบาทอะไรที่ถือว่าโดดเด่น ซึ่งผมดูแล้ว ยังไม่ถึงจุดนั้น อันนี้เป็นเรื่องที่สอง
เรื่องที่สามคือ ความสัมพันธ์ไทยกับประเทศต่างๆ อย่างประเทศเพื่อนบ้าน อาจกล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์ไทยกับมาเลเซีย กับลาว กับเวียดนาม ก็ดูโอเค ไม่มีปัญหาอะไร ถือว่าไปได้ ผมว่ากับลาวและเวียดนาม ดูเหมือนจะเสมอตัว ไม่มีอะไรที่ดูเด่นขึ้นมา แต่กับมาเลเซีย ก็ดูจะดีขึ้นนิดหนึ่ง ตอนที่ผู้นำมาเลเซียเดินทางมาเยือนไทย มีการตกลงกันได้หลายเรื่อง ซึ่งผมรู้สึกว่า ความสัมพันธ์ก็กระชับดีขึ้น ในแง่ของไทยกับมาเลเซีย
ส่วนกับประเทศมหาอำนาจ ธรรมดา เราก็ไม่ค่อยมีปัญหากับประเทศมหาอำนาจอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกับสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น เพราะฉะนั้น ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็เดินหน้าต่อในการกระชับความสัมพันธ์กับมหาอำนาจเหล่านี้ มีที่เป็น highlight หน่อย ก็ตอนที่ Hillary Clinton รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เดินทางมาเยือนไทย และพบกับนายกอภิสิทธิ์ และไปประชุมกับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ที่ไทยเป็นประธานที่ภูเก็ต ก็ทำให้ไทยดูดีขึ้น แต่ก็น่าเสียดาย ที่ความพยายามของเราไม่ประสบความสำเร็จที่จะให้ Obama มาเยือนไทย คือเขามาได้แค่สิงคโปร์ ส่วนกับประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ ก็ไม่มีอะไรโดดเด่น ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของความสำเร็จ
ความล้มเหลว
ตอนนี้ เราจะมาดูในเรื่องของความล้มเหลวบ้าง ผมมองว่า ในภาพรวมแล้ว นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งผมคาดหวังว่า น่าจะมีนโยบายที่เป็นเชิงรุกมากกว่านี้ น่าจะมีการนำเสนอความคิดใหม่ ๆ ความคิดริเริ่มเรื่องนั้นเรื่องนี้ ที่เป็นเชิงรุกมากกว่านี้ แต่ที่ผ่านมา เป็นในเชิงรับมากกว่า คือว่า เขามีประชุม เราก็ไปประชุมกับเขา ตามกระแสไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าผิดหวัง รัฐบาลอภิสิทธิ์น่าจะมีนโยบายต่างประเทศในเชิงรุกมากกว่านี้
มาถึงในเรื่องที่ล้มเหลว ที่ล้มเหลวที่สุด คือ ความสัมพันธ์ไทยกับกัมพูชาทุกอย่าง แย่ลงหมด ทั้งเรื่องเขาพระวิหาร เรื่องฮุนเซน ทักษิณ อะไรต่ออะไร วุ่นวายไปหมด จนมาถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์ก็ยังแย่อยู่ ซึ่งเป็นความล้มเหลวของการดำเนินนโยบายต่างประเทศ โจทย์ใหญ่ของไทย คือ เราจะทำอย่างไรที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งตรงนี้เป็นการบ้านที่ทำยากมาโดยตลอด ในตอนหลังก็แย่ลงกว่าเดิมอีก
ในการประเมินมาตรการตอบโต้ที่ค่อนข้างรุนแรงต่อฮุนเซน อันนี้ก็พูดยากเหมือนกัน ในเรื่องของการตัดสินใจที่ล่อแหลม เหมือนกับว่า ถ้าเราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ถ้าเราใช้ไม้แข็ง ใช้ไม้เรียวตี และก็หวังว่าเขาจะยอม แต่มีอีกวิธีหนึ่ง ถ้าใช้วิธีให้รางวัล เอาขนมล่อ ก็อาจจะได้ผลดีกว่า ขึ้นอยู่กับว่า เราจะใช้ carrot หรือ stick แต่ว่าเราก็เลือกใช้ stick ใช้มาตรการลงโทษ คือ การเรียกทูตกลับ ยุติการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ ยกเลิก MOU และหวังว่า เขาจะยอม เขาจะถอย ซึ่งเขาก็ไม่ถอย และในที่สุด ก็ไม่ได้ผล ซึ่งก็กลายเป็นดาบสองคม มาตรการพวกนี้ มันอันตราย
