ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
ฉบับวันที่ 17 พฤษภาคม 2555
คอลัมน์กระบวนทรรศน์ในวันนี้
จะวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์อาเซียนกับสหรัฐในปี 2030 โดยในตอนแรก จะวิเคราะห์ว่า อาเซียนปี
2030 จะมีลักษณะอย่างไร และสหรัฐจะมียุทธศาสตร์รองรับอย่างไร
และอาเซียนจะมียุทธศาสตร์อย่างไรต่อสหรัฐ
อาเซียนในปี
2030
ปัจจุบัน
อาเซียนเป็นตลาดใหญ่ของสหรัฐ โดยเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ4
มูลค่าการลงทุนของสหรัฐในอาเซียนมีมูลค่าเกือบ 3 เท่าของการลงทุนในจีน และกว่า 9
เท่าของการลงทุนในอินเดีย อย่างไรก็ตาม สหรัฐได้สูญเสีย market share ในอาเซียน จาก 20 %
ในปี 1998 เหลือเพียง 9% ในปี 2010
ในปี
2030 อาเซียนจะมีขนาดเศรษฐกิจประมาณ 6.5 ล้านล้านเหรียญ ADB ได้คาดการณ์ว่าในปี 2030
ประชากรในอาเซียนจะเพิ่มขึ้นเป็น 700 ล้านคน
และอาเซียนจะกลายเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก
นอกจากนั้นในปี
2030 อาเซียนก็คงจะวิวัฒนาการเป็นประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
โดยมีความเป็นไปได้ว่า อาเซียนอาจจะก้าวข้ามการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนไปเป็นสหภาพเศรษฐกิจอาเซียนแล้ว
ปี
2030 คาดว่า อาเซียนจะกลายเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค โดยมีอาเซียนเป็นแกนและมีกรอบความร่วมมือต่างๆล้อมรอบอาเซียน
ทั้งอาเซียน+1 อาเซียน +3 และ East Asia Summit
โดยที่อาเซียนไม่ได้เป็นมหาอำนาจซึ่งต่างจากบทบาทของ
จีน อินเดีย ญี่ปุ่น สหรัฐ
มหาอำนาจต่างๆจึงยอมให้อาเซียนเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรม ที่ผ่านมา อาเซียนมี FTA กับมหาอำนาจต่างๆ (ยกเว้น สหรัฐ)
อาเซียนได้กลายเป็นศูนย์กลางของบูรนาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาค
เป็นศูนย์กลางของการเชื่อมโยง ( connectivity)
และโครงสร้างพื้นฐาน โดยในปี 2030 การเชื่อมต่อทางด้านโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะเส้นทางคมนาคมขนส่ง
คงจะเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
โดยมีความเป็นไปได้ว่า เราจะสามารถขับรถจากกรุงจาการ์ตาไปกรุงปักกิ่งได้
และเป็นไปได้ว่า East-West Corridor and North-South Corridor คงจะคืบหน้าไปมาก
ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางทางด้าน logistics และการคมนาคมขนส่งในภูมิภาค
สำหรับสถาปัตยกรรมความมั่นคงในภูมิภาค
ในปี 2030 ก็คงจะเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะการผงาดขึ้นมาทางทหารของจีนและอินเดีย
ซึ่งอาจจะมีงบประมาณทางทหารสูงถึงกว่าล้านล้านเหรียญ นอกจากนี้
เทคโนโลยีทางทหารของจีนและอินเดียก็คงจะก้าวหน้าไปมาก อาเซียนเองก็คงจะพยายามเพิ่มบทบาทในด้านความมั่นคงมากขึ้น
โดยเฉพาะการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน และขยายความร่วมมือทางทหารของอาเซียน
เพื่อพยายามถ่วงดุลอำนาจทางทหารกับมหาอำนาจอื่นๆ
ยุทธศาสตร์ของสหรัฐ
จากแนวโน้มดังกล่าว
Center for Strategic and International Studies หรือ CSIS ซึ่งเป็น think tank สำคัญของสหรัฐ
ได้เขียนบทวิเคราะห์แนวโน้มดังกล่าวและได้เสนอว่า สหรัฐควรมียุทธศาสตร์ใหม่เพื่อรองรับ
อาเซียน 2030 โดยมองว่า ขณะนี้สหรัฐไม่มีกรอบความร่วมมือทางการค้ากับอาเซียนชัดเจน
สหรัฐกำลังผลักดัน FTA ที่มีชื่อว่า Trans-Pacific Partnership หรือ TPP อย่างไรก็ตาม TPP มีประเทศอาเซียนที่เข้าร่วมเพียง 4
ประเทศ คือ เวียนนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย และบรูไน โดย TPP กำหนดไว้ว่า
สมาชิกจะต้องเป็นสมาชิก APEC แต่โดยที่ลาว พม่า และกัมพูชาไม่ได้เป็นสมาชิก
APEC จึงไม่สามารถเข้าร่วม TPP ได้ นอกจากนี้
สหรัฐก็ไม่ได้เป็นผู้เล่นสำคัญในโครงการโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาค ผิดกับในอดีต โดยเฉพาะในสมัยสงครามเย็น
ที่บริษัทก่อสร้างสหรัฐมีบทบาทสำคัญในโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาค ปัจจุบัน บริษัทสหรัฐจะมีบทบาทโดดเด่นในด้าน
soft infrastructure เท่านั้น คือด้านสารสนเทศ ธนาคาร และระบบการเงิน CSIS จึงเสนอว่า ถึงเวลาแล้วที่สหรัฐจะต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่ต่อภูมิภาคโดยเฉพาะยุทธศาสตร์ด้านการค้า
อย่างไรก็ตาม
สหรัฐยังมีจุดแข็งทางด้านการทหารและความมั่นคง โดยในช่วงที่ผ่านมา ประเทศในเอเชียได้ให้ความสำคัญต่อบทบาททางทหารของสหรัฐมากขึ้น
ปัจจัยสำคัญคือ การผงาดขึ้นมาของจีนทางด้านเศรษฐกิจ
ทำให้จีนเริ่มมีนโยบายต่างประเทศที่แข็งกร้าวและก้าวร้าวมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับอำนาจอธิปไตย
อาทิ กรณีความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ซึ่งทำให้หลายประเทศเริ่มไม่ไว้ใจจีน จึงพยายามดึงสหรัฐเข้ามาในภูมิภาคเพื่อถ่วงดุลจีน
อย่างไรก็ตาม ในปี 2030 อำนาจทางทหารของจีนจะเพิ่มขึ้นมาก CSIS จึงได้เสนอว่าสหรัฐจะต้องรีบลงทุนในการสร้างกรอบความมั่นคงในภูมิภาคใหม่
โดยการขยายและกระชับความสัมพันธ์กับพันธมิตรและหุ้นส่วนทั่วภูมิภาค
CSIS ย้ำว่า สหรัฐจะต้องรีบลงทุนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต
ด้วยการเพิ่มการปฏิสัมพันธ์กับอาเซียน โดยจะต้องมีการกำหนดวิสัยทัศน์และแนวคิดใหม่ๆสำหรับยุทธศาสตร์ต่ออาเซียนในอนาคต
ข้อเสนอยุทธศาสตร์อาเซียนต่อสหรัฐ
จากการวิเคราะห์แนวโน้มอาเซียนในปี
2030 ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า อาเซียนกำลังจะผงาดขึ้นมาเป็นตัวแสดงสำคัญในเวทีภูมิภาค
และในเวทีโลก ผมมองว่า อาเซียนจะผงาดขึ้นมาเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค
อำนาจการต่อรองของอาเซียนจะมีมากขึ้น
โดยสถาปัตยกรรมในภูมิภาคน่าจะมีลักษณะเป็นระบบลูกผสม ที่เป็นการเหลื่อมทับกันระหว่างระบบหนึ่งขั้วอำนาจ
ที่มีสหรัฐเป็นแกนกลางของระบบ กับระบบหลายขั้วอำนาจ ที่จะมีจีนกับอินเดียผงาดขึ้นมา
และระบบพหุภาคี ที่จะมีอาเซียนเป็นแกนกลางของระบบ
ดังนั้นยุทธศาสตร์อาเซียนต่อสหรัฐจึงควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของระบบในอนาคตที่จะมีลักษณะเป็นลูกผสม
โดยยุทธศาสตร์หลักของอาเซียนต่อสหรัฐคือ จะต้องดึงสหรัฐให้ปฏิสัมพันธ์กับอาเซียน เพื่อให้ระบบที่มีสหรัฐเป็นแกน
กับระบบที่มีอาเซียนเป็นแกน อยู่คู่กันได้ ขณะเดียวกัน อาเซียนก็ควรดึงสหรัฐมาถ่วงดุลการผงาดขึ้นมาของจีน
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดระบบหลายขั้วอำนาจ ซึ่งในระบบหลายขั้วอำนาจ มหาอำนาจจะเป็นตัวแสดงหลัก
ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่ออาเซียน แต่อาเซียนก็ต้องระมัดระวังในการปฏิสัมพันธ์กับสหรัฐ
โดยจะต้องไม่เผลอที่จะให้สหรัฐฉวยโอกาสครอบงำสถาปัตยกรรมในภูมิภาคแต่เพียงผู้เดียว
ผมขอสรุปยุทธศาสตร์ของอาเซียนต่อสหรัฐ
(ซึ่งก็จะเป็นยุทธศาสตร์อาเซียนต่อมหาอำนาจอื่นๆด้วย) ดังนี้
· ยุทธศาสตร์หลักของอาเซียนคือ
ยุทธศาสตร์ปฏิสัมพันธ์บวกกับยุทธศาสตร์การถ่วงดุลอำนาจในลักษณะ soft balancing
· อาเซียนต้องสร้างความสัมพันธ์กับสหรัฐและมหาอำนาจอื่นๆในลักษณะที่มีดุลยภาพโดยไม่ใกล้ชิดกับมหาอำนาจหนึ่งมหาอำนาจใดมากเกินไป
· อาเซียนจะต้องมีเอกภาพในการกำหนดท่าทีต่อสหรัฐและมหาอำนาจอื่นๆ ในอดีต
อาเซียนมักจะถูกแบ่งแยกและปกครองมาโดยตลอด และอาเซียนมักจะมีท่าทีที่แตกแยกและขัดแย้งกัน
· ต้องผลักดันให้อาเซียนเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค โดยดึงสหรัฐและมหาอำนาจอื่นๆเข้ามาในเวทีอาเซียนอย่างสมดุล
ทั้งในกรอบ อาเซียน+1 อาเซียน+3 และ EAS
· สำหรับยุทธศาสตร์ทางด้านเศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์หลักคือ
การทำให้อาเซียนเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยเน้นทำ FTA กับสหรัฐและมหาอำนาจอื่นๆ โดยเฉพาะในกรอบ อาเซียน
+1 อาเซียน +3 และ EAS โดยอาเซียนจะต้องพยายามป้องกันไม่ให้สหรัฐขยายบทบาทของ
TPP ซึ่งจะมาแข่งกับ FTA ของอาเซียน
· สำหรับบทบาทของไทยในความสัมพันธ์อาเซียน-สหรัฐนั้น ไทยจะต้องผลักดันให้สหรัฐและมหาอำนาจอื่นๆใช้ไทยเป็นประตูสู่อาเซียน
และเป็น hub หรือศูนย์กลางของอาเซียน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันให้สหรัฐและมหาอำนาจอื่นๆสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางของ
ASEAN Connectivity โดยไทยจะเป็นศูนย์กลางทางด้าน logistics
การคมนาคมขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานของอาเซียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น