แต่ผมก็เห็นใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ คือวิเคราะห์ลำบากว่า ตกลง ฮุนเซนเขาทำทั้งหมดไปเพื่ออะไร เราไม่รู้ว่า สาเหตุที่แท้จริงของเขา คืออะไร เขาไม่ชอบรัฐบาลชุดนี้ เพราะรัฐบาลก่อน ๆ deal ด้วยง่ายกว่า แต่ในที่สุด ก็ต้องกลับมาดูในเรื่องผลประโยชน์แห่งชาติของเรา ถ้าเป็นผลประโยชน์ของเรา เราก็ไม่จำเป็นต้องไปยอมเขา ถ้ารัฐบาลชุดนี้ทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศเรา และทำให้เขาไม่พอใจ ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ และผมก็คิดว่า รัฐบาลชุดนี้มีความโปร่งใสพอ ในเรื่องของนโยบายต่างประเทศและผลประโยชน์แห่งชาติ แต่ว่า มันก็เป็นดาบสองคม ที่เราไปแข็งกับเขา ซึ่งก็ทำให้เขาไม่พอใจ และก็เลยตีรวน
อีกเรื่องหนึ่ง คือ ความสัมพันธ์ไทยกับพม่า ผมว่า ความสัมพันธ์ไทยกับพม่าในปัจจุบัน ดูเงียบ ๆ ไป ดูไม่มีความกระชับแน่นแฟ้น ซึ่งอาจจะโยงไปถึงเรื่องของการละเมิดสิทธิมนุษยชน นางอองซาน ซูจี ซึ่งนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ก็ค่อนข้างจะแข็งในเรื่องของสิทธิมนุษยชน และอาจจะทำให้รัฐบาลทหารพม่า ไม่ค่อยชอบรัฐบาลชุดนี้
เรื่องแบบนี้ เป็นเรื่องกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ถ้าเราจะเลือกที่จะเป็นพลเมืองโลกที่ดี บางทีก็อาจทำให้เรากลายเป็นเพื่อนบ้านที่ไม่ดี โดยเฉพาะในเรื่องสิทธิมนุษยชน ก็เลยกลายเป็นแบบนี้
และนอกจากเรื่องของประเทศเพื่อนบ้านแล้ว คือ เรื่องการประชุมสุดยอดอาเซียนที่ล่ม ที่พัทยา ผมคิดว่า เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ทำให้โอกาสของไทยในการที่เป็นประธานอาเซียนสูญเสียไป ทำให้ไทยเสียชื่อมาก ทำให้ credit ของประเทศเสียหายมาก เราจึงเปลี่ยน “โอกาส” ให้กลายเป็น “วิกฤต” ไปซะ
เรื่องที่หนึ่งคือ ไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เรื่องที่สองคือ การประชุมล่มที่พัทยา ที่ผมมองว่าเป็นความล้มเหลว เรื่องที่สาม เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบทบาทไทยในเวทีโลก และในเวทีต่าง ๆ ถึงแม้ว่า นายกอภิสิทธิ์จะไปประชุมที่โน่นที่นี่ แต่บทบาทของไทยก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร เหมือนกับเราไปเป็นตัวประกอบ เล่นเดินตามเกมเขา เราควรจะมียุทธศาสตร์เตรียมไป ที่จะทำให้บทบาทไทยโดดเด่นขึ้นมา
ส่วนความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ ก็ไม่มีอะไรที่เป็นผลงานชิ้นโบว์แดง เช่นเดียวกับภูมิภาคอื่นๆ เช่น อัฟริกา ยุโรป ตะวันออกลาง ลาตินอเมริกา ที่อยู่ไกลออกไป ภูมิภาคเหล่านี้ เราควรจะต้องมีนโยบายในเชิงรุกด้วย แต่เราก็บุกไม่พอ
นี่เป็นทั้งหมดที่ผมได้ประเมิน สรุปนะครับ ถ้าผมจะให้เกรดก็คือ ประมาณ B หรืออาจจะต่ำกว่า B นิดหน่อย เป็น C+B- อะไรทำนองนี้
ข้อเสนอแนะ
สำหรับข้อเสนอของผม ต่อนโยบายต่างประเทศของไทยในปี 2553 คือ “นโยบายในเชิงรุก” คือ ต้องเป็นนโยบายในเชิงรุกในเรื่องของบทบาทไทยในอาเซียน บทบาทไทยในเวทีต่าง ๆ นโยบายในเชิงรุกในเรื่องที่ต้องปรับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก เป็นการบ้านชิ้นใหญ่ที่นโยบายต่างประเทศไทยต้องให้ความสำคัญ คือ ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน และก็กับมหาอำนาจ ก็ต้องมีนโยบายในเชิงรุกด้วย
ไทยโพสต์ วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม 2552
คอลัมน์กระบวนทรรศน์ตอนนี้ ซึ่งเป็นตอนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ผมจึงขอถือโอกาสประเมินนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในรอบ 1 ปี ดังนี้
ในภาพรวม ก็โอเค สำหรับนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่ว่า ก็ไม่ถึงกับมีอะไรโดดเด่น ไม่มีอะไรที่เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงให้เห็น แต่ก็ไม่ถึงกับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ก็จะมีปน ๆ กันไป มีทั้งเรื่องที่สำเร็จและบางเรื่องที่ดูล้มเหลว
ความสำเร็จ
เริ่มจากที่ประสบความสำเร็จก่อน เรื่องที่ประสบความสำเร็จ น่าจะเป็นเรื่องของการจัดประชุมที่ไทยเป็นประธานอาเซียน จัดประชุมสุดยอดไป 2 ครั้ง ประชุมครั้งที่ 14 ที่ชะอำ-หัวหิน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ อันนี้เป็นผลงานที่ออกมาดีทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรูปแบบ ผลการประชุม เนื้อหาของการประชุม ทุกอย่างออกมาดีหมด ผมให้ A สำหรับการประชุมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
อีกครั้งหนึ่งที่จัดต่อมา คือ ในเดือนตุลาคมที่เป็นการประชุมสุดยอดครั้งที่ 15 ครั้งนี้ดูเหมือนจะแผ่วลงไป ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องโดดเด่น อันนี้ให้เกรด B แต่อันที่ล้มเหลวที่ประชุมที่พัทยานั้น ผมจะเก็บเอาไว้ก่อน แต่ตรงนี้ เอาเรื่องในแง่ของความสำเร็จก่อนละกันนะครับ
อีกจุดหนึ่งที่ผมมองว่า ค่อนข้างโดดเด่น แต่ไม่ใช่ที่ตัวรัฐมนตรีต่างประเทศ แต่เป็นที่ตัวนายกรัฐมนตรี ในการเล่นบทบาทด้านต่างประเทศ ที่ผมเห็นรัฐบาลพยายาม โดยเฉพาะนายกอภิสิทธิ์ ที่พยายามเดินทางเข้าร่วมในการประชุมต่าง ๆ ในระดับโลกหลายการประชุม ไม่ว่าจะเป็นการประชุมสหประชาชาติในเดือนกันยายน ก็ได้ไปกล่าวสุนทรพจน์ที่ประชุมสมัชชาใหญ่ เป็นตัวแทนในฐานะประธานอาเซียน เข้าร่วมการประชุม G20 ที่ลอนดอน และที่พิตต์สเบิร์ก และยังเข้าร่วมการประชุมในอีกหลายเวที ถ้าผมจำไม่ผิด คือ การประชุม World Economic Forum และในฐานะประธานอาเซียน เป็นประธานการในการประชุมสุดยอดระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯครั้งแรก ที่สิงคโปร์ เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา รวมทั้งการเข้าร่วมประชุมภาวะโลกร้อนที่โคเปนเฮเกนด้วย เพราะฉะนั้น ผมคิดว่า ตรงนี้ก็ประสบความสำเร็จพอควร ที่ทำให้ไทยชูบทบาทในระดับโลกได้เหมือนกัน ในการที่คุณอภิสิทธิ์ได้ไปเข้าร่วมในหลาย ๆ การประชุม แต่ว่า ก็ได้ระดับหนึ่ง คือว่าเราไปเข้าร่วมประชุม แต่ก็ไม่มีบทบาทอะไรที่ถือว่าโดดเด่น ซึ่งผมดูแล้ว ยังไม่ถึงจุดนั้น อันนี้เป็นเรื่องที่สอง
เรื่องที่สามคือ ความสัมพันธ์ไทยกับประเทศต่างๆ อย่างประเทศเพื่อนบ้าน อาจกล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์ไทยกับมาเลเซีย กับลาว กับเวียดนาม ก็ดูโอเค ไม่มีปัญหาอะไร ถือว่าไปได้ ผมว่ากับลาวและเวียดนาม ดูเหมือนจะเสมอตัว ไม่มีอะไรที่ดูเด่นขึ้นมา แต่กับมาเลเซีย ก็ดูจะดีขึ้นนิดหนึ่ง ตอนที่ผู้นำมาเลเซียเดินทางมาเยือนไทย มีการตกลงกันได้หลายเรื่อง ซึ่งผมรู้สึกว่า ความสัมพันธ์ก็กระชับดีขึ้น ในแง่ของไทยกับมาเลเซีย
ส่วนกับประเทศมหาอำนาจ ธรรมดา เราก็ไม่ค่อยมีปัญหากับประเทศมหาอำนาจอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกับสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น เพราะฉะนั้น ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็เดินหน้าต่อในการกระชับความสัมพันธ์กับมหาอำนาจเหล่านี้ มีที่เป็น highlight หน่อย ก็ตอนที่ Hillary Clinton รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เดินทางมาเยือนไทย และพบกับนายกอภิสิทธิ์ และไปประชุมกับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ที่ไทยเป็นประธานที่ภูเก็ต ก็ทำให้ไทยดูดีขึ้น แต่ก็น่าเสียดาย ที่ความพยายามของเราไม่ประสบความสำเร็จที่จะให้ Obama มาเยือนไทย คือเขามาได้แค่สิงคโปร์ ส่วนกับประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ ก็ไม่มีอะไรโดดเด่น ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของความสำเร็จ
ความล้มเหลว
ตอนนี้ เราจะมาดูในเรื่องของความล้มเหลวบ้าง ผมมองว่า ในภาพรวมแล้ว นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งผมคาดหวังว่า น่าจะมีนโยบายที่เป็นเชิงรุกมากกว่านี้ น่าจะมีการนำเสนอความคิดใหม่ ๆ ความคิดริเริ่มเรื่องนั้นเรื่องนี้ ที่เป็นเชิงรุกมากกว่านี้ แต่ที่ผ่านมา เป็นในเชิงรับมากกว่า คือว่า เขามีประชุม เราก็ไปประชุมกับเขา ตามกระแสไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าผิดหวัง รัฐบาลอภิสิทธิ์น่าจะมีนโยบายต่างประเทศในเชิงรุกมากกว่านี้
มาถึงในเรื่องที่ล้มเหลว ที่ล้มเหลวที่สุด คือ ความสัมพันธ์ไทยกับกัมพูชาทุกอย่าง แย่ลงหมด ทั้งเรื่องเขาพระวิหาร เรื่องฮุนเซน ทักษิณ อะไรต่ออะไร วุ่นวายไปหมด จนมาถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์ก็ยังแย่อยู่ ซึ่งเป็นความล้มเหลวของการดำเนินนโยบายต่างประเทศ โจทย์ใหญ่ของไทย คือ เราจะทำอย่างไรที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งตรงนี้เป็นการบ้านที่ทำยากมาโดยตลอด ในตอนหลังก็แย่ลงกว่าเดิมอีก
ในการประเมินมาตรการตอบโต้ที่ค่อนข้างรุนแรงต่อฮุนเซน อันนี้ก็พูดยากเหมือนกัน ในเรื่องของการตัดสินใจที่ล่อแหลม เหมือนกับว่า ถ้าเราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ถ้าเราใช้ไม้แข็ง ใช้ไม้เรียวตี และก็หวังว่าเขาจะยอม แต่มีอีกวิธีหนึ่ง ถ้าใช้วิธีให้รางวัล เอาขนมล่อ ก็อาจจะได้ผลดีกว่า ขึ้นอยู่กับว่า เราจะใช้ carrot หรือ stick แต่ว่าเราก็เลือกใช้ stick ใช้มาตรการลงโทษ คือ การเรียกทูตกลับ ยุติการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ ยกเลิก MOU และหวังว่า เขาจะยอม เขาจะถอย ซึ่งเขาก็ไม่ถอย และในที่สุด ก็ไม่ได้ผล ซึ่งก็กลายเป็นดาบสองคม มาตรการพวกนี้ มันอันตราย
แต่ผมก็เห็นใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ คือวิเคราะห์ลำบากว่า ตกลง ฮุนเซนเขาทำทั้งหมดไปเพื่ออะไร เราไม่รู้ว่า สาเหตุที่แท้จริงของเขา คืออะไร เขาไม่ชอบรัฐบาลชุดนี้ เพราะรัฐบาลก่อน ๆ deal ด้วยง่ายกว่า แต่ในที่สุด ก็ต้องกลับมาดูในเรื่องผลประโยชน์แห่งชาติของเรา ถ้าเป็นผลประโยชน์ของเรา เราก็ไม่จำเป็นต้องไปยอมเขา ถ้ารัฐบาลชุดนี้ทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศเรา และทำให้เขาไม่พอใจ ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ และผมก็คิดว่า รัฐบาลชุดนี้มีความโปร่งใสพอ ในเรื่องของนโยบายต่างประเทศและผลประโยชน์แห่งชาติ แต่ว่า มันก็เป็นดาบสองคม ที่เราไปแข็งกับเขา ซึ่งก็ทำให้เขาไม่พอใจ และก็เลยตีรวน
อีกเรื่องหนึ่ง คือ ความสัมพันธ์ไทยกับพม่า ผมว่า ความสัมพันธ์ไทยกับพม่าในปัจจุบัน ดูเงียบ ๆ ไป ดูไม่มีความกระชับแน่นแฟ้น ซึ่งอาจจะโยงไปถึงเรื่องของการละเมิดสิทธิมนุษยชน นางอองซาน ซูจี ซึ่งนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ก็ค่อนข้างจะแข็งในเรื่องของสิทธิมนุษยชน และอาจจะทำให้รัฐบาลทหารพม่า ไม่ค่อยชอบรัฐบาลชุดนี้
เรื่องแบบนี้ เป็นเรื่องกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ถ้าเราจะเลือกที่จะเป็นพลเมืองโลกที่ดี บางทีก็อาจทำให้เรากลายเป็นเพื่อนบ้านที่ไม่ดี โดยเฉพาะในเรื่องสิทธิมนุษยชน ก็เลยกลายเป็นแบบนี้
และนอกจากเรื่องของประเทศเพื่อนบ้านแล้ว คือ เรื่องการประชุมสุดยอดอาเซียนที่ล่ม ที่พัทยา ผมคิดว่า เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ทำให้โอกาสของไทยในการที่เป็นประธานอาเซียนสูญเสียไป ทำให้ไทยเสียชื่อมาก ทำให้ credit ของประเทศเสียหายมาก เราจึงเปลี่ยน “โอกาส” ให้กลายเป็น “วิกฤต” ไปซะ
เรื่องที่หนึ่งคือ ไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เรื่องที่สองคือ การประชุมล่มที่พัทยา ที่ผมมองว่าเป็นความล้มเหลว เรื่องที่สาม เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบทบาทไทยในเวทีโลก และในเวทีต่าง ๆ ถึงแม้ว่า นายกอภิสิทธิ์จะไปประชุมที่โน่นที่นี่ แต่บทบาทของไทยก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร เหมือนกับเราไปเป็นตัวประกอบ เล่นเดินตามเกมเขา เราควรจะมียุทธศาสตร์เตรียมไป ที่จะทำให้บทบาทไทยโดดเด่นขึ้นมา
ส่วนความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ ก็ไม่มีอะไรที่เป็นผลงานชิ้นโบว์แดง เช่นเดียวกับภูมิภาคอื่นๆ เช่น อัฟริกา ยุโรป ตะวันออกลาง ลาตินอเมริกา ที่อยู่ไกลออกไป ภูมิภาคเหล่านี้ เราควรจะต้องมีนโยบายในเชิงรุกด้วย แต่เราก็บุกไม่พอ
นี่เป็นทั้งหมดที่ผมได้ประเมิน สรุปนะครับ ถ้าผมจะให้เกรดก็คือ ประมาณ B หรืออาจจะต่ำกว่า B นิดหน่อย เป็น C+B- อะไรทำนองนี้
ข้อเสนอแนะ
สำหรับข้อเสนอของผม ต่อนโยบายต่างประเทศของไทยในปี 2553 คือ “นโยบายในเชิงรุก” คือ ต้องเป็นนโยบายในเชิงรุกในเรื่องของบทบาทไทยในอาเซียน บทบาทไทยในเวทีต่าง ๆ นโยบายในเชิงรุกในเรื่องที่ต้องปรับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก เป็นการบ้านชิ้นใหญ่ที่นโยบายต่างประเทศไทยต้องให้ความสำคัญ คือ ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน และก็กับมหาอำนาจ ก็ต้องมีนโยบายในเชิงรุกด้วย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